9 พ.ย.50 ในงานสมัชชาองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือ ประจำปี พ.ศ. 2550 ซึ่งจัดขึ้นที่ บ้านกลางดอยรีสอร์ท อ.หางดง จ.เชียงใหม่ "กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ" ได้ออกแถลงการณ์เพื่อเรียกร้องข้อเสนอเบื้องต้นกับยุทธศาสตร์ภาคประชาชนต่อสถานการณ์การเมืองการเลือกตั้ง
โดยในแถลงการณ์ ระบุว่า ในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ สังคมไทยจะมีการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากทหารที่ได้รับการสนับสนุนจากขบวนการอนุรักษ์นิยมก่อการทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลทักษิณเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคตนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคใดจะเป็นพรรคนำจัดตั้งรัฐบาลก็ตามแต่ สังคมไทยคงได้รัฐบาลผสม อันเนื่องมาจากการจัดการเขตเลือกตั้งแบบใหม่ การแตกตัวของพรรคไทยรักไทย ตลอดทั้งการที่อำนาจรัฐปัจจุบันสกัดกั้นกลุ่มอำนาจเก่าของทักษิณ
รัฐบาลผสมในอนาคตนั้นจะมีความอ่อนแอ ไม่มีประสิทธิภาพ ท่ามกลางกฎหมายอีกหลายฉบับที่ให้อำนาจกับระบบราชการโดยเฉพาะกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ที่มีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากคณะความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้จัดให้ไว้แล้ว
และแน่นอนว่าสังคมไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ 50 นั้น อำนาจรัฐที่มาจากการเลือกตั้งจะถูกกำกับโดยระบอบราชการที่มีศาลเป็นใหญ่ โดยการหนุนหลังของอำนาจทหาร หรือ "ระบอบอำมาตยาธิปไตย" ครอบงำสังคมไทย
ขณะเดียวกัน ทางด้านการเมืองการเลือกตั้งนั้น ได้มีการประมูล ต่อรอง ซื้อตัวของผู้สมัครรับเลือกตั้ง การย้ายพรรควันต่อวัน นาทีต่อนาทีของผู้สมัครรับเลือกตั้ง การยุบรวมของพรรคการเมืองของชนชั้นนายทุนต่างๆนั้น ตามสำนวนนักการเมืองไทยที่ว่า "ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร" และ "มีแต่ผลประโยชน์เท่านั้นที่พวกเขาเคยอยู่คนละขั้วกลายเป็นมิตรกันได้"
อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองของนายทุนต่างๆได้มีข้อสรุปร่วมแล้วว่า ต้องมี "นโยบายประชานิยม"หรือทำนองเดียวกับประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในอดีต ที่พวกเขามองว่าประสบผลสำเร็จในการเลือกตั้งในยุคที่ผ่านมาซึ่งพวกเขาคงคิดว่า ต้องมีนโยบายนี้เพื่อหาเสียง เพื่อขายให้กับประชาชน เช่น การศึกษาฟรี รักษาพยาบาลฟรีฯลฯ
นโยบายดังกล่าวนั้น ล้วนเป็นเพียงนโยบายโฆษณาชวนเชื่อ หรือสามารถทำได้จริงก็เพียงทำนองการสังคมสงเคราะห์ ไร้ประสิทธิภาพ ไม่มีคุณภาพ ไม่ทั่วถึง ถ้วนหน้า เหมือนเช่นแนวคิดรัฐสวัสดิการ เนื่องจากไม่มีงบประมาณของรัฐเพียงพอที่จะทำได้อย่างแท้จริง
เราในนาม"กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ" มีความคิดเห็นและข้อเสนอต่อองค์กรประชาชนในสังคมไทยต่อยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนภายใต้สถานการณ์การเมืองการเลือกตั้งในครั้งนี้ ดังนี้
1.แม้ว่าสังคมไทยเพิ่งจะมีรัฐธรรมนูญ2550 มาได้ไม่นานก็ตาม แต่รัฐธรรมนูญ 2550 นั้นเกิดจากอำนาจเผด็จการระบบราชการที่ไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับประชาชนแต่อย่างใดเลย รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงให้อำนาจกับระบบราชการโดยเฉพาะอำนาจศาลอย่างเบ็ดเสร็จ แม้ว่าจะมีบทบัญญัติให้ดูเหมือนให้เสรีภาพกับประชาชน ยอมรับสิทธิชุมชน แต่กลับหมกเม็ดและบิดเบือนเนื้อหาและรูปธรรมที่จะปฏิบัติได้อย่างแท้จริง
ขณะที่รัฐธรรมนูญปี2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดแล้วในประวัติศาสตร์การเมือง แต่กลับสร้างเงื่อนไขให้พรรคการเมืองนายทุนผูกขาดอำนาจ
เรามีความคิดเห็นว่า องค์กรประชาชนทั้งหลายต้องผลักดันให้พรรคการเมืองลงสัตยาบันร่วมกันเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ก้าวหน้ากว่ารัฐธรรมนูญที่ผ่านมา โดยแต่งตั้งคณะกรรมการหลายฝ่ายจัดกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง ทำนองเดียวกับสมัยนายกรัฐมนตรีบรรหาร ที่ได้สร้างกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญปี40 โดยมีหลักการที่สำคัญคือ "ลดอำนาจระบบราชการ และอำนาจกลุ่มทุนพรรคการเมืองเพิ่มพื้นที่ภาคประชาชน
2.นโยบายประชานิยม หรือทำนองเดียวกับประชานิยม ของพรรคการเมืองต่างๆนั้น ถ้าปฏิบัติได้จริง ก็ล้วนเป็นนโยบายแบบสังคมสงเคราะห์เท่านั้น ขณะที่ช่องว่างความแตกต่างทางชนชั้น ความแตกต่างของรายได้ ความแตกต่างด้านทรัพยากรในสังคมไทยมีช่องว่างมากขึ้น และถ้าตราบใดที่สังคมไทยไม่มีนโยบายการเก็บ"ภาษีที่ก้าวหน้า" ในด้านต่างๆ เช่น รายได้ มรดก ที่ดิน เป็นต้น สังคมไทยก็จะไม่มีความเสมอภาค ความยุติธรรมเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตามแน่นอนว่าพรรคการเมืองของนายทุนทั้งหลายไม่ยอมมีนโยบายภาษีที่ก้าวหน้า เนื่องจากพวกเขาล้วนแต่เป็นคนรวยที่ต้องเสียภาษีมากขึ้นด้วย จึงขัดแย้งกับผลประโยชน์โดยตรงของพวกเขา
ดังนั้นองค์กรภาคประชาชนทั้งหลาย จึงต้องร่วมกันรณรงค์ผลักดัน คิดค้นกระบวนการต่างๆเพื่อปักธงประเด็นภาษีที่ก้าวหน้านี้ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
"แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย สังคมไทยต้องเก็บภาษีที่ก้าวหน้า"
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)