0000
รายงานโดย ณภัค เสรีรักษ์
วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดในช่วงปี 2540 หรือที่รู้จักกันในนาม "วิกฤติต้มยำกุ้ง" เราๆ ท่านๆ คงจำเหตุการณ์ในห้วงเวลานั้นได้ดี แต่เมื่อเวลาเดินทางผ่านไปครบ 10 ปี เศรษฐกิจไทยก็ใช่ว่าจะฟื้นตัวอย่างที่ควรจะเป็น
เมื่อคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาเรื่อง "หนึ่งทศวรรษแห่งความหน่อมแน้มของรัฐไทยในการจัดการเศรษฐกิจ (พ.ศ.2540-2550)" (
000
ระบบทุนนิยมนายธนาคาร
ผศ.ดร.อภิชาต เริ่มต้นโดยกล่าวถึงรูปแบบการสะสมทุน (Mode of Capital Accumulation) ของไทยในอดีตว่า ตั้งแต่การรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์เป็นต้นมา ก็เป็นแบบ "ทุนนิยมนายธนาคาร" (Banker Capitalism) คือ การเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจของไทยเกิดขึ้นจากการที่ธนาคารเป็นตัวแสดงจัดสรรทุน-จัดสรรการลงทุน (Capital Allocation), จัดสรรสินเชื่อ (Credit Allocation), ประสานการลงทุน (Investment Coordination) และระบบนี้เริ่มถูกทำลายไปตั้งแต่การเปิดเสรีการลงทุนในปี 2533 และนำไปสู่การลงทุนที่ล้นเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาคอสังหาริมทรัพย์ จนนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจ 2540 ซึ่ง ผศ.ดร.
เมื่อระบบนี้ถูกทำลายจึงต้องมีการปฏิรูประบบใหม่ คำถามที่ตามมาจึงอยู่ที่ว่า รูปแบบใหม่สำหรับการสะสมทุนคืออะไร อะไรจะมาแทนที่ระบบทุนนิยมนายธนาคารไทย และจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
ผศ.ดร.อภิชาต ตอบโจทย์ดังกล่าวโดยการประเมินระบบหรือรูปแบบใหม่ที่มาแทนระบบทุนนิยมนายธนาคารซึ่งหมายถึงการเดินตาม "พิมพ์เขียว" ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF) ที่เป็นแนวทางแบบ "เสรีนิยมใหม่" (Neoliberal Mode of Capital Accumulation) ของรัฐไทยว่าเป็นอย่างไร
"พิมพ์เขียว" ของ IMF กับการแก้วิกฤติ
แนวทางของ IMF ประกอบไปด้วยสองส่วนใหญ่ๆ โดยส่วนแรกคือการปรับปรุงให้ระบบธนาคารมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีการจัดการความเสี่ยงที่ดีขึ้น และส่วนที่สอง คือการเพิ่มหน้าที่การจัดสรรทุนในตลาดหลักทรัพย์ให้มีสัดส่วนมากขึ้น หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ การพยายามเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจไทยจาก bank-based economy ให้มีความเป็น market-based economy มากขึ้น
ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวต่อว่าการประเมินความสำเร็จของ "รัฐไทย" วางอยู่บนฐานว่าสามารถเดินตาม "พิมพ์เขียว" นี้ได้มากน้อยเพียงไรในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังวิกฤติใหม่ๆ ก็ต้องมีแก้ปัญหาระยะสั้นด้วย ดังนั้น ผศ.ดร.อภิชาต จึงนำเสนอโดยประเมินสถานการณ์ในทั้งสองระยะ ระยะแรก ว่าด้วยความพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาลชวน และระยะที่สอง ว่าด้วยความพยายามสร้างสถาบันใหม่ สร้างกฎหมายหรือกฎกติกาใหม่ๆ ในช่วงรัฐบาลทักษิณ
ว่าด้วย "ความหน่อมแน้ม"
ผศ.ดร.อภิชาต มีข้อสมมติที่ว่า ถ้า "รัฐ" เป็นรัฐที่อ่อนแอหรือหน่อมแน้ม (
ผศ.ดร.อภิชาต ให้คำอธิบายว่า รัฐที่อ่อนแอหรือหน่อมแน้มในความหมายนี้ หมายถึง "รัฐ" ที่มีความสามารถต่ำ (Low Capacity/Low Ability) โดยความหน่อมแน้มนั้นขึ้นอยู่กับสองส่วน คือ "ความเป็นอิสระ (Autonomy)" ในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ และ การแปรนโยบายนั้นไปปฏิบัติอย่างมี "ประสิทธิผล(Effectiveness)"
"เวลาผมบอกว่ามันหน่อมแน้ม มันหน่อมแน้มในสองความหมาย ความหมายที่หนึ่งคือ รัฐไทยมีความเป็นอิสระเชิงนโยบายที่ต่ำ อันที่สองคือมันไม่ค่อยมีประสิทธิผลในการผลักดัน ต่อให้มันต่อรองสำเร็จมันก็ผลักดันไม่สำเร็จ ความอ่อนแอของรัฐไทยมันเป็นความอ่อนแอในสองระดับคือ Autonomy และ Effectiveness"
ความหน่อมแน้มของ "รัฐบาลไทย"(1) : ความหน่อมแน้มของรัฐบาลชวน
ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวเริ่มต้นในส่วนนี้ว่า ส่วนสำคัญหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลชวนอ่อนแอคือปัจจัยเรื่องกรอบกติกาทางการเมือง โดยเฉพาะในส่วนของ "รัฐธรรมนูญ" หรือถ้ากล่าวให้เจาะจงกว่านั้น ก็คือรัฐธรรมนูญฉบับก่อนปี 2540 ดังนั้น ความอ่อนแอดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่เกิดกับรัฐบาลชวน รัฐบาลก่อนๆ นั้นก็อ่อนแอเช่นกัน
"ในแง่หนึ่งความอ่อนแอของรัฐไทยโดยตลอดทุกรัฐบาล ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลชวน มันเกิดขึ้นเพราะกรอบกติกาทางการเมือง นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2521 เป็นต้นมา มันผลิตรัฐบาลที่อ่อนแอมาโดยตลอด"
ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวถึงภาระหน้าที่ของรัฐบาลในการแก้วิกฤติว่าคือ ต้องแก้ปัญหาหนี้เสีย (NPLs) กับ ปัญหาที่ธนาคารไม่ function ซึ่งทำได้โดยการเพิ่มทุนให้ธนาคาร เพื่อให้ธนาคารมีทุนที่เพียงพอ และเมื่อธนาคารมีทุนเพียงพอ จึงจะสามารถปรับโครงสร้างหนี้ของภาคเอกชนได้ ซึ่งทั้งการเพิ่มทุนและการปรับโครงสร้างหนี้นั้นแบ่งได้เป็นสองวิธีการใหญ่ๆ คือ วิธีการที่ใช้ตลาดนำ (market-led approach) และวิธีการที่ใช้รัฐนำ (state-led approach)
หลังวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลชวนเลือกแนวทางที่ใช้ตลาดนำ โดยรัฐจะมีทำหน้าที่เป็นเพียงผู้สนับสนุน(Facilitator) กล่าวคือ รอให้ธนาคารเพิ่มทุนเอง และให้ธนาคารจัดการกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-performing Loans-NPLs) ของภาคเอกชนเอง ส่วนรัฐก็จะแก้ไขกฎหมายให้มีประสิทธิภาพขึ้น ให้สอดรับกับการแก้วิกฤติมากขึ้น เป็นต้น ขณะที่บางประเทศ เช่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย เลือกใช้อีกแนวทาง ที่ให้รัฐเป็นตัวนำในการแก้วิกฤติ ซึ่งหลังจากวิกฤติ รัฐบาลเกาหลีใต้จัดตั้งสถาบันมาเพิ่มทุนให้ธนาคารมีทุนที่เพียงพอ ทั้งให้เพื่อปล่อยกู้ต่อไปได้ และแก้ปัญหาหนี้เสียของภาคเอกชนด้วย
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวว่า แท้ที่จริง รัฐบาลชวนต้องการใช้แนวทางที่รัฐเป็นตัวนำในการฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจหลังเกิดวิกฤติ แต่ด้วยปัจจัยหลายๆประการ โดยเฉพาะความอ่อนแอทางการเมืองของตัวรัฐบาล ทำให้รัฐบาลชวนไม่กล้าที่จะใช้แนวทางดังกล่าว แต่ไปเลือกใช้แนวทางที่ใช้ตลาดนำแทน
ตัวอย่างของการใช้แนวทางตลาดนำนั้น ดูได้จาก "แผน 14 สิงหา 2541" ซึ่งรัฐบาลมีเงินเตรียมไว้ประมาณ 300,000 ล้านบาทเพื่อเพิ่มทุนให้ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ โดยมีเงื่อนไขข้อจำกัดหรือข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างให้ต้องปฏิบัติตาม แต่ไม่ได้บังคับให้ธนาคารที่ทุนไม่พอมาเพิ่มทุน ผลก็คือแผนเพิ่มทุนนี้มีผู้เข้าร่วมน้อยมาก และใช้เงินไปเพียง 70,000 กว่าล้าน
"คำถามก็คือทำไมรัฐบาลชวนไม่บังคับให้ธนาคารเพิ่มทุนล่ะ ผมกำลังจะบอกว่าก็เพราะรัฐบาลชวนมีความอ่อนแอเกินไปที่จะบังคับธนาคารให้เพิ่มทุนนั่นเอง"
"ในแง่นี้แล้ว การเพิ่มทุนที่ไม่สำเร็จ จึงนำไปสู่การแก้ปัญหา NPLs ไม่สำเร็จ ในความหมายที่มันช้าไป ตราบใดที่ยังแก้ปัญหา NPLs ไม่สำเร็จ ตราบใดที่ธนาคารยังไม่มีทุนพอ ตราบนั้นธนาคารก็ยังไม่สามารถปล่อยกู้ได้ใหม่ ตราบนั้นการลงทุนใหม่ก็ไม่สามารถเกิดขึ้น ตราบนั้นการเจริญเติบโตฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก็ยังเป็นไปไม่ได้"
"กฎหมายล้มละลาย" กับวลีทอง "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย"
ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวว่า เงื่อนไขสำคัญอันหนึ่งสำหรับการแก้ปัญหา NPLs แบบใช้ตลาดนำก็คือต้องมีกระบวนการบังคับหนี้ที่เข้มแข็ง เช่น การมีกฎหมายล้มละลายที่มีทิศทางในการให้เจ้าหนี้มีอำนาจต่อรองมากกว่าลูกหนี้ เพื่อที่จะดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ได้ เป็นต้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องแก้กฎหมายล้มละลายให้สถาบันการเงินมีอำนาจต่อรองสูงขึ้น แต่ในช่วงระหว่างการแก้กฎหมายดังกล่าวนั้น คนจำนวนหนึ่งก็เข้าไปอยู่ในฐานะ ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้ง แล้วก็เติมข้อความไปว่า ถ้าบุคคลธรรมดาถูกศาลสั่งให้เป็น "บุคคลล้มละลาย" ก็จะมีภาวะนั้นอยู่เพียง 3 ปี เมื่อครบกำหนดก็คืนสภาพบุคคลธรรมดา หมายความว่า ในช่วง 3 ปีนั้น สถาบันการเงินยึดทรัพย์ไปได้เท่าไร ก็เท่านั้น
"มีคนหนึ่งเป็นหนี้พันกว่าล้าน ถูกศาลสั่งล้มละลาย แล้วถูกยึดทรัพย์ไป 13 ล้าน เมื่อครบกำหนด 3 ปี เป็นอันเจ๊ากันไป เพราะธนาคารมีสิทธิ์ยึดทรัพย์แค่ 3 ปี คนๆ นี้ก็กลับมาทำธุรกิจได้ใหม่จนถึงทุกวันนี้ อย่างนี้เป็นต้น"
ผศ.ดร.อภิชาต เห็นว่า การแก้กฎหมายล้มละลายไปในทำนองนี้ ยิ่งทำให้อำนาจต่อรองของเจ้าหนี้ต่อลูกหนี้น้อยลงไปอีก จึงเกิดสภาวะที่เรียกว่า "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" และเมื่อนายธนาคารไม่สามารถบังคับการเจรจาได้ NPLs ก็แก้ไขได้ช้า
"เงื่อนไขที่จำเป็นของการใช้แนวทางตลาดนำคือต้องแก้กฎหมายล้มละลายให้เข้มแข็งขึ้น กลับแก้ให้อ่อนแอลง ผลก็คือ เมื่อธนาคารไม่ถูกบังคับเพิ่มทุน ทุนในการรองรับการจัดการปัญหา NPLs ก็ไม่เพียงพอ ในอีกทางหนึ่งกฎหมายที่อ่อนลงก็ทำให้แก้ปัญหา NPLs ได้ช้าเช่นกัน เศรษฐกิจไทยก็จมปลักต่อวิกฤติเศรษฐกิจต่อไปเรื่อยๆ"
ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวสรุปถึงตัวอย่างของความอ่อนแอของรัฐบาลชวนสองประการว่าประกอบไปด้วย ประการแรก รัฐบาลชวนไม่มีแม้กระทั่ง Autonomy ในการจัดการ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการแก้วิกฤติต้องมีกฎหมายล้มละลายที่เข้มแข็งก็ไม่สามารถทำได้ และประการที่สองก็คือแม้ว่ารัฐบาลชวนอยากใช้การแก้ปัญหาในทางที่รัฐเป็นตัวนำแต่ก็ไม่กล้าที่จะทำ
ความหน่อมแน้มของ "รัฐบาลไทย"(2) : ความหน่อมแน้มของรัฐบาลทักษิณ
ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวถึงภาระของรัฐบาลทักษิณว่า อยู่ที่การปรับโครงสร้างของตลาดทุน, ตลาดเงิน เพื่อที่จะให้มีกรอบกติกาใหม่ๆ ที่สอดรับไปกับการเปลี่ยนรูปแบบของการสะสมทุน แต่ถึงแม้ว่ารัฐบาลทักษิณจะเป็นรัฐบาลที่ถือได้ว่ามีอำนาจมหาศาล กระบวนการนี้ก็ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้
กล่าวคือ กฎหมาย 3 ฉบับ อันประกอบไปด้วยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย, พ.ร.บ.ธนาคารพาณิชย์ และ พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝาก ซึ่งพยายามแก้ไขกันมาตั้งแต่หลังวิกฤติก็ยังไม่สามารถผ่านออกมาได้ (ในท้ายที่สุดใช้เวลาถึง 11 ปี นับแต่วิกฤตเศรษฐกิจ กฎหมายค่อยผ่านออกมาสมัยรัฐบาลสุรยุทธ์) ซึ่งประเด็นนี้ ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวว่าเกิดจากความขัดแย้งของ technocrats กับตัวรัฐบาลทักษิณ
ประเด็นโต้เถียงหลักอยู่ที่ระดับความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวคือ รัฐบาลไม่ต้องการให้ ธปท. มีอิสระเท่ากับที่ ธปท. ต้องการ โดยเฉพาะในเรื่องการวิธีการแต่งตั้งและถอดถอนผู้ว่าการธปท. และประเด็นถัดมาคือ ใครคือผู้ดูแล, กำกับ, ตรวจสอบ สถาบันการเงิน เพราะรัฐบาลต้องการดึงอำนาจการจัดการออกมาจากธปท. และจัดตั้งสถาบันใหม่ขึ้นมาเพื่อจัดการ แต่ธปท.ก็ไม่ยอม
ความหน่อมแน้มของรัฐไทยภายใต้ความเข้มแข็งของรัฐบาลทักษิณ
ผศ.ดร.อภิชาต เห็นว่า รัฐบาลทักษิณคือตัวแทนของชนชั้นนายทุนส่วนหนึ่งที่มาจากภาคการผลิต (real sector) ดังนั้นรัฐบาลทักษิณจึงมีแรงจูงใจที่จะไม่ให้ธปท.เป็นอิสระ แต่จะมีแรงจูงใจที่จะทำตามผลประโยชน์ของกลุ่มของตนมากกว่า ตัวอย่างกรณีนี้ก็เช่น การแก้กฎหมายล้มละลายให้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้มากขึ้นไปอีก เป็นต้น
"รัฐไทยภายใต้ทักษิณมันก็หน่อมแน้มมากขึ้นในความหมายที่ขาด autonomy เพราะว่านโยบายของทักษิณถูกครอบงำโดยส่วนหนึ่ง (fraction) ของชนชั้นนายทุนไทย เป็นประโยชน์แก่ส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ใช่ชนชั้นนายทุนทั้งชนชั้น แต่ในอีกทางหนึ่ง รัฐบาลทักษิณก็เป็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ (effective) มากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนซึ่งสำเร็จหรือไม่สำเร็จเถียงกันได้ประเมินกันได้คือ รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลแรกที่สามารถจัดการกับข้าราชการ คือสามารถที่จะรวมศูนย์อำนาจ (centralized) เข้าสู่ตัวนายกได้ค่อนข้างสูง"
"ความหน่อมแน้ม" นำไปสู่อะไร?
ผศ.ดร.อภิชาต หยิบยกผลการวิจัยมาอภิปรายว่า โดยเฉลี่ยแล้วการขยายตัวของสินเชื่อน้อยกว่าเงินฝาก นอกจากนี้แล้ว การจัดสรรสินเชื่อก็ไม่สมดุลระหว่างสาขา กล่าวคือในภาคการผลิตซึ่งถือได้ว่ามีสัดส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product-GDP) มากตั้งแต่อดีต กลับได้รับการจัดสรรสินเชื่อน้อยลง ขณะที่ภาคการเงิน, อสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง ซึ่งมีสัดส่วนใน GDP น้อยกว่า แต่ได้รับการจัดสรรสินเชื่อมากขึ้น
"ตัวกลางในการจัดสรรการเงินไม่สามารถจัดสรรสินเชื่อไปสู่ภาคที่มีความสำคัญได้อย่างพอเพียง"
นอกจากนี้แล้ว ในส่วนของภาพรวมของระบบเศรษฐกิจไทย ผศ.ดร.อภิชาต ชี้ให้เห็นว่า อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤติ อีกทั้งสัดส่วนการลงทุนต่อ GDP ก็ต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤติ โดยเฉพาะในส่วนของการลงทุนเอกชน ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนที่เกิดขึ้นในระยะหลังส่วนใหญ่ก็เป็นการลงทุนในการทดแทน (replacement) ค่าเสื่อมราคา (depreciation) ไม่ได้เป็นการลงทุนที่เพิ่มเครื่องจักรใหม่ๆ หรือสินค้าทุนใหม่ๆ
"ผมกำลังบอกว่าการจัดสรรทุนที่ยังไม่ลงตัว นำไปสู่การที่การลงทุนยังไม่กลับเข้าสู่ที่เดิม ความเจริญเติบโตของผลิตภาพ (productivity growth) ก็ช้าลง"
"งานวิชาการอีกอันหนึ่งที่มาบรรยายที่นี่ของ Prof. Laurids Lauridsen ชาว
นอกจากนี้ ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวเสริมอีกว่าการที่รัฐบาลทักษิณมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ตัวทักษิณเอง และเขาได้ใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตัวเอง ในท้ายที่สุดจึงนำไปสู่การรัฐประหาร 19 กันยายน ที่นักวิชาการไทยศึกษาอย่าง Duncan McCargo เรียกว่าเป็นการรัฐประหารที่นำโดยเครือข่ายข้าราชบริพาร (network monarchy)
ทำไมรัฐไทยจึงหน่อมแน้ม?
"ถ้าให้พูดตอนนี้ซึ่งผมยังไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดพอ เท่าที่ผมทำตอนนี้ก็ชี้ไปที่กระบวนการ "democratization" ของไทยตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2521 เป็นต้นมา เพราะมันผลิตรัฐบาลที่อ่อนแอ ผ่านวิธีการกำหนดเขตเลือกตั้ง และการคานอำนาจของส.ว. เป็นต้น เขตเลือกตั้งพวงใหญ่โดยตัวมันเองมันสนับสนุนการดำรงอยู่พรรคขนาดเล็ก เมื่อเป็นพรรคขนาดเล็กก็ต้องเป็นรัฐบาลผสม เมื่อเป็นรัฐบาลผสมแน่นอนว่าเสถียรภาพก็น้อย การมองปัญหาก็มองในระยะสั้น ขณะเดียวกันอำนาจต่อรองของนายกรัฐมนตรีกับหัวหน้ามุ้งก็น้อย ในแง่นี้รัฐธรรมนูญปี 40 แก้จุดอ่อนตรงนี้ การที่รัฐไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้นในแง่หนึ่งการปฏิรูปรัฐธรรมนูญในปี 2540 จึงประสบความสำเร็จ เพราะเจตนารมณ์หลักในตอนนั้นคือการทำให้รัฐไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่มันก็กลับไม่ประสบความสำเร็จในแง่ที่ว่าการถ่วงดุลอำนาจถูกทำลายไป" ผศ.ดร.อภิชาต กล่าว
อนาคตเศรษฐกิจการเมืองไทย...ยังหน่อมแน้มเหมือนเดิม?
ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวต่อมาว่าการแก้ปัญหาที่เกิดจากรัฐธรรมนูญ 40 ที่ก่อให้เกิดรัฐบาลที่เข้มแข็งนั้นไม่ใช่การที่ทำให้ฝ่ายบริหารที่อำนาจอ่อนลงดังที่เกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญ 50 ไม่ว่าจะโดยการกลับไปใช้เขตเลือกตั้งพวงใหญ่ที่สนับสนุนการดำรงอยู่ของพรรคขนาดเล็ก หรือการที่ให้รัฐมนตรีสามารถดำรงตำแหน่ง ส.ส. ได้พร้อมๆ กัน มันเป็นการลดอำนาจต่อรองของตัวนายกรัฐมนตรีกับหัวหน้ามุ้ง
"ดังนั้นรัฐบาลก็จะไร้เสถียรภาพต่อไปเรื่อยๆ การวางแผนระยะยาวก็จะทำไม่ได้ไปเรื่อยๆ ประสิทธิภาพของรัฐบาลก็น้อยลง" ผศ.ดร.อภิชาต กล่าวสรุป
อ้างถึง :
*> สัมมนา "The Politics and Policies of Industrial Upgrading in
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)