Skip to main content
sharethis

 



หมายเหตุ: บทความแปลชุด "สื่อในเอเซีย" แปลและเรียบเรียงโดย สุภัตรา ภูมิประภาส นี้เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน ของเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน www.midnightuniv.org ซึ่งเป็นโครงการที่ไม่หวังผลกำไร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาตัวอย่างและกรณีศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนจากประเทศชายขอบทั่วโลก มาเป็นตัวแบบในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ เพื่อเผชิญกับปัญหาสิทธิมนุษยชน (สิทธิชุมชน) ในประเทศไทย


 


สถานการณ์สื่อในอินโดนีเซีย : "แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ยาว?" [1]


โดย บัมบัง ฮารีมูรติ [2]


 


 


เสรีภาพสื่อสิ่งพิมพ์: เส้นในผืนทราย


เสรีภาพของหนังสือพิมพ์เป็นกองหน้าของประชาธิปไตยในประเทศอินโดนีเซียมาโดยตลอด โชคร้ายที่ประวัติการณ์ของการรักษาเสรีภาพนี้ไว้ไร้ผล ประเทศอินโดนีเซียก้าวเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยนับตั้งแต่การลาออกของประธานาธิบดีซูฮาร์โตเมื่อปี พ.ศ. 2531 (1988) และเส้นทางเดินสู่ประชาธิปไตยเต็มใบนั้นยังอีกยาวไกล


 


ก่อนปี 2531 อินโดนีเซียได้พยายามเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยถึงสองครั้งแต่ประสบความล้มเหลว ในทั้งสองครั้งนั้น เสรีภาพของสื่อเป็นสิทธิทางการเมืองประเภทแรกที่ประชาชนถูกยึดเอาไป การขาดเสรีภาพนี้ทำให้รัฐบาลยึดสิทธิทางการเมืองอื่นๆ ไปจากประชาชนได้ง่ายขึ้น


 


ด้วยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า อินโดนีเซียจะประสบความสำเร็จมากขึ้นในการบรรลุจุดมุ่งหมายต่างๆ ของประชาธิปไตยในช่วงเวลานี้ ความก้าวหน้าที่สำคัญบางอย่างได้เกิดขึ้น เบื้องต้นคือการจัดตั้งสถาบันทางการเมืองต่างๆ อย่างไรก็ตาม มีหลายสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าด้วยเช่นกัน เบื้องต้น คือในการหาสมดุลย์ที่ถูกต้องระหว่างสิทธิต่างๆ ของเสียงข้างมาก ที่ขัดแย้งกับสิทธิของปักเจกบุคคล


 


คดีที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ของเอร์วิน อาร์นันดา (Erwin Arnada) บรรณาธิการของนิตยสารเพล์บอยที่ตีพิมพ์ในอินโดนีเซียเป็นตัวอย่างของการต่อสู้เช่นนั้น แม้ว่าเนื้อหารูปภาพที่ปรากฏในนิตยสารจะดูไม่น่าตื่นเต้น แม้โดยมาตรฐานของอินโดนีเซียก็ตาม ในปี 2549 กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงได้แจ้งความที่สถานีตำรวจจาการ์ต้าใต้ (South Jakarta) ให้ดำเนินคดีอาญากับผู้พิมพ์ ข้อกล่าวหาคือ นิตยสารฉบับนี้ตีพิมพ์ภาพที่ไม่เหมาะสมตามที่นิยามไว้ในมาตรา 282 ของประมวลกฎหมายอาญาซึ่งเป็นมรดกจากยุคที่อินโดนีเซียเป็นอาณานิคมของดัชต์


 


ตำรวจและสำนักงานอัยการยอมจำนนกับกระแสกดดันทางการเมืองและได้ดำเนินคดีกับนายอาร์นันดา ซึ่งเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากสื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ศาลได้กลายเป็นสนามการต่อสู้ระหว่างผู้สนับสนุนเสรีภาพของสื่อสิ่งพิมพ์ และกลุ่มศาสนาสายอนุรักษ์นิยม สภาการหนังสือพิมพ์ที่เป็นองค์กรอิสระ ที่มีภารกิจที่กำหนดโดยกฎหมายสื่อสิ่งพิมพ์ ในการคุ้มครองเสรีภาพของสื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศอินโดนีเซีย ได้ออกมาแสดงจุดยืนว่า นิตยสารเพล์บอยเป็นสิ่งพิมพ์ ดังนั้นตำรวจและอัยการต้องตั้งข้อหาภายใต้กฎหมายสิ่งพิมพ์เพียงอย่างเดียว กฎหมายสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งถูกเขียนขึ้นในขณะที่ความรู้สึกของสาธารณชนต่อประชาธิปไตยยังคงเข้มข้นเมื่อปี พ.ศ. 2542 (1999) ไม่ยอมให้ผู้สื่อข่าวต้องถูกจำคุกด้วยเหตุจากงานในหน้าที่ของพวกเขา โดยทั้งนี้ ศาลอาจจะกำหนดโทษปรับสูงสุดถึง 500 ล้านรูปี (ประมาณ 55,000 เหรียญสหรัฐ) ในกรณีที่มีการละเมิดหลักการแห่งจรรยาบรรณหนังสือพิมพ์เกิดขึ้น การละเมิดดังกล่าวนี้สามารถรวมถึงการตีพิมพ์สิ่งที่ไม่เหมาะสม


 


อัยการไม่ให้ความใส่ใจกับสภาการหนังสือพิมพ์และยืนกรานในการฟ้องร้องนายอาร์นันดา ด้วยข้อหาว่าทำการละเมิดมาตรา 282 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ความผิดต่อมาตรานี้มีโทษจำคุกสูงสุด 32 เดือน ในการดำเนินคดีที่มีระยะยาวนานหนึ่งปีซึ่งมีฝ่ายสนับสนุนของกลุ่มหัวรุนแรงเข้าฟังการพิจารณาคดีด้วยนั้น อัยการยื่นคำร้องให้ผู้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็นเวลาสองปี แต่กลุ่มผู้สนับสนุนหัวรุนแรงกล่าวหาว่าคำร้องนี้เบาเกินไป


 


ในที่สุด ศาลตัดสินยกฟ้องโดยพิพากษาว่าอัยการควรฟ้องคดีนี้ภายใต้กฎหมายสื่อสิ่งพิมพ์ มากกว่าที่จะมาฟ้องร้องในคดีอาญา คำตัดสินนี้เป็นหลักหมายที่สำคัญของเสรีภาพสื่อสิ่งพิมพ์ในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเป็นคำตัดสินของศาลจาการ์ต้าใต้ที่เป็นที่รู้จักกันในอดีตว่าเป็น "สุสานของสื่อ" จากคำพิพากษาในกรณีต่างๆ ก่อนหน้านี้


 


ทัศนคติที่หมุนกลับของศาลต่อเสรีภาพสื่อเริ่มต้นจากระดับบนสุด บาเกอร์ มานัน (Bagir Manan) หัวหน้าผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนปัจจุบัน ได้ทำความเข้าใจอย่างชัดเจนกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาถึงความจำเป็นที่จะต้องปกปักรักษาเสรีภาพสื่อ เพื่อที่จะดำรงไว้ซึ่งความเป็นอิสระของอำนาจตุลาการ จุดยืนของเขาเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะก่อนที่เขาจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปัจจุบัน มานันเป็นศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัย ปาจาจารัน (University Pajajaran) เขาเป็นหนึ่งในทีมที่ปรึกษากฎหมายของสมาคมสื่อสิ่งพิมพ์ช่วงที่สมาคมฯ ร่างกฎหมายสื่อสิ่งพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2542 (1999)


 


ปี พ.ศ. 2549 (2006) ศาลสูงสุดกลับคำพิพากษาของศาลสูงแห่งจาการ์ต้าในคดีของนิตยสารข่าวรายสัปดาห์เทมโป้ (Tempo Weekly Newsmagazine) นิตยสารข่าวเทมโป้ถูกฟ้องในคดีอาญาว่าหมิ่นประมาทโทมี่ วินาตา (Tomy Winata) นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลและเป็นที่รับรู้กันว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทหารและตำรวจ ศาลสูงสุดสั่งปล่อยตัวนายบัมบัง ฮารีมูรติ (Bambang Harymurti) บรรณาธิการนิตยสารข่าวเทมโป้ ที่ถูกศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุกหนึ่งปี ในการตัดสินครั้งประวัติศาสตร์นี้ ศาลสูงสุดระบุว่ากฎหมายสื่อสิ่งพิมพ์ควรถูกนำมาใช้ในคดีที่เกี่ยวข้องกับสื่อ


 


บรรดาผู้สนับสนุนเสรีภาพสื่อหวังว่าคดีของเทมโป้จะส่งผลกระทบหยั่งลึกต่อบริบททางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่ออินโดนีเซีย ที่คล้ายกับประสบการณ์ในอเมริกา กับคดีของ Sullivan [3] กับ นิวยอร์คไทม์ ในปี พ.ศ. 2503 (1960) หรือ คดีพิพาทระหว่าง Germany"s Der Spiegel กับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม Franz-Josef Strauss ในปี พ.ศ. 2505 (1962)


 


คำพิพากษาของศาลจาการ์ต้าใต้ในคดีของนิตยสารเพล์บอย เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2550 (2007) เป็นสัญญาณที่สนับสนุนว่าความหวังนี้มิใช่เป็นเพียงความเชื่อที่ไร้เหตุผล


 


 


หลังยุคซูฮาร์โต้: การเสื่อมทรุดอย่างรวดเร็ว, การฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าและไร้ทิศทาง


เสรีภาพนั้นสูญเสียไปได้โดยง่าย แต่ยากนักที่จะได้คืนมา รายงานสถานการณ์เสรีภาพสื่อประจำปีขององค์กรนักข่าวไร้พรมแดน Reporters Sans Frontiers [ดู www.rsf.org] แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการเสื่อมทรุดอย่างรวดเร็วและการเริ่มต้นที่เชื่องช้าของการฟื้นฟูเสรีภาพสื่อในอินโดนีเซีย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ


 


ปี พ.ศ. 2544 (2001) อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ถูกจัดอันดับว่ามีเสรีภาพสื่อมากที่สุดในเอเชีย; ปี พ.ศ. 2545 (2002) เสรีภาพสื่อของอินโดนีเซียถูกจัดอันดับลดลงมาที่ 57 จาก 139 ประเทศ สถานการณ์ของสื่ออินโดนีเซียยิ่งแย่ลงในปี พ.ศ. 2546 (อยู่อันดับที่ 111 จาก 166 ประเทศ เมื่อประธานสภาและประธานาธิบดีเมกาวาตี ซูการ์โนบุตรี ฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ Rakyat Merdeka Daily ในคดีอาญา) และปี พ.ศ. 2547 เสรีภาพสื่อในอินโดนีเซียถูกจัดอันดับอยู่ที่ 117 จาก 167 ประเทศ เมื่อศาลในหลายจังหวัดของอินโดนีเซียมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกนักข่าว


 


การเปลี่ยนรัฐบาลในปลายปี พ.ศ. 2547 (2004) ได้ทำให้สถานการณ์หมุนกลับ สภาพการณ์ของเสรีภาพสื่อค่อยๆ ดีขึ้น ในปี พ.ศ. 2548 เสรีภาพสื่อในอินโดนิซียอยู่ในอันดับที่ 105 จาก 168 ประเทศ เมื่อประธานาธิบดี ซูซิโล บัมบัง (Susilo Bambang) ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาใหม่กล่าวในคำแถลงว่าจะปกป้องเสรีภาพสื่อ ในปี พ.ศ. 2549 ศาลสูงสุดมีคำพิพากษาที่เป็นคุณต่อเสรีภาพสื่อหลายครั้ง ดัชนีวัดเสรีภาพสื่อของอินโดนีเซียขึ้นไปสู่อันดับที่ 103 จาก 169 ประเทศ และปี 2550 อันดับถูกปรับขึ้นอีกเล็กน้อย ไปอยู่ที่ 100 จาก 169 ประเทศ


 


เป็นเรื่องน่าสนใจที่จะบันทึกไว้ว่า ขณะที่สภาพการณ์ของเสรีภาพสื่อดีขึ้นจากการเปลี่ยนรัฐบาลเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2547 รายงานประจำปีขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ต่อภาพลักษณ์การคอรัปชั่นของอินโดนีเซียก็ดีขึ้นด้วย คะแนนที่เพิ่มขึ้นหมายถึงการคอรัปชั่นลดลง


 


ตาราง 12.1 เสรีภาพสื่อในอินโดนีเซีย












































ปี พ.ศ.


อันดับที่


จำนวนประเทศที่ทำการสำรวจ


ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี


แห่งอินโดนีเซีย


2544


มีเสรีภาพมากสุดในเอเซีย


เฉพาะประเทศในเอเซีย


บีเจ ฮาบีบี และ อับดูร์ราห์มาน


2545


57 (อันดับที่ 4 ในเอเชีย)


139


วาฮิด อับดูร์ราห์มาน


2546


111


166


เมกาวาตี ซูการ์โนบุตรี


2547


117


167


ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน


2548


105


167


ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน


2549


103


167


ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน


2550


100


169


ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน


แหล่งที่มา: องค์กรนักข่าวไร้พรมแดน [www.rsf.org]


 


 


ตาราง 12.2 ดัชนีภาพลักษณ์การคอรัปชั่น














ปี พ.ศ.


2004


2005


2006


คะแนนภาพลักษณ์การคอรัปชั่น


2.0


2.2


2.4


แหล่งที่มา: องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ [www.transparency.org]


 


 


การปกป้องเสรีภาพสื่อ: การให้อำนาจควบคุมกันเอง


กฎหมายสื่อสิ่งพิมพ์ของอินโดนีเซียกำหนดภารกิจให้สภาการหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นองค์กรอิสระได้รับเลือกตั้งมาจากองค์กรสื่อต่างๆ มีหน้าที่ปกป้องเสรีภาพสื่อ สภาการหนังสือพิมพ์มีกรรมการ 9 คน กรรมการแต่ละชุดมีวาระในตำแหน่ง 3 ปี กรรมการทั้ง 9 คนนี้ประกอบด้วย ตัวแทนจากสหภาพนักข่าว 3 คน ตัวแทนจากสมาคมผู้จัดพิมพ์ 3 คน และตัวแทนจากสาธารณชน 3 คน ตัวแทนนักข่าวจะถูกกันโดยระเบียบข้อบังคับภายในไม่ให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาฯ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดภาพว่า สภาการหนังสือพิมพ์เป็นสถาบันที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ต่างให้นักข่าว


 


นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2543 (2000) สภาการหนังสือพิมพ์ได้ทำการกำหนดหลักการแห่งจรรยาบรรณสำหรับนักข่าว, จัดเวทีอภิปรายต่างๆ เกี่ยวกับเสรีภาพสื่อ, จัดอบรมจรรยาบรรณวิชาชีพให้นักข่าวทั่วประเทศ, และเป็นผู้ประนีประนอมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ ระหว่างสาธารณชนกับสื่อมวลชน ประธานาธิบดี ซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน และรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของเขา ก็ขอให้สภาการหนังสือพิมพ์เข้ามาไกล่เกลี่ยเจรจาในข้อพิพาทระหว่างพวกเขากับสื่อมวลชนด้วย


 


สภาการหนังสือพิมพ์ไม่มีอำนาจในการตัดสินลงโทษใดๆ แต่มีอำนาจทางกฎหมายที่จะตัดสินว่ามีการละเมิดหลักการแห่งจรรยาบรรณวิชาชีพเกิดขึ้น สภาการหนังสือพิมพ์อาจจัดทำคำแนะนำเรื่องวิธีการที่ถูกต้องในการแก้ไขข้อผิดพลาดของกองบรรณาธิการ สภาการหนังสือพิมพ์จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกรณีข้อพิพาทสื่อ หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการที่เจรจาผ่านระบบศาล กรณีพิพาททั้งหมดที่สภาการหนังสือพิมพ์เข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ได้รับการตอบรับที่ดีจากทั้งฝ่ายผู้ร้องเรียนและฝ่ายสื่อมวลชนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่อมวลชนรายใหญ่ กรรมการสภาการหนังสือพิมพ์บางคนมีความเชี่ยวชาญในการจัดเตรียมคำให้การ โดยทั่วไปในคดีที่ปกป้องเสรีภาพสื่อ


 


 


ตาราง 12.3 จำนวนกรณีร้องเรียนต่อสภาการหนังสือพิมพ์
















ปี พ.ศ.


2546


2547


2548


2549


กรณีร้องเรียน


101


153


127


207


แหล่งที่มา : สภาการหนังสือพิมพ์ (พ.ศ.2550)


 


 


การคุกคามที่ปรากฏตัว: การรวมศูนย์อำนาจของเจ้าของสื่อ


การลาออกจากตำแหน่งของประธานาธิบดีซูฮาร์โตในปี พ.ศ. 2541 ตามมาด้วยการปลดปล่อยสื่อจากกฎระเบียบอย่างถอนราก สื่อไม่ต้องขอใบอนุญาตสำหรับการจัดพิมพ์อีกต่อไป ผู้จัดพิมพ์รายใหม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และจำนวนมากไม่อาจสู้ในตลาดแข่งขันได้ ตัวเลขของสภาการหนังสือพิมพ์ระบุว่า ผู้จัดพิมพ์ที่เกิดขึ้นใหม่มากกว่า 1,300 รายต้องหยุดกิจการภายในเวลา 3 ปี บางรายสามารถดำเนินกิจการต่อไปด้วยดี หนังสือพิมพ์ภูมิภาค Jawa Pos มีการจัดพิมพ์หนังสือพิมพ์รายวันในเครืออย่างต่ำ 121 ฉบับในเขตต่างๆ ทั่วประเทศ


 


การรวมศูนย์อำนาจของเจ้าของสื่อในอุตสาหกรรมสื่อเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไม่มีกฎระเบียบที่ชัดเจนต่อการเป็นเจ้าของข้ามสื่อของสื่อสิ่งพิมพ์กับสื่ออิเลคโทรนิคส์ กฎข้อบังคับเดียวที่จะป้องกันการรวมกลุ่มผูกขาดทางธุรกิจของสื่อคือ กฎหมายต่อต้านการรวมกันผูกขาดทางธุรกิจทั่วไป เป็นกฎหมายที่ไม่ได้มีผลมากนักสำหรับการจัดการปัญหานี้ เพราะชื่อเจ้าของที่แท้จริงของสถานีวิทยุและโทรทัศน์ช่องใดๆ สามารถที่จะอำพรางกันได้อย่างง่ายดาย เชื่อกันว่าสถานีโทรทัศน์เอกชนรายใหญ่ทั้งหมดนั้น ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของบรรดาสมาชิกในครอบครัวของซูฮาร์โตและพวกพ้อง ทั้งๆ ที่มีข้อสงสัยดังกล่าว สถานีโทรทัศน์เหล่านี้ก็ยังคงได้รับการยอมรับจากสาธารณชนด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ นักข่าวและบรรณาธิการได้รับค่าตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับผู้ประกอบวิชาชีพเดียวกันอีกหลายร้อยคนในที่อื่นๆ, บ่อยครั้งที่นักข่าวที่ได้รับเงินเดือนต่ำกว่ามาตรฐานในสื่อแห่งอื่นๆ ที่เล็กกว่าได้ทำตัวเป็น "นักข่าวซองขาว" หรือแม้แต่ "นักข่าวแบล็คเมล์" เพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ การขาดความเป็นมืออาชีพของสื่อเป็นเรื่องที่ถูกร้องเรียนเป็นปกติ แม้ว่ามันเป็นปัญหาด้วยเช่นกันในช่วงที่สื่อถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยรัฐ


 


การควบคุมตลาดเป็นปัญหาที่รุนแรงกว่า ผู้สังเกตการณ์ด้านสื่อหลายคนแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการรวมศูนย์อำนาจที่เพิ่มขึ้นของความเป็นเจ้าของสื่อในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นข้อกังวลที่มีเหตุผล แม้ว่านัยยะทางการเมืองของมันในความเป็นจริงยังไม่ได้ถูกชี้ชัด ปัจจุบัน สภาการหนังสือพิมพ์กำลังจับตามองประเด็นนี้อยู่


 


 


ตาราง 12.4 จำนวนสื่อสิ่งพิมพ์ในอินโดนีเซีย

























ปี พ.ศ.


รายวัน


รายสัปดาห์


นิตยสาร


วารสาร


รวม


2544


305


132


127


2


566


2549


284


327


237


3


851


แหล่งที่มา : สภาการหนังสือพิมพ์


 


 


อนาคต : แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ยาว


อินโดนีเซียเป็นประเทศใหญ่ที่ประกอบด้วยเกาะมากกว่า 17,000 เกาะ จำนวนมากกว่า 3,000 เกาะเป็นเกาะที่มีพลเมืองอาศัยอยู่ อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับสี่ของโลกด้วยจำนวนประชากรเกือบ 240 ล้านคน ถ้าแผนที่ของประเทศอินโดนีเซียถูกวางทับลงบนพื้นที่อื่นๆ มันจะครอบคลุมอาณาเขตจากนิวยอร์คถึงลอสแองเจิลลิส หรือจากกรุงมอสโคว์ถึงกรุงลอนดอน แม้ว่าอินโดนีเซียเป็นรัฐที่แยกศาสนาออกจากการเมือง (secular republic) แต่เป็นประเทศที่มีชุมชนมุสลิมใหญ่ที่สุดในโลก มีศาลนาอิสลามเป็นศาลนาประจำชาติ โดยการสำรวจพบว่าประชากรประมาณร้อยละ 87 นับถือศาลนาอิสลาม


 


ประชากรมากกว่าครึ่งอาศัยในเกาะชวาซึ่งมีเนื้อที่เพียงเจ็ดเปอร์เซนต์ของพื้นที่ประเทศ ประชากรราว 12 ล้านคนอาศัยอยู่ในเมืองหลวงจาการ์ต้าซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับประเทศสิงคโปร์ ในตอนใต้สุดของประเทศคือเกาะปาปัวที่ถูกแบ่งระหว่างอินโดนีเซียกับปาปัวนิวกินี เกาะปาปัวส่วนที่เป็นของอินโดนีเซียมีพื้นที่มากกว่าเกาะชวาถึงสามเท่า มีประชากรราวสี่ล้านคนอาศัยอยู่ ครึ่งหนึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมนับได้มากกว่า 250 เผ่าพันธุ์ แต่ละกลุ่มใช้ภาษาของตัวเอง บางกลุ่มยังคงใช้ชีวิตและมีวิถีวัฒนธรรมแบบยุคหิน


 


สื่อในประเทศที่มีขนาดใหญ่และมีความหลากหลายเช่นนี้ ต่างก็มีความหลากหลายเช่นเดียวกับประชากรของประเทศ ในกรุงจาการ์ต้ามีสถานีโทรทัศน์ของเอกชน 10 แห่ง และสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น 1 แห่ง ในหลายจังหวัดไม่มีสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น มีเพียงจังหวัดใหญ่ๆ ที่มีสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของตัวเอง คือที่สุระบายา (Surabaya) เมดาน (Medan) โซโล (Solo) จ็อกจา (Yogya) บันดุง (Bandung) เซมารัง (Semarang) และเดนพาซาร์ (Denpasar) สถานีโทรทัศน์ทั้งหมดนี้เพิ่งก่อตั้งและยังคงมีคำถามต่ออนาคตทางธุรกิจของสถานีเหล่านี้


 


ขณะที่อินโดนีเซียก้าวไปอย่างช้าๆ เพื่อสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่มากขึ้น ผลประโยชน์ในสื่อได้เติบโตขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับตั้งแต่มีการออกกฎหมายใหม่ที่บังคับให้ทุกจังหวัด เขตปกครอง และเมืองต่างๆ เลือกผู้นำจากการเลือกตั้งโดยตรง ปัจจุบันมีสถานีโทรทัศน์เอกชนมากกว่า 1,000 แห่งที่ส่งสัญญาณถ่ายทอดทั่วประเทศ และสถานีแห่งใหม่ๆ กำลังก่อตัวขึ้น กฎข้อบังคับใหม่ที่กำหนดให้สถานีโทรทัศน์ทุกแห่งเปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอลภายในปี พ.ศ.2552 (2009) จะทำให้โทรทัศน์ท้องถิ่นหลายร้อยช่องที่เป็นระบบแอนะล็อก สามารถถูกแปลงไปเป็น 6 ช่องใหม่ที่เป็นระบบดิจิตอลเป็นอย่างน้อยที่สุด เสียงของประชาธิปไตยจะดังยิ่งขึ้น และบทบาทของสื่อที่มีอิทธิพลต่อนโยบายสาธารณะในอินโดนีเซียจะเพิ่มขึ้น


 


อย่างไรก็ตาม บทบาทของสื่อสามารถถูกทำให้กลายเป็นดาบสองคม ไม่ได้เป็นเพราะเหตุบังเอิญที่สถานีโทรทัศน์ วิทยุ และองค์กรสื่อต่างๆ เป็นหนึ่งในเป้าหมายแรกๆ ของคณะรัฐประหารในประเทศใดๆ มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่โครงสร้างพื้นฐานสำหรับสื่อถูกเตรียมไว้ เพื่อทำให้เกิดความแน่ใจว่าหลักสี่ประการแห่งประชาธิปไตยจะยังคงเป็นตัวแทนที่แท้จริงของประชาชนทั้งปวง และไม่ได้เป็นกระบอกเสียงของชนชั้นนำจำนวนน้อยนิด


 


สภาการหนังสือพิมพ์และคณะกรรมการบริหารการกระจายเสียงของอินโดนีเซียซึ่งเป็นสถาบันสาธารณะอิสระได้ผนึกกำลังกันเพื่อสนับสนุนรัฐบาลให้สร้างสภาพแวดล้อมที่สื่อสามารถที่จะดำเนินบทบาทของตนในฐานะผู้จัดเตรียมข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือให้แก่สาธารณชนได้


 


หากมองจากประสบการณ์ของประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ นี่เป็นเส้นทางยาวที่ยากลำบาก แต่ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางบนระยะทางยาวผ่านอุโมงค์ก็ตาม มันเป็นการบากบั่นที่มีคุณค่า ที่มีแสงสว่างของการก่อเกิดประชาธิปไตยอยู่ที่ปลายอุโมงค์


 


 


เชิงอรรถ


[1] แปลจากรายงานเรื่อง The Media Environment in Indonesia: "Bright Light at the End of Long Tunnel?" นำเสนอที่การสัมมนานานาชาติ International Seminar on Defamation: Building a Regional Advocacy Platform ระหว่างวันที่ 9-10 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ที่เมืองจ็อกจาการ์ต้า (Yogyakarta) ประเทศอินโดนีเซีย


[2] Bambang Harymurti เป็นกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งอินโดนีเซีย


[3] เพิ่มเติมโดยผู้แปล - L.B. Sullivan กรรมาธิการที่มาจากการเลือกตั้งของเมือง Montgomery ฟ้องร้องหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทมส์ และรัฐมนตรีผิวดำจำนวน 4 คน ในคดีหมิ่นประมาทด้วยการตีพิมพ์ข้อความโฆษณาที่กระทบต่อชื่อเสียงเกียรติภูมิของเขา หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทมส์ ฉบับวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2503 ตีพิมพ์ข้อความโฆษณาที่ลงชื่อโดยบุคคลที่มีชื่อเสียงจำนวน 64 คนที่เป็นกลุ่มผู้สนับสนุนการเคลื่อนไหวของ Dr. Martin Luther King, Jr., โฆษณาชิ้นนี้มีข้อความที่ระบุว่ามี "ผู้ละเมิดรัฐธรรมนูญ"ที่ขัดขวางสิทธิของพวกเขา โดยอ้างถึงกรณีที่ Dr. Martin Luther King ถูกจับกุมถึงเจ็ดครั้ง


 


            แม้ว่าข้อความโฆษณาชิ้นดังกล่าวไม่ปรากฏชื่อของ Sullivan แต่ Sullivan ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลตำรวจ กล่าวหาว่าข้อความดังกล่าวมีนัยยะที่กระทบต่อชื่อเสียงของเขา โดยคำฟ้องร้องของเขานั้นระบุว่า Dr. Martin Luther King ถูกจับกุมเพียง 4 ครั้ง ไม่ใช่ 7 ครั้งตามที่มีการกล่าวอ้างในบทความโฆษณาในนิวยอร์คไทมส์ เป้าประสงค์ทางการเมืองของการฟ้องร้องคดีนี้เพื่อที่จะทำให้นิตยสารนิวยอร์คไทมส์และสื่ออื่นๆ ในประเทศกลัวที่จะทำข่าวประเด็นการต่อสู้เรื่องแบ่งแยกพลเมืองต่างสีผิว ซึ่งถือเป็นการคุกคามที่รุนแรงต่อสื่อ ศาลสูงได้ยุติยุทธวิธีของการกระทำการหมิ่นประมาททางการเมือง โดยผู้พิพากษาบันทึกความเห็นของศาลไว้ว่า คดีหมิ่นประมาทไม่สามารถที่นำมาใช้เพื่อละเมิดหลักประกันเสรีภาพในการพูด (freedom of speech) ได้


 


 


 


 


.......................................


งานที่เกี่ยวข้อง


มองสื่อนอก: บทนำ ว่าด้วย "การหมิ่นประมาท: การสร้างเวทีระดับภูมิภาคเพื่อสนับสนุนเสรีภาพสื่อ"


มองสื่อนอก #1: บทเรียนการต่อสู้ของสภาการ นสพ.แห่งอินโดนีเซีย ว่าด้วยโทษหมิ่นประมาททางอาญากับสื่อ


 


โปรดติดตามตอนต่อไป


มองสื่อนอก #3: สื่อฟิลิปปินส์ กับ ความรุนแรงหลากชนิด

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net