Skip to main content
sharethis





การเมือง


เพื่อแผ่นดินแตกยับค้านถอนตัว"ริมน้ำ-โคราช"หนุนรัฐบาลต่อ


ส.ส.เพื่อแผ่นดินกลุ่มบ้านริมน้ำ-โคราช อ้าง 15 ส.ส.หนุนรัฐบาลต่อ อัด "สุวิทย์" ไม่เห็นหัว ยันการประกาศถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลไม่ใช่มติพรรค นัดรวมพลพรุ่งนี้ 10.00 น. ทบทวนการถอนตัว


 


หลังจากนายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินได้แถลงข่าวถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล วันนี้(29ก.ค.) เมื่อเวลา 21.00น. ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน กลุ่มบ้านริมน้ำและกลุ่มโคราช และกลุ่มปากน้ำ ขาดกลุ่มของนายพินิจ จารุสมบัติ และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ อาทิ นายพิเชษฐ์ ตันเจริญ ส.ส.ฉะเชิงเทรา นายปาน พึ่งสุจริต รองหัวหน้าพรรค นายสุระเดช ยะสวัสดิ์ ส.ส.สัดส่วน นายพิกิฏ ศรีชนะ ส.ส.ยโสธร นายสมเกียรติ ศรลัมภ์ ส.ส.สัดส่วน นายปุระพัฒน์ วิเศษจินดาวัฒนา ส.ส.นครราชสีมา ได้ร่วมกันแถลงข่าวที่รัฐสภา  ยืนยันว่า จะสนับสนุนรัฐบาลต่อไป


 


นายสมเกียรติ กล่าวว่า การแถลงข่าวของนายสุวิทย์เป็นการตัดสินใจส่วนตัว ส.ส.และกรรมการบริหารพรคทุกคนไม่ได้รับรู้ ซึ่งโดยปกติแล้ว น่าจะมีการประชุมกันก่อน ขณะนี้เห็นว่ายังไม่สมควรถอนตัว เพราะบ้านเมืองกำลังนิ่ง ต้องการความสามัคคี


 


"ทั้งนี้จากการประสานงานเบื้องต้น มีส.ส.ของพรรคไม่ต่ำกว่า 15 คน ที่ยังสนับสนุนรัฐบาลอาทิ นพ. วัลลภ ไทยเหนือ ส.ส.สัดส่วน ม.ร.ว.กิติวัฒนา ไชยยันต์ ส.ส.สัดส่วนนายประนอม โพธิคำ ส.ส.นครราชสีมา นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร นาง จิตติวรรณ หวังศุภกิจโกศล ส.ส.นครราชสีมา นายอนุวัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ส.ส.นครราชสีมา ส่วนที่เหลือยังไม่สามารถติดต่อได้เนื่องจากอยู่ต่างจังหวัดและต่างประเทศ" นายสมเกียรติ กล่าว


 


ด้านนายปาน กล่าวว่า จะประสานไปยัง ส.ส. และกรรมการบริหารพรรคมาประชุมในวันพุธที่ 30 ก.ค.นี้ เวลา 10.00น.ที่พรรคเพื่อแผ่นดิน เพื่อตัดสินใจร่วมกัน ในการจะขอให้หัวหน้าพรรคเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเนื่องจากการแถลงของนายสุวิทย์ไม่ได้เป็นมติพรรคและไม่ได้มีการบอกกับส.ส.และกรรมการบริหารพรรคมาก่อน เพราะอำนาจตัดสินใจทางการเมือง ทาง ส.ส.ของพรรค มอบอำนาจให้หัวหน้าพรรค เฉพาะในช่วงการตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลเท่านั้น ไม่ได้มีผลมาถึงปัจจุบัน ซึ่งไม่รู้ว่ามีตื้นลึกหนาบางอย่างไร


 


เมื่อถามว่า สถานการณ์เช่นนี้ จะเกิดงูเห่า2หรือไม่ นายปานตอบว่า อย่าเพิ่งเดา พูดไม่ได้ โดยส่วนตัว เขากับนายสุวิทย์คุ้นกันดี แต่จะตัดสินใจอะไรน่าจะเห็นหัวกันบ้าง


 


ขณะที่ นายสมเกียรติ กล่าวเสริมว่า เชื่อว่า การประชุมพรุ่งนี้ ส.ส.ทั้ง24คน คงไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันแต่ใครจะว่าเป็นงูเห่างูเขียวก็ช่าง เพราะวันนี้ สังคมต้องการแก้ไขปัญหา จำเป็นต้องทำให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้


 


ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ยังถือว่านายสุวิทย์ ยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่หรือไม่ นาย สุรเดช ยะสวัสดิ์ ประธานส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดินตอบว่า ในทางกฎหมายเป็นแต่โดยส่วนตัวไม่รู้


 


ด้านนายพิเชษฐ์  ล่าวยอมรับว่า การมาแถลงข่าวในครั้ง ส่วนใหญ่เป็นส.ส.ของกลุ่มบ้านริมน้ำและโคราช ส่วนที่เหลือประมาณ 10 คน เข้าใจว่าเป็นกลุ่มของนายพินิจ จารุสมบัติ และนายปรีชา เลาหะพงศ์ชนะ ซึ่งเราก็ไม่ได้ประสานไปยังกลุ่มนี้ เพราะเข้าใจว่ากลุ่มดังกล่าว กำลังต่อรองและตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่


 


ที่มา: http://www.komchadluek.net


 


"ป๋าเหนาะ" ย้ำจุดยืนประชาราชร่วมรัฐบาลต่อ ชี้หากออกจะทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน


นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนของพรรคประชาราช ภายหลังนายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกฯ และรมว.อุตสาหกรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินแถลงข่าวลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ว่า พรรคประชาราชไม่เคยมีแนวคิดที่จะออกจากพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อตัดสินใจมาอยู่พรรคร่วมรัฐบาลแล้วก็เหมือนอยู่เรือลำเดียวกัน การรวมตัวของรัฐบาลยังจำเป็นต้องมีอยู่ต่อไป  ทั้งนี้ เพราะหากถอนเท่ากับปัดความรับผิดชอบจากปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้ และอาจถูกตำหนิได้ เพราะขณะนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวายสถานการณ์กำลังแย่ หากถอนตัวอีกก็จะทำให้การเมืองปั่นป่วน แต่ถ้าจะถอนตัวต้องให้เหตุผลที่ชัดเจนว่ามีสาเหตุอะไร อย่างไรก็ตาม แนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดีน่าจะอยู่ที่การปรับเปลี่ยนตัวบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งคณะรัฐมนตรีมากกว่าการคิดจะถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล


 


นายเสนาะ กล่าวถึงการปรับครม.พรรคพลังประชาชนก็ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล โดยมีการสอบถามการปรับรัฐมนตรี ไม่มีการก้าวก่าย ซึ่งพรรคประชาราช ให้นางอุไรวรรณ เทียนทอง รมว.แรงงาน เป็นผู้พิจารณาเอง โดยให้ยึด นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯและรมว.คลัง เป็นหลัก เพราะหากตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีจะทำให้เกิดความเสียหายเหมือนเป็นการเอาตัวรอด ทั้งที่รัฐมนตรีพรรคใหญ่อย่าง นพ.สุรพงษ์ ยังต้องรับภาระอยู่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับนพ.สุรพงษ์


 


ที่มา: http://www.naewna.com


 


ปปช.ชง"วิชา"ปธ.อนุฯไต่สวนม็อบคนรักอุดรฯตีพันธมิตรฯ


ผู้สื่อข่าว รายงาน วันนี้(29ก.ค.51) ว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งอนุกรรมการไต่สวนผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี , ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี และผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานีกับพวก ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ปล่อยให้กลุ่มประชาชนจำนวนมากพร้อมอาวุธหลายชนิด บุกเข้าทำร้ายประชาชนที่จัดชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ณ บริเวณสวนสาธารณะหนองประจักษ์ โดยมีนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.เป็น ประธานอุนกรรมการไต่สวน และนายประสาท พงษ์ศิวาไพร กรรมการ ป.ป.ช.ร่วมเป็นอนุกรรมการ


 


ที่มา: http://www.siamrath.co.th


 


ปชป.ส่งอภิรักษ์ชิงผู้ว่ากทม.


นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ในฐานะประธานคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวก่อนการประชุมถึงคดีรถดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ถูกสอบสวนเรื่องการทุจริต ซึ่งมีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่า กทม เกี่ยวข้องด้วย ว่าขณะนี้ยังหาข้อยุติไม่ได้ ซึ่งการพิจารณาของคตส.ถือว่ามีผลดีกับนายอภิรักษ์ คือไม่ได้วินิจฉัยว่ามีการกระทำผิด ส่วนนี้เป็นเรื่องที่กรรมการจะต้องนำมาพิจารณากัน และจะไปด่วนตัดสิทธิ์ไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานคร (กทม.) เพราะเหตุนี้ไม่ได้ เพราะในขณะที่การพิจารณาของคตส.ยังไม่ชี้ชัด แต่มีแนวโน้มว่าเป็นเรื่องการปฏิบัติตามสัญญา ถ้าเป็นเช่นนี้ก็คิดว่านายอภิรักษ์ก็มีโอกาส และที่สำคัญคือโดยประเพณีปฏิบัติของพรรคในการคัดเลือกตั้งผู้สมัคร คนเก่าอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ ถ้าไม่มีความเสียหายหรือบกพร่อง หรือไม่มีคนใหม่ที่มีความโดดเด่นกว่าก็จะให้ความเห็นชอบกับคนเก่า


 


กรณีเช่นนี้นายอภิรักษ์ก็มีโอกาสสูง และในวันนี้ถ้าไม่มีคนอื่นมาเปรียบเทียบ ผมคิดว่าจะจบในชั้นนี้ได้ แต่การตัดสินเด็ดขาดจะอยู่ที่คณะกรรมการบริหารพรรค


 


สำหรับการเปิดตัวผู้สมัครผู้ว่ากทม.คนใหม่จะอยู่ที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ ของพรรคว่าจะเปิดตัวเมื่อไหร่ ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ที่จะมีการเปิดตัวในช่วงเดือน สิงหาคม อย่างไรก็ตามนายอภิรักษ์คิดว่าเป็นคนทีได้เปรียบเพราะทำงานมาตลอด เข้าตาชาวบ้านพอสมควร แต่ถ้าคดียังไม่ยุติก็อาจจะถูกโจมตีได้ก็ต้องมีการชี้แจง ทำความเข้าใจกัน และประชาชนก็จะเป็นคนตัดสิน ส่วนเรื่องแผนการรับมือในเรื่องนี้ฝ่ายยุทธศาสตร์จะเป็นคนไปดู


 


ด้านนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่า กทม.กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า มีการหารือ เกี่ยวกับบุคคลที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งตนในฐานะเป็นผู้ว่าฯกทม. ได้ชี้แจงถึงการทำงานที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องนโยบายโดยได้มีการสอบถามจากประชาชนว่าจะให้แก้ไขปัญหาในเรื่องใด เช่น การจราจร สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การส่งเสริมพัฒนาการศึกษา การดูแลสุขภาพของประชาชน ที่สำคัญคือ การส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยคณะกรรมการสอบถามรายละเอียด ถึงแนวทางในเชิงนโยบายเกี่ยวกับการทำงานที่ผ่านมา ส่วนกระบวนการต่อไปจะมีการเสนอชื่อไปยังหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และเลขาธิการพรรคเพื่อเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารในวันศุกร์ที่ 1 ส.ค.นี้ เพื่อพิจารณาอนุมัติ และส่งชื่อลงสมัครในตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.ต่อไป


 


สำหรับการเตรียมการรณรงค์หาเสียงนั้น นายอภิรักษ์ กล่าวว่า จะหารือกับพรรคอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นในเดือนตุลาคมเพราะต้องรอ กกต.ประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่งก่อน ส่วนนโยบายจะมีการประกาศหลังจากมีการเปิดรับสมัครอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ตนมีความตั้งใจที่จะดำเนินนโยบายที่เป็นเป้าหมายหลัก และประเด็นที่ได้สอบถามประชาชนว่า ต้องการให้ทำอะไรต่อเพื่อผลักดันโครงการให้มีความต่อเนื่องในทุกโครงการ หรืออาจจะมีการเสนอโครงการใหม่ที่ประชาชนอยากทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยที่ผ่านมามีการสำรวจทุกสามเดือนเพื่อประเมินผลการทำงานในทุกโครงการ และจะได้มีการสำรวจเกี่ยวกับปัญหาจราจรและสิ่งแวดล้อมว่ามีจุดบกพร่องที่ต้องปรับปรุงในส่วนใดบ้างเพื่อผลักดันให้กรุงเทพฯเป็นเมืองน่าท่องเที่ยวอันดับ 1 ของโลกต่อไป


 


ผมมั่นใจในการทำงานที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับคนกรุงเทพฯว่าจะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งเมื่อพรรคประกาศอย่างเป็นทางการ ผมมีความพร้อมและมีความมั่นใจที่จะเร่งผลักดันโครงการทั้งในส่วนที่ทำมาแล้ว และยังไม่แล้วเสร็จ และยอมรับว่าคงมีการนำประเด็นทุจริตโครงการรถและเรือดับเพลิง กทม.มาโจมตี แต่ไม่กังวลเพราะมีการชี้แจงมาตลอด เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของ ป.ป.ช. และ มั่นใจว่าชี้แจงได้ แต่เมื่อมีการแข่งขันก็คงหยิบยกเรื่องนี้มาโจมตี แต่คิดว่าประชาชนจะเข้าใจในสิ่งที่ผมชี้แจง


 


ส่วนที่มีข่าวว่า ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อาจลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่า กทม. ด้วย ถือเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวหรือไม่ นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ไม่กังวลหากลงสมัครก็แข่งขันกันตามกติกา


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะกรรมการชุดดังกล่าวใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง โดยมีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นประธาน ซึ่งมีความชัดเจนว่าจะส่งนายอภิรักษ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่า กทม.อีกสมัยหนึ่ง โดยได้ให้นายอภิรักษ์แสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุม เกี่ยวกับการทำงานที่ผ่านมา และสิ่งที่จะดำเนินการต่อหากลงสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งสอบถามถึงปัญหาเกี่ยวกับคดีทุจริตรถและเรือดับเพลิงที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ป.ป.ช. ซึ่งนายอภิรักษ์มั่นใจว่าจะสามารถชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ได้ ที่ประชุมจึงมีมติที่จะเสนอชื่อนายอภิรักษ์ให้คณะกรรมการบริหารพรรคมีมติอนุมัติเพื่อลงสมัครในตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีกสมัยหนึ่งในวันศุกร์ที่ 1 ส.ค.นี้


 


ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 29 ก.ค. 2551


 


กมธ.งบถกเดือดหั่น179ล้านอุดรฯเหตุ"ม็อบปะทะ"


กมธ.งบประมาณ ปะทะคารมเดือดเหตุผู้ว่าฯ อุดรธานี ปล่อยม็อบตีพันธมิตร เสนอตัด 179 ล้านงบการสร้างความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินวงเงิน และงบตัดถนน ส่วนรองผู้ว่าฯ อุดรธานี เสียงอ่อยมาตอบแต่เรื่องงบประมาณ ไม่ได้รับมอบให้ตอบเรื่องอื่น


 


การประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณารายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 วานนี้ (29 ก.ค.) มี นายวิทยา บูรณศิริ รองประธาน กมธ. ทำหน้าที่เป็นประธาน ได้พิจารณางบประมาณจำแนกตามจังหวัด 75 จังหวัด โดยถือเป็นครั้งแรกที่แยกส่วนงบประมาณรายจังหวัดออกจากงบประมาณของกระทรวงมหาดไทย ตามรัฐธรรมนูญ หมวด 8 ว่าด้วยการเงิน การคลัง และ งบประมาณ


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อมีการพิจารณางบประมาณในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนบน อุดรธานี หนองคาย เลย และ หนองบัวลำภู นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงเหตุการณ์การรุมทำร้ายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ว่า อยากถามผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ว่า ภายหลังจากเหตุการณ์คนไทยลุกขึ้นมาฆ่ากัน จนถึงวันนี้ผู้ว่าฯ ยังนอนหลับดีอยู่หรือไม่ และอยากให้ผู้ว่าฯ ช่วยอธิบายให้ฟังว่าทำไมจึงมีเหตุการณ์คนไทยลุกขึ้นมาฆ่ากันเอง รวมทั้งคนที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสที่ไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลขอนแก่น ก็ยังถูกคุกคาม ได้ตั้งข้อหา และดำเนินคดีกับใครบ้าง มีคนเจ็บกี่คน มีคนตายหรือไม่


 


นายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี พรรคพลังประชาชน ได้กล่าวสวนขึ้นทันทีว่า เรื่องม็อบที่อุดรฯ เข้าใจว่าคนที่เข้าไปชุมนุมนั้นไปด่าคนอุดรฯ จนทำให้เกิดเรื่อง การเข้าไปก่อกวนแบบนั้นไม่ตีให้ตายก็บุญแล้ว เพราะตอนนี้ทราบว่าคนที่อยู่ห้องไอซียูเป็นคน จ.ตรัง และ นนทบุรี


 


นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เหตุการณ์นั้นถือเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน การที่ผู้ว่าฯ เสนอแผนงานงบประมาณข้อ 7 เรื่องการสร้างความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินวงเงิน 13 ล้านนั้น ขอตัดออก เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อยู่ก็ไม่เชื่อว่า จ.อุดรธานี จะมีความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินได้


 


นายวิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ รองผู้ว่าฯ อุดรธานี ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายสุพจน์ เลาวัณย์ศิริ ผู้ว่าฯอุดรธานี ชี้แจงว่า ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าฯ ให้มาชี้แจงเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับงบประมาณเท่านั้น แต่ไม่ได้รับมอบอำนาจให้ตอบคำถามเรื่องม็อบ


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อรองผู้ว่าฯ ชี้แจงเสร็จทำให้บรรยากาศในห้องประชุมตึงเครียดขึ้นมาทันที โดย กมธ.ในซีกฝ่ายค้าน และรัฐบาล ต่างรุมวิจารณ์การตอบคำถามของรองผู้ว่าฯ ว่าไม่เหมาะสม เพราะการที่ผู้ว่าฯ มอบหมายให้มาชี้แจงก็ต้องตอบได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่เลือกตอบเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง


 


นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ กมธ.จากพรรคประชาธิปัตย์ ถึงกับกล่าวว่า "ถ้าชี้แจงไม่ได้ ก็ขอให้ผู้ว่าฯ มาชี้แจงเรื่องม็อบด้วยตัวเอง จะมาวันไหนก็ได้ เพราะ กมธ.ต้องประชุมอีกหลายวัน"


 


ขณะที่ นายบุญยอด กล่าวว่า ยุทธศาสตร์การใช้งบประมาณจังหวัดอุดรธานี ด้านสังคม หากจังหวัดนำงบประมาณ 166 ล้านบาท มุ่งก่อสร้างถนนแล้วไม่สนใจด้านสังคมก็ขอเสนอตัดงบส่วนนี้ไม่ต้องมีงบประมาณเลยดีกว่า ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมคนไทยถึงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแตกต่างกัน เพราะการที่คนลุกขึ้นมาฆ่าฟันกันทำให้เสียชื่อจังหวัดอุดรธานี


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนั้นนายวิเชียร ได้ทักท้วงขึ้นทันทีว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ม็อบชนม็อบ และอยากให้นายบุญยอด ชี้แจงว่า ใครฆ่าใคร และขอให้ถอนคำพูด ส่วน น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคพลังประชาชน กล่าวเสริมอย่างมีอารมณ์ โดยพูดด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับชี้มือไปที่ประธานที่ประชุมว่า ขอให้นายบุญยอดถอนคำพูดด้วย ไม่เช่นนั้นเขาไม่ยอมให้ประชุมต่อ เป็นเหตุให้นายวิทยา ขอร้องให้นายบุญยอด ถอนคำพูด และนายบุญยอด ยอมถอนและขอใช้คำว่ารุมทำร้าย จากนั้นประธานจึงสั่งพักรับประทานอาหารกลางวัน


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังออกจากห้องประชุม นายวิเชียร ได้กล่าวกับเพื่อน กมธ.ว่า ถ้าแกนนำกลุ่มพันธมิตร 5 คน ไปอุดรฯ จะให้จับฆ่าให้หมดเลย"


ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com


 






เศรษฐกิจ


เบรกสมอ.ออกกฏคุม"หม้อก๋วยเตี๋ยว" หวั่นรายเล็กไม่รอด


นายอานนท์ เรืองจรุงพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ไทยสเตนเลสสตีล กล่าวว่า ถ้าสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) ประกาศบังคับใช้ร่างมาตรฐานเครื่องใช้เหล็กกล้าไร้สนิม : ภาชนะสำหรับปรุงหรือบรรจุอาหารที่มีรอยประสานสัมผัสกับอาหาร เล่มที่ 1 หม้อหุงต้ม โดยผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายจะต้องผลิต นำเข้า และจำหน่ายเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเท่านั้น อาจส่งผลต่อผู้ผลิตหม้อก๋วยเตี๋ยวรายเล็กได้ เพราะบางรายผลิตเองในครัวเรือน ไม่มีเครื่องจักรที่ทันสมัย


 


โดยขณะนี้มีประกาศกระทรวงห้ามจำหน่ายหม้อที่มีสารตะกั่วเป็นตัวประสานอยู่แล้ว แต่ในตลาดมีหม้อก๋วยเตี๋ยวที่ใช้สารตะกั่วเป็นตัวบัดกรีจำหน่ายอยู่กว่า 50% ซึ่งผู้ผลิตกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบโดยตรง นอกจากนี้การระบุมาตรฐานที่ละเอียดเกินไปอาจเป็นอุปสรรคได้ ดังนั้นร่างมาตรฐานจะต้องนำไปปรับปรุงก่อนปฏิบัติจริง


 


ด้านนายไพโรจน์ สัญญะเดชากุล เลขาธิการ สมอ. ระบุว่า เรื่องนี้อยู่ในขั้นรับฟังความคิดเห็น หลังจากนี้คณะกรรมการจะรวบรวมข้อมูลประกาศเป็นมาตรฐาน และเสนอ ครม.ให้ประกาศเป็นมาตรฐานบังคับ คาดว่าจะเสนอได้ภายในเดือนหน้า


 


ที่มา: http://www.naewna.com


 


ดึงเอกชนพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน


น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ที่ประชุมกลุ่มผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (จีเอ็มเอส) เห็นชอบให้มอบอำนาจ แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด หอการค้าและสภาอุต   สาหกรรมจังหวัดชายแดน เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจกลุ่มเศรษฐกิจในพื้นที่ และเข้าร่วมประชุมกับกลุ่มสมาชิกอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล พร้อมทั้งเสนอ แนะโครงการแก่ภาครัฐเพื่อผลักดันการดำเนินการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจให้เกิดผลเป็นรูปธรรม


 


"ที่ผ่านมาการพัฒนาการค้ากลุ่มจีเอ็มเอสยังทำได้ไม่มาก เพราะส่วนหนึ่งคือการขาดการทำงานบูรณาการระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่น ทำให้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้นำกลุ่มจีเอ็มเอสเห็นชอบให้จัดตั้งเวทีดำเนินงานพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจ (อีซีเอฟ) เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมภาครัฐและเอกชนในจังหวัดชายแดนในแนวพื้นที่เศรษฐกิจ โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกด้านการข้ามแดนและผ่านแดน รวมทั้งการยกระดับการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจ ตามจังหวัดชายแดนและจังหวัดบริวารที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงการจัดแผนโครงการระหว่างส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น และการได้รับงบประมาณ เพื่อให้ไปในทิศทางเดียวกัน"


 


ปัจจุบันกลุ่มจีเอ็มเอสได้สร้างเส้นทางเชื่อมโยงการขนส่งทั้งทางถนน รถไฟ ทางน้ำ และอากาศ ตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจ 3 เส้นทาง คือเส้นทางเหนือ-ใต้ ตะวันออก-ตะวันตก และตอนใต้แล้ว แต่ยังมีปัญหาอุปสรรคด้านนโยบายและกฎระเบียบที่ยังมีข้อจำกัด ปัญหาการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งได้ทำให้เศรษฐกิจของกลุ่มขยายตัวได้ไม่รวดเร็วนัก.


 


ที่มา: เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 30 ก.ค. 2551


 


"อิเล็กฯ-ท่องเที่ยว"เสี่ยงซมพิษต้นทุนพุ่งรายได้ต่ำ-สสว.เตือนปรับตัว


สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) เปิดเผยผลวิเคราะห์และเตือนภัย SMEs รายสาขา ว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ราคาน้ำมัน ราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งค่าจ้างเงินเดือนที่มีการปรับตัวตามค่าครองชีพ ส่งผลกระทบให้ภาคอุตสาหกรรม SMEs มีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น โดยภาคอุตสาหกรรมต้องเร่งปรับตัวเพราะนอกจากต้องเผชิญอุปสรรคจากภายนอกที่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ยังต้องเผชิญปัญหาผลตอบแทนจากการดำเนินงานต่ำ ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของกิจการด้วย โดยในระยะสั้นผู้ประกอบการ SMEs ต้องเร่งปรับตัวด้วยการวิเคราะห์ต้นทุนเพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย พัฒนาสินค้าด้านบรรจุภัณฑ์ เพื่อกระตุ้นการซื้อทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น


 


ทั้งนี้สาขาที่ต้องเร่งปรับตัวมากที่สุดเพราะมีต้นทุนสูงขึ้น แต่ผลตอบแทนต่ำ คือ กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต ประเภทวิศวการ ได้แก่ สาขาอิเล็กทรอนิกส์ ต้นทุนสูงขึ้น 19-20% สาขาต่อเรือและซ่อมเรือ ต้นทุนสูงขึ้น 16-17% ประเภทการผลิตเบา ได้แก่ สาขาแร่อโลหะ ต้นทุนสูงขึ้น 14-15% สาขาผลิตภัณฑ์พลาสติก ต้นทุนสูงขึ้น 11-12% สาขาสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ต้นทุนสูงขึ้น 9-10% สาขาอัญมณีและเครื่องประดับ ต้นทุนสูงขึ้น 8-9% ประเภทใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ สาขาผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ ต้นทุนสูงขึ้น 10-11% สาขาผลิตภัณฑ์จากธัญพืช ต้นทุนสูงขึ้น 8-9% สาขาผลิตภัณฑ์ยาง และสาขาผักผลไม้ ต้นทุนสูงขึ้น 7-8% กลุ่มธุรกิจการค้าและบริการ ได้แก่ สาขาบริการท่องเที่ยว ต้นทุนสูงขึ้น 5-6% สาขาบริการก่อสร้าง สาขาค้าปลีกค้าส่ง ต้นทุนสูงขึ้น 4-5%


 


ที่มา: http://www.naewna.com


 


พาณิชย์ปลุกขวัญนักลงทุนหวั่นเวียดนามแย่งซีน


นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีความขัดแย้งเรื่องพื้นที่ทับซ้อนเขาพระวิหารระหว่างไทย-กัมพูชาในการเปิดประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างประเทศเรื่อง "ย้ายฐานการผลิต : ความท้าทายของภาคเอกชนไทย" ที่จัดโดยกรมการค้าต่างประเทศวานนี้ (28 ก.ค.) ว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการค้าไทย-กัมพูชา โดยสถานการณ์อยู่ในขั้นปกติ แม้ประชาชน 2 ประเทศจะมีความไม่เข้าใจต่อประเด็นดังกล่าวอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าไม่เกิน 1 เดือนนี้ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สถานะปกติ


 


อย่างไรก็ตาม แม้ช่วงแรกชาวกัมพูชาอาจซื้อสินค้าไทยลดลง แต่ เป็นเพียงระยะสั้น เพราะหลังจากเลือกตั้งเสร็จสิ้นทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จึงอยากแนะนำให้นักลงทุนไทยอย่าชะลอการลงทุนและใช้ ประโยชน์จากความร่วมมือกลุ่มแอคเมคส์ประกอบด้วยไทย เวียดนาม พม่าและลาว" นายวิรุฬกล่าว


 


นางจิรนันท์ วงศ์มงคล อัครราชทูตที่ปรึกษา ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา กล่าวว่า แม้ 2 ประเทศจะมีปัญหาขัดแย้งเรื่องเขาพระวิหาร แต่มูลค่าการค้าระหว่างกัน 6 เดือนแรกปีนี้กลับเพิ่มขึ้นถึง 70% หรือมีมูลค่าประมาณ 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขยายตัวมากกว่าปีก่อนๆ ที่ขยายตัวประมาณ 30% จึงไม่อยากให้นักลงทุนไทยชะลอการลงทุน เพราะเชื่อว่าปัญหาเขาพระวิหารจะจบลงได้ในเร็วๆนี้ ที่สำคัญขณะนี้มีประเทศคู่แข่งที่พร้อมจะเข้าลงทุนในกัมพูชาแข่งกับไทย ทั้งเกาหลีใต้ จีน เวียดนาม โดยเฉพาะเกาหลีใต้ที่จะมาแย่งตลาดก่อสร้างจากไทย เพราะกัมพูชากำลังก่อสร้างสาธารณูปโภคอีกมาก หากไทยชะลอการลงทุนอาจทำให้กัมพูชาหันไปนำเข้าทั้งเทคโนโลยี และสินค้าจากเกาหลีใต้แทนได้


 


"การค้าไทยมีสะดุดบ้างช่วงต้นเดือน ก.ค. เพราะถูกกระแสบอยคอตสินค้าไทยจากประเด็นเขาพระวิหาร แต่หลังจากที่รัฐบาลกัมพูชาทำหนังสือเมื่อวันที่ 25 ก.ค.แจ้งประชาชนว่ารัฐบาลไม่สนับสนุนการไม่ใช้สินค้าไทย และขอให้ชาวกัมพูชากลับมาใช้สินค้าไทยเหมือนเดิม เพราะไทยและกัมพูชาเป็นพี่น้องกัน สถานการณ์ก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และยิ่งผ่านพ้นการเลือกตั้งไปแล้วเชื่อว่าทุกอย่างคงไม่มีปัญหา"


 


นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) กล่าวว่า ธสน.พร้อมสนับสนุนเงินทุนภาคอุตสาหกรรมที่เข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะกัมพูชา เพราะแม้ 2 ประเทศไม่เข้าใจในเรื่องปัญหาพื้นที่ทับซ้อน แต่ในฐานะภาคเอกชนมองว่ายังไม่น่ากังวลมากเกินไป เพราะเชื่อว่าไม่มีอะไรเสียหาย หากกัมพูชาเจริญไทยก็เจริญตามไปด้วย เพราะไทยเข้าไปลงทุนด้านอุตสาหกรรมและบริการค่อนข้างมาก และกัมพูชาเชื่อถือสินค้าไทย รวมถึงอยากให้มองถึงอนาคตด้วย เช่นพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเกาะกง ซึ่งมีก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันค่อนข้างมาก หากตกลงกันได้ก็จะเป็นประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายมหาศาล


 


นางสมจินต์ เปล่งขำ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า ได้สั่งการให้สำนักงานส่งเสริมการค้าใน ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เลื่อนการจัดงานแสดงสินค้าในกัมพูชาที่กำหนดจัด 3-4 งานในเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ออกไปก่อนจนกว่าจะมั่นใจว่าไม่มีเหตุการณ์รุนแรงจริง และนักธุรกิจที่จะร่วมเดินทางไปกัมพูชามีความมั่นใจ แต่เชื่อว่าหลังการเลือกตั้งในกัมพูชาแล้วเสร็จสถานการณ์น่าจะปกติ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าความขัดแย้ง 2 ประเทศจะไม่กระทบต่อการค้า เพราะคนไทยกับกัมพูชาใกล้ชิดกันมากและยังต้องการสินค้าไทย แม้ช่วงแรกอาจมีกระแสต่อต้านบ้างเพื่อหวังผลทางการเมือง


 


ที่มา: http://www.thairath.co.th


 


 






คุณภาพชีวิต


แพทยสภาร่างโมเดล คุมทดลองสเต็มเซลล์


แพทยสภาเร่งจัดทำข้อบังคับวิจัยสเต็มเซลล์ คาดอีก 3 เดือน คลอดร่างฉบับสมบูรณ์ก่อนยื่น สธ. ชี้แพทย์ต้องขออนุมัติ 2 ระดับ คือ กรรมการวิจัยในคน และกรรมการเซลล์ต้นกำเนิดของ สธ. เผยอิงโมเดลเดียวกับการควบคุมทดลองวัคซีนเอดส์


 


นายแพทย์สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา เปิดเผยว่า แพทยสภาได้จัดทำร่างข้อบังคับว่าด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อรักษาโรค นอกเหนือจากการรักษาโรคทางโลหิตวิทยาปี  2551 ซึ่งอยู่ระหว่างปรับแก้ในขั้นตอนสุดท้าย และยืนยันว่าพร้อมสนับสนุนการวิจัยเทคโนโลยีสเต็มเซลล์รักษาโรค และไม่ได้ขัดขวางความก้าวหน้าทางการแพทย์ แต่งานวิจัยนั้นจะต้องมีข้อมูลหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์รองรับ และอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรม


 


สเต็มเซลล์รักษาโรค เป็นแนวโน้มของการแพทย์ในอนาคต ภายหลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการรักษาโรคเลือดอย่างธาลัซซีเมีย ทำให้การรักษาโรคเลือดด้วยสเต็มเซลล์เป็นมาตรฐานที่ยอมรับ ส่วนสเต็มรักษาโรคอื่น ไม่ว่าจะเป็นโรคทางสมอง โรคหัวใจ โรคกระดูก ล้วนอยู่ในขั้นตอนของการวิจัย ในช่วงปีที่ผ่านมาประเทศไทยทดลองใช้สเต็มเซลล์อย่างกว้างขวาง รวมถึงมีการอ้างอิงว่าสามารถรักษาโรคได้ จนหลายฝ่ายเกรงว่าจะเกิดธุรกิจผิดจริยธรรมแอบแฝงขึ้น


 


แพทยสภาจึงระดมผู้เชี่ยวชาญจัดทำร่างข้อบังคับสำหรับแพทย์ ที่ต้องการทำวิจัยสเต็มเซลล์ ให้ดำเนินการวิจัยโดยมีหลักเกณฑ์ทางวิชาการรองรับ และถูกต้องตามจริยธรรม ไม่หลอกลวง ต้องรักษาผลประโยชน์รวมถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ


 


ข้อบังคับดังกล่าวระบุให้โครงการวิจัย จะต้องผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคนของสถาบันนั้นๆ และผ่านการรับรองจากคณะกรรมการวิชาการพิจารณาการศึกษาวิจัยในคนด้านเซลล์ต้นกำเนิด ของกระทรวงสาธารณสุขอีกขั้นตอนหนึ่ง หากขัดขืนมีโทษถึงริบใบอนุญาตวิชาชีพ


 


"ขั้นตอนการอนุมัติให้ทำงานวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดในประเทศไทย มีเกราะถึงสองชั้น คล้ายคลึงกับข้อกำหนดในการทำวิจัยวัคซีนเอดส์ก่อนหน้านี้ เนื่องจากการวิจัยทั้งสองรูปแบบเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน จำเป็นต้องควบคุมไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด" นายกแพทยสภา กล่าว


 


ทั้งนี้ การทำวิจัยวัคซีนเอดส์หากไม่มีการควบคุม อาจจะตีความได้ว่าฉีดวัคซีนแล้วไม่เป็นเอดส์ตลอดไป ทำให้คนแห่ไปฉีดวัคซีนจนละเลยที่จะป้องกันและก่อให้เกิดการสูญเสียตามมา แต่ปัจจุบันวัคซีนดังกล่าวก็ยังพัฒนาไม่สำเร็จ


 


น.พ.นิพัญจน์ อิศรเสนา หัวหน้าหน่วยสเต็มเซลล์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในอนุกรรมการพิจารณาร่างข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม เกี่ยวกับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด กล่าวว่า ไทยเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ โดยมีการทดลองอย่างแพร่หลาย ปราศจากการควบคุมดูแล เพราะเป็นวิทยาการใหม่ที่ยังไม่มีกฎหมายหรือข้อบังคับมาก่อน


 


"ในมุมมองของต่างชาติ การรักษาโรคด้วยสเต็มเซลล์เป็นสิ่งที่น่าสนใจ แต่ที่น่ากลัวคือการนำไปใช้ก่อนเวลาที่เหมาะสม โดยไม่มีข้อมูลทางวิชาการรองรับ ซึ่งจากการอวดอ้างตามหน้าหนังสือพิมพ์ของโรงพยาบาลหลายแห่ง ทำให้มุมมองการวิจัยสเต็มเซลล์ของต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยอยู่ในแง่ลบ เทียบเท่ากับจีน ที่เปิดให้วิจัยรักษากันอย่างอิสระโดยขาดการควบคุม" น.พ.นิพัญจน์ กล่าว


 


ล่าสุดแพทยสภาได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็น เกี่ยวกับร่างข้อบังคับฉบับดังกล่าว โดยมีแพทย์จากโรงพยาบาลรัฐและเอกชน รวมถึงบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสเต็มเซลล์เข้าร่วม เพื่อปรับปรุงแก้ไขในขั้นตอนสุดท้าย ก่อนนำเสนอให้กระทรวงสาธารณสุข คาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกิน 3 เดือน ในส่วนของการโฆษณาสเต็มเซลล์เกินจริง เช่น สเต็มเซลล์จากสัตว์เพื่อบำรุงผิวหน้านั้น แพทยสภาพร้อมประสานคณะกรรมอาหารและยา (อย.) เพื่อตรวจสอบต่อไป


 


ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com


 


แพทย์เผยผู้หญิงไทยเสี่ยงโรคกระดูกพรุนควรเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ร่วมกับออกกำลังกาย


องค์การอนามัยโลก พบสถิติผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมากพร้อมเป็นภัยเงียบคุกคามชีวิตคนไทย ทางมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ไวเอท คอนซูเมอร์ เฮลธ์แคร์ จัดกิจกรรม 600 พลัส ขยับต้านภัยกระดูกพรุน กระตุ้นคนไทยป้องกันโรคกระดูกพรุน เน้นการออกกำลังกาย ควบคู่การบริโภคแคลเซียมให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันเพื่อดูแลสุขภาพตั้งแต่หนุ่มสาวและห่างไกลโรคกระดูกพรุนในวัยสูงอายุ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์


 


รศ.นพ.สุรศักดิ์ นิลกานุวงศ์ ประธานมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์โรคกระดูกพรุนกลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุขอันดับ 2 รองจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ในพ.ศ.2593 มีแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยเพื่อมขึ้นเป็น 6.3 ล้านคน ประเทศไทยกำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี ซึ่งผู้ป่วยเสียค่าใช้จ่ายต่อการรักษาสูงถึง 3แสนบาทต่อคนต่อปี


 


โดยธรรมชาติความหนาแน่นของกระดูกในมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยมีกระบวนการย่อยสลายกระดูกเก่าและสร้างเนื้อกระดูกใหม่ขึ้นมาทดแทน เพื่อให้กระดูกมีความแข็งแรงและหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยรุ่น ถึงช่วงกระดูกมีความหนาแน่นมากที่สุด ได้แก่อายุประมาณ 30-34 ปี หลังจากนั้นการหนาแน่นของกระดูกเริ่มลดลง


 


โรคกระดูกพรุนเกิดจากหลายสาเหตุ สังเกตได้หลังจากอายุ 30 ปี ขึ้นไปจนถึงวัยหมดประจำเดือนเป็นกลุ่มเสี่ยงจะเป็นโรคกระดูกพรุน เนื่องจาก มวลกระดูกจะลดลงอย่างรวดเร็วทำให้ผู้หญิงมีอัตราการสูญเสียเนื้อกระดูกมากกว่าผู้ชาย 2-3 เท่า


 


เมื่อกระดูกเริ่มบาง ไม่สามารถสังเกตได้ เนื่องจากมีอาการแค่ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย หากไม่ได้รับแคลเซียมเพียงพอกระดูกสลายเรื่อยๆ และแต่ละช่วงวัยมีการสูญเสียมวลกระดูกไม่เท่ากัน ผู้หญิงก่อนหมดประจำเดือนจะมีการสูญเสียมวลกระดูกสันหลังอัตราร้อยละ 1 ต่อปี และเพิ่มเป็นร้อยละ 3 ต่อปี หลังหมดประจำเดือน หากไม่ได้รับฮอร์โมนเสริมจะมีการสูญเสียถึงร้อยละ 20 ของปริมาณรวมที่จะต้องสูญเสียตลอดชีวิตหลังหมดประจำเดือน 5-7 ปี และก่อนอายุ 80 ปี ความหนาแน่นของกระดูกจะลดลงมากกว่าร้อยละ 47 ของมวลกระดูกทั้งหมด


 


ประธานมูลนิธิโรคกระดูกพรุนฯ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า มีสาเหตุหลายด้านที่ส่งให้เกิดโรคกระดูกพรุน อาทิ ภาวะหมดประจำเดือน รับประทานอาหารไม่ถูกสัดส่วนและมีรสชาติเค็มจัด ดื่มกาแฟมากกว่า 4 แก้วต่อวัน สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ออกกำลังกาย ทานยาสเตอรอยด์บางชนิดนานเกินไป ขาดแคลเซียมเป็นเวลานาน


 


หากต้องการหลีกเลี่ยงหรือชะลอการเกิดโรคกระดูกพรุน ควรเริ่มจากการดูแลร่างกายทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่สามารถควบคุมได้ การอกกำลังกาย ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กระดูก การรับประทานอาหาร ที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ประกอบด้วยนมและผลิตภัณฑ์นม ปลาตัวเล็ก ถ่วเหลือง ผักใบเขียว โดยเฉพาะนมควรเริ่มดื่มตั้งแต่เด็กๆ เพื่อเสริมสร้างกระดูกให้มีความแข็งแรง


 


ภายในงานได้มีกิจกรรมต่างๆมากมาย อาทิ ตรวจสุขภาพกระดูกฟรี ลิ้มลองอาหารเพื่อสุขภาพของกระดูก ฯลฯ และสามสาว พิมลวรรณ หุ่นทองคำ พิธีกรรายการผู้หญิงถึงผู้หญิง เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ และ เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ ได้มาพูดคุยการดูแลตนเองให้มีสุขภาพดี พร้อมร่วมออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรงของกระดูก อีกด้วย


 


http://www.naewna.com


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net