Skip to main content
sharethis

 


 


ตามที่องค์การสหประชาชาติ(United Nations) ได้ประกาศให้วันที่ 9 สิงหาคมของทุกปีเป็นวัน "ชนเผ่าพื้นเมืองโลก" และกำหนดให้ระหว่างปี พ..2548 - 2557(.. 2005- 2014) เป็น "ปีทศวรรษสากลของชนเผ่าพื้นเมืองโลก"(ระยะที่ 2) นั้น


                                                                                               


อีกทั้งเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้มีมติรับรอง"ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง" อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ประเทศสมาชิกและประชาคมโลกตระหนักถึงปัญหาและข้อกังวลต่าง ๆ ของพี่น้องชนเผ่าพื้นเมืองที่ประสบอยู่ และจะได้ร่วมช่วยกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง ตลอดจนร่วมส่งเสริม ยืนยันและรับรองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในทุกระดับด้วย                                 


ล่าสุด (7 ส.ค.51) ที่บริเวณหอประชุมใหญ่สถานบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ร่วมกับองค์กรพันธมิตร ได้จัดงาน "มหกรรมชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ประจำปี 2551" เพื่อเป็นการรณรงค์และเฉลิมฉลองวันชนเผ่าพื้นเมืองและปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย รวมทั้งเพื่อพัฒนากลไกและขบวนการขับเคลื่อนงานเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย และเพื่อนำเสนอนโยบายและข้อเรียกร้องของชนเผ่าพื้นเมืองต่อรัฐบาลไทยและองค์การสหประชาชาติ


 


การจัดงานมหกรรมชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ประจำปี 2551 ครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากองค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันที่ 9 ส.ค.ของทุกปีเป็นวัน "ชนเผ่าพื้นเมืองโลก" และกำหนดให้ระหว่างปี พ.ศ. 2548 - 2557 (ค.ศ. 2005- 2014) เป็น "ปีทศวรรษสากลของชนเผ่าพื้นเมืองโลก" (ระยะที่ 2) อีกทั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2550 ที่ผ่านมา ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้มีมติรับรอง "ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง" อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ประเทศสมาชิกและประชาคมโลกตระหนักถึงปัญหาและข้อกังวลต่าง ๆ ของพี่น้องชนเผ่าพื้นเมืองที่ประสบอยู่ และจะได้ร่วมช่วยกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง ตลอดจนร่วมส่งเสริม ยืนยันและรับรองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในทุกระดับด้วย


 


นายจอนิ โอ่โดเชา ประธานคณะกรรมการจัดงานฯ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยนั้น ทางเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองกลุ่มต่าง ๆ ร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชนและหน่วยงานภาครัฐที่ทำงานเกี่ยวข้องกับชนเผ่าพื้นเมือง ได้จัดงานเฉลิมฉลอง โดยมีการจัดประชุมและประกาศวันชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 8-9 ส.ค. 2550 และจัดงานมหกรรมชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ครั้งแรก เมื่อ 5-11 ก.ย. 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นกิจกรรมสำคัญที่ชนเผ่าพื้นเมืองได้ร่วมประกาศวันชนเผ่าพื้นเมืองขึ้นในประเทศไทย และประกาศจัดตั้งเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เพื่อให้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง และเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหาร่วมของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยต่อไป


 


"ที่ผ่านมา มีทั้งหมด 143 ประเทศที่ได้ลงนามในหลักปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง มีเพียง 4 ประเทศเท่านั้นที่ไม่ยอมลงนาม ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่รับรองหลักปฏิญญานี้ด้วย แต่ไม่รู้ว่ารับรองจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้น กระทรวงพัฒนาสังคมฯ จะต้องเป็นเสาหลัก และจะต้องปรับวิธีการทำงาน ปรับวิธีคิดเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองเสียใหม่"


 


เวทีเสวนาเรื่อง "แนวทางการสนองต่อปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองและการปรับทิศทางที่สอดคล้องกับสถานการณ์ของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย" ได้ตัวแทนทั้งภาครัฐ องค์กรอิสระและองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนได้ร่วมกันถกถึงเรื่องนี้


นายกิตติศักดิ์ รัตนกระจ่างศรี เลขาธิการมูลนิธิชนเผ่าพื้นเมืองเพื่อการศึกษาและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่ายอมรับว่าปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองขึ้นนั้นมีความสลับซับซ้อนและมีความละเอียดอ่อนซึ่งปฏิญญาฉบับนี้มีจุดเด่น คือเป็นการรวบรวมสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองหลายๆ ประเด็นไว้รวมกัน ไม่ว่าจะเป็นสทธิขั้นพื้นฐาน สิทธิการเลือกที่อยู่อาศัย การดำรงชีวิต วัฒนธรรม การศึกษา การจัดการทรัพยากร ซึ่งทั้งหมดกล่าวได้ว่าครอบคลุมสิทธิทั้งหมดที่ชนเผ่าพื้นเมืองควรได้ แต่ปัญหาสำคัญคือปฏิญญาดังกล่าวนั้นเป็นแค่ข้อตกลงร่วม ไม่มีผลในทางกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นแค่พันธะสัญญาที่ประเทศที่ลงสัตยาบันไว้ต้องดำเนินการ


"ดังนั้น เราจะแปลงเนื้อหาในปฏิญญาทั้งหมดให้นำไปสู่การปฏิบัติใช้ได้จริงอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไรทั้งในระดับประเทศและระดับสากล"


นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า หลักปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง เป็นเพียงกลไกหนึ่งในระดับสากล ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยเราก็ได้ไปมีพันธะในหลายฉบับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่า ประเทศไทยจะมีศิลปะของรัฐที่จะปฏิบัติต่อชนเผ่าพื้นเมืองในไทยได้อย่างไรอย่างน้อย ก็ต้องไม่เลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ไม่ให้เกิดความรุนแรงเหมือนกับกรณีพี่น้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้


นายสุมิตรชัย หัตถสาร ผู้ประสานงานศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น กล่าวว่า ที่ผ่านมานั้นชนเผ่าพื้นเมืองทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตผูกพันกับธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าไม้ แต่จากอคติและความเชื่อว่าคนไม่สามารถอยู่ร่วมกับป่าได้เพราะจะทำให้ป่าถูกทำลาย ดังนั้น จึงมีนโยบาย มาตรการต่างๆ สร้างกฎหมายทับพื้นที่ของชนเผ่า เพื่อสร้างความชอบธรรม ในการเข้าจับกุม ขับไล่ชนพื้นเมืองออกจากป่าเหล่านั้นจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง


"ในปี2550 มีชนเผ่าพื้นเมืองถูกจับกุมดำเนินคดีบุกรุกป่ากว่า 6,711 คดี ขณะที่ช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. 2551 นี้ มีชนเผ่าพื้นเมืองถูกจับกุมในคดีเดียวกันนี้ไปแล้วกว่า 2,625 คดี ซึ่งประเทศไทยมีคนอยู่ในเขตป่ากว่า 2 ล้านคน ส่วนใหญ่เขตป่าเหล่านั้นมาประกาศทับที่ดินชาวบ้านทั้งสิ้น ที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า เจ้าหน้าที่รัฐมักมองพี่น้องชนเผ่าเหมือนปลาในบ่อ ซึ่งพร้อมที่จะถูกจับได้ทุกเมื่อ" นายสุมิตรชัย กล่าว


ผู้ประสานงานศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลไทยในชุดปัจจุบันด้วยว่า ขณะนี้มีนโยบายจะปลูกป่า 128 ล้านไร่ ซึ่งคาดว่าจะกระทบต่อชนเผ่าพื้นเมืองในไทยอย่างแน่นอน


นายธนู แนบเนียร ผู้ประสานงานโครงการความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอันดามัน กล่าวว่า ที่ผ่านมา แนวคิดและการปฏิบัติของรัฐไทย ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยังคงมองชนเผ่าพื้นเมืองเป็นเพียงพลเมืองชั้นสอง ชั้นสาม และผลจากนโยบายพัฒนาการท่องเที่ยวให้ 6 จังหวัดฝั่งอันดามันเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกนั้น ส่งผลให้พี่น้องชาวเล ทั้งมอแกน อูรักลาโว้ยได้รับผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งคล้ายๆ กับชนเผ่าทางภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการจัดการป่า


"หลังเหตุการณ์สึนามิที่ดินได้ถูกทำให้เป็นสินค้า แม้กระทั่งตัวชาวบ้านเอง ที่รอดชีวิตมาด้วยภูมิปัญญาที่ผ่านการสั่งสมมานาน แต่บ้านเรือนที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายหมด และที่ร้ายไปกว่านั้นคือกลุ่มทุนต่างๆ ยังมาอ้างสิทธิเหนือที่ดินเหล่านั้นด้วยจนเกิดปัญหาตามมา นอกจากนั้น ชาวบ้านยังเสียสิทธิในการทำมาหากินทั้งๆ ที่ได้อาศัยพื้นที่ทะเลแถวนั้นออกหาปูหาปลากันมานานแล้ว แต่พอรัฐไทยเข้ามาประกาศเป็นเขตอุทยานฯ มีการจัดระเบียบชายฝั่งใหม่เพื่อการท่องเที่ยว ก็มีการห้ามหาปลา หาปู หรือดำปลิง หนำซ้ำตอนนี้จะมีการเสนอให้เป็นเขตมรดกโลกอีก ซึ่งไม่รู้ว่าจะเข้ามาควบคุมวิถีชีวิตวัฒนธรรมของพี่น้องชนพื้นเมืองอีกหรือไม่"







 


 


ปฏิญญาของสหประชาชาติเกี่ยวกับสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง


 


การประชุมสมัยสามัญ


 


ตามแนวทางของวัตถุประสงค์และหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ และด้วยความศรัทธาที่ดีในการทำให้พันธะสัญญาของรัฐเกิดความสัมฤทธิ์ผลตามกฎบัตรนั้น


 


ยืนยัน ว่าชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่เท่าเทียมกับคนอื่นทั่วไป เมื่อมีการยอมรับในสิทธิที่จะมีความแตกต่างของทุกคน,  เมื่อได้พิจารณาว่าพวกเขาแตกต่างเขาก็ควรได้รับการเคารพเช่นกัน


 


ยืนยันอีกเช่นกัน ว่าคนทุกคนได้มีส่วนในการแบ่งปันให้กับความหลากหลายและความศิวิไลซ์ที่มั่งคั่ง รวมถึงวัฒนธรรมอันเป็นมรดกของมวลมนุษยชาติ


 


ยืนยันเพิ่มเติม ว่าบรรดาทฤษฎี นโยบายและแนวทางปฏิบัติทั้งปวงที่มีฐานหรือได้รับการส่งเสริม มาจากการกำเนิดของชาติหรือเชื้อชาติ, ศาสนา, ชาติพันธุ์หรือความแตกต่างทางวัฒนธรรม อันเป็นการเหยียดผิว, ความผิดพลาดทางวิทยาศาสตร์, กฎหมายที่ไม่มีผลบังคับใช้แล้ว, การถูกประณามทางศีลธรรม,  และความอยุติธรรมของสังคม


 


ยืนยันซ้ำ ว่าการใช้สิทธิต่างๆของชนเผ่าพื้นเมืองนั้นควรปราศจากการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ


 


ห่วงใย ว่าชนเผ่าพื้นเมืองได้ทนทุกข์ทรมานจากประวัติศาสตร์ของความอยุติธรรม ซึ่งเป็นผลของ, ระหว่างสิ่งหนึ่งสิ่งใด, การเป็นอาณานิคม และถูกแย่งชิงที่ดิน, ดินแดน, และทรัพยากรไปครอง, อันเป็นการขัดขวางการใช้สิทธิดังกล่าวของพวกเขา, โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในการพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของพวกเขาเอง


 


ยอมรับ ความต้องการที่เร่งด่วนในการเคารพและส่งเสริมสิทธิที่มีอยู่ตามปกติของชนเผ่าพื้นเมือง ที่มาจากการปกครอง, เศรษฐกิจ, โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม, ประเพณีตามจิตวิญญาณ, ประวัติศาสตร์และปรัชญาของพวกเขา, โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในที่ดิน, ดินแดน และทรัพยากรของพวกเขา


 


ยอมรับอีก ถึงความต้องการเร่งด่วนในการเคารพและส่งเสริมสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองที่ได้รับการยืนยันตามกฎบัตร, ข้อตกลง และการจัดการที่เป็นประโยชน์อื่นๆร่วมกับรัฐ


 


เป็นที่ยอมรับ ในความจริงที่ว่าชนเผ่าพื้นเมืองได้มีการบริหารจัดการเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของตนเองเกี่ยวกับการปกครอง, เศรษฐกิจ, สังคมและวัฒนธรรม เพื่อนำไปสู่การยุติการเลือกปฏิบัติและการกดขี่ในรูปแบบต่างๆทั้งหลาย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในที่แห่งใดก็ตาม


 


โน้มน้าว ว่าการที่ชนเผ่าพื้นเมืองจัดการพัฒนาที่ส่งผลต่อพวกเขา, ที่ดิน, ดินแดน และทรัพยากรของพวกเขา จะช่วยให้พวกเขาสามารถดำรงรักษาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันต่างๆ, วัฒนธรรมและประเพณีของพวกเขาได้ และยังส่งเสริมให้การพัฒนานั้นมีความสอดคล้องกับความทะเยอทะยานและความต้องการของพวกเขาด้วย


 


ยอมรับ ว่าการเคารพต่อองค์ความรู้, วัฒนธรรมและการปฏิบัติตามประเพณีของชนเผ่าพื้นเมืองจะมีส่วนทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเท่าเทียม รวมทั้งการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม


 


เน้นย้ำ ถึงการช่วยเหลือให้ลดการต่อสู้เกี่ยวกับที่ดินและดินแดนของชนเผ่าพื้นเมืองให้น้อยลง มีส่วนทำให้เกิดความสงบ, ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมและการพัฒนา, ความเข้าใจและมิตรภาพระหว่างชาติต่างๆและผู้คนในโลกนี้


 


เน้นย้ำโดยเฉพาะ ถึงสิทธิในครอบครัวและชุมชนของชนเผ่าพื้นเมืองที่จะรักษาความรับผิดชอบในการแบ่งปันให้กับ การอบรมเลี้ยงดู, การฝึกอบรม, การศึกษาและความเป็นอยู่ที่ดีของลูกๆของพวกเขา, ล้วนสอดคล้องกับสิทธิเด็ก


 


พิจารณา ว่าสิทธิที่ได้รับการยืนยันในกฎบัตร, ข้อตกลง หรือการจัดการที่เป็นประโยชน์อื่นๆระหว่างรัฐกับชนเผ่าพื้นเมืองนั้นในบางสถานการณ์ก็เป็น, ความห่วงใยระหว่างประเทศ, ผลประโยชน์, ความรับผิดชอบ และบทบาท


 


พิจารณาอีก ว่ากฎบัตร, ข้อตกลง และการจัดการที่เป็นประโยชน์อื่นๆ, และความสัมพันธ์ที่นำเสนอใหม่ นั้น เป็นพื้นฐานของการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างชนเผ่าพื้นเมืองกับรัฐ


 


ยอมรับ ว่ากฎบัตรสหประชาชาติ,กติการะหว่างประเทศว่าด้วยด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม, และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เช่นเดียวกันกับปฏิญญาเวียนนาและโปรแกรมปฏิบัติการ ได้รับรองความสำคัญหลักๆของสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองของทุกคน ว่าพวกเขามีอิสระในการตัดสินใจเกี่ยวกับสถานภาพปกครองของพวกเขา และกำหนดการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของพวกเขาได้อย่างเสรี


จดจำไว้ในใจ ว่าไม่มีสิ่งใดในปฏิญญานี้ที่จะปฏิเสธสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเองของผู้ใดในการใช้สิทธิที่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ


 


โน้มน้าว ว่าการตระหนักถึงสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในปฏิญญานี้จะช่วยเสริมสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวและร่วมมือกันระหว่างรัฐกับชนเผ่าพื้นเมือง ตามหลักประชาธิปไตย, การเคารพซึ่งสิทธิมนุษยชน, การไม่เลือกปฏิบัติ และศรัทธาที่ดีงาม


 


สนับสนุน ให้รัฐยินยอมที่จะนำสิ่งที่เป็นพันธะผูกพันต่างๆเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้เครื่องมือระหว่างประเทศ, โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน, ด้วยการปรึกษาและร่วมมือกับประชาชน


 


เน้นย้ำ ว่าสหประชาชาติมีบทบาทที่สำคัญและต่อเนื่องในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง


 


เชื่อมั่น ว่าปฏิญญานี้จะเป็นก้าวต่อไปที่สำคัญสำหรับการยอมรับ, ส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของชนเผ่าพื้นเมือง รวมทั้งการพัฒนากิจกรรมต่างๆของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้


 


ยอมรับและเน้นย้ำอีกครั้ง ว่าการเรียกชื่อของบุคคลที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองนั้น เป็นสิ่งที่ปราศจากการเลือกปฏิบัติต่อสิทธิมนุษยชนทั้งหมดที่ได้รับการยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ, และชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิโดยรวมซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของพวกเขา, ความเป็นอยู่ที่ดี และ การบูรณาการการพัฒนาในฐานะของคนทั่วไป


 


ยอมรับอีก ว่าสถานการณ์ของชนเผ่าพื้นนั้นมีความหลากหลายจากภาคพื้นหนึ่งไปยังอีกภาคพื้นหนึ่ง และจากประเทศหนึ่งสู่อีกประเทศหนึ่ง การพิจารณาถึงความหลากหลายทางประวัติศาสตร์และภูมิหลังทางวัฒนธรรมนั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะทั้งต่อชาติและภาคพื้น


 


ป่าวประกาศอย่างจริงจัง ว่าปฏิญญาของสหประชาชาติเกี่ยวกับสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองต่อไปนี้เป็นมาตรฐานของการบรรลุผลในการที่จะชักชวนให้เกิดการเคารพในจิตวิญญาณของความเป็นพันธมิตรต่อกัน


 


 


มาตรา ๑


 


ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิอย่างสมบูรณ์ ตามสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพื้นฐานทั้งหลาย ทั้งที่เป็นสิทธิรวมหมู่และสิทธิของบุคคล ดังที่ได้รับการยอมรับในกฎบัตรของสหประชาชาติ, ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ


 


มาตรา ๒


 


ชนเผ่าพื้นเมืองและบุคคลที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองนั้นมีเสรีภาพที่เท่าเทียมกับหมู่คนหรือบุคคลอื่น และมีสิทธิที่จะใช้สิทธิของพวกเขาอย่างเป็นอิสระปราศโดยจากการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนพื้นฐานของความชนเผ่าพื้นเมืองโดยกำเนิดหรือโดยอัตลักษณ์ของพวกเขา


 


มาตรา ๓


 


ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง ด้วยผลของสิทธินั้นพวกเขาจึงมีอิสระที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับปกครองและแสวงหาวิธีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของพวกเขา


 


มาตรา ๔


 


การใช้สิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองของชนเผ่าพื้นเมืองเป็นการใช้สิทธิในการปกครองตนเองซึ่งมีความสอดคล้องกับกิจการของภายในชาติและท้องถิ่นของพวกเขา เช่นเดียวกันกับวิธีการจัดการการเงินสำหรับกิจการต่างๆในการปกครองตนเองของพวกเขาด้วย


 


มาตรา ๕


 


ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะดำรงรักษาและสร้างความเข้มแข็งของการปกครอง, กฎหมาย, สถาบันทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรมของพวกเขา และถ้าหากพวกเขาจะเลือก พวกเขาก็ยังคงดำรงไว้ซึ่งสิทธิในการมีส่วนร่วมอย่างสมบูรณ์ในการดำรงชีวิตตามวิถีทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของรัฐ


 


มาตรา ๖


 


ชนเผ่าพื้นเมืองทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับสัญชาติ


มาตรา ๗


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองแต่ละคนมีสิทธิอย่างสมบูรณ์ในชีวิต, ทั้งทางร่างกายและจิตใจ, มีอิสรภาพและความมั่นคงปลอดภัยของบุคคล


๒.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิรวมหมู่ที่จะดำรงชีวิตอย่างอิสระ, สงบสุข, และมั่นคงเช่นเดียวกันกับบุคลอื่นๆที่มีความแตกต่างกัน และจะไม่ต้องตกเป็นเป้าของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในทุกรูปแบบหรือถูกละเมิดในรูปแบบอื่นๆ, รวมไปถึงการบังคับให้โยกย้ายเด็กๆจากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง


 


มาตรา ๘


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองและบุคคลที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะไม่ตกเป็นเป้าของการบังคับให้ถูกกลืนวัฒนธรรมหรือทำลายล้างวัฒนธรรมของตนเอง


๒.      รัฐต้องจัดหากลไกที่มีประสิทธิภาพสำหรับการป้องกันและชดเชยต่อ


(ก)               การกระทำใดๆที่ประสงค์หรือมีผลต่อจะทำให้พวกเขาต้องสูญเสียบูรณาภาพ คุณค่าทางวัฒนธรรม หรืออัตลักษณ์ทางชนเผ่าของพวกเขา


(ข)               การกระทำใดๆที่ประสงค์หรือมีผลที่จะเพิกถอนการครอบครองที่ดิน, ดินแดนและทรัพยากรของพวกเขา


(ค)               รูปแบบของการบบีบบังคับใดๆที่ประสงค์หรือมีผลต่อการละเมิดหรือลดทอนสิทธิใดๆของพวกเขา


(ง)                รูปแบบใดๆที่จะบังคับให้มีการกลืนหรือบูรณาการ


(จ)                รูปแบบใดๆของการประชาสัมพันธ์ที่ส่งเสริมหรือกระตุ้นให้เกิดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติหรือขนเผ่าโดยตรง


 


มาตรา ๙


 


ชนเผ่าพื้นเมืองและบุคคลที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิในความเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนพื้นเมืองหรือชาติ, ที่สอดคล้องกับประเพณี และขนบธรรมเนียมของชาตินั้น และไม่มีการเลือกปฏิบัติใดๆต่อการใช้สิทธินี้


 


มาตรา ๑๐


 


ชนเผ่าพื้นเมืองจะต้องไม่ถูกบังคับให้โยกย้ายออกจากที่ดินหรือดินแดนของพวกเขา จะไม่มีการอพยพโยกย้ายใดๆ โดยปราศจากความยินยอมอย่างเต็มใจของชนเผ่าพื้นเมืองเสียก่อน และหลังจากที่ได้มีข้อตกลงในการชดเชยที่ยุติธรรมและเหมาะสมแล้ว หากเป็นไปได้ควรมีทางเลือกให้กลับคืนถิ่นด้วย


 


มาตรา ๑๑


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะปฏิบัติและฟื้นฟูวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมของพวกเขา ซึ่งหมายรวมถึงสิทธิในการดำรงรักษา คุ้มครอง และพัฒนาวัฒนธรรมในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของพวกเขา เช่นโบราณคดี, สถานที่ทางประวัติศาสตร์, การออกแบบทางศิลปะ,พิธีกรรม, เทคโนโลยี, และศิลปะการแสดงหรือวรรณกรรมที่สามารถมองเห็นได้


๒.      รัฐต้องจัดหาการชดเชยผ่านกลไกที่มีประสิทธิภาพ, ที่อาจรวมไปถึงการสร้างสถาบันใหม่, การพัฒนาร่วมกับชนเผ่าพื้นเมือง, ด้วยความเคารพต่อวัฒนธรรม,ภูมิปัญญา, ศาสนาและมรดกทางจิตวิญญาณที่ได้ถูกพรากไปโดยปราศจากความยินยอมอย่างเมใจของพวกเขาเสียก่อน หรือด้วยการละเมิดในกฎหมาย, ประเพณีและขนบธรรมเนียมของพวกเขา


 


มาตรา ๑๒


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะแสดง, ปฏิบัติ, พัฒนาและสอนเกี่ยวกับจิตวิญญาณและประเพณีทางศาสนา, ขนบธรรมเนียมและพิธีกรรมของพวกเขา สิทธิในการดำรงรักษา,คุ้มครองและเข้าถึงความเป็นส่วนตัวในศาสนาและวัฒนธรรมของพวกเขา; สิทธิในการใช้และจัดการวัตถุสิ่งของที่ใช้ในพิธีกรรม; และสิทธิในการแก้ไขชิ้นส่วนที่ยังคงอยู่ของมนุษย์ repatriation of their human remains


๒.      รัฐต้องแสวงหาความสามารถในการเข้าถึงและ/หรือการแก้ไขชิ้นส่วนที่ยังคงอยู่ของมนุษย์ repatriation of their human remains ที่อยู่ในความครอบครองของพวกเขาผ่านกลไกที่ยุติธรรม, โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ที่ได้พัฒนาโดยร่วมกับชนเผ่าพื้นเมือง


 


มาตรา ๑๓


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิในการฟื้นฟู, ใช้, พัฒนา และถ่ายทอด ประวัติศาสตร์, ภาษา, ประเพณีทางวาจา, ปรัชญา, ระบบการเขียนและวรรณกรรมของพวกเขา การตั้งชื่อและการรักษาชื่อเดิมของชุมชน, สถานที่และบุคคลสู่รุ่นต่อไปในอนาคต


๒.      รัฐจะต้องใช้กลไกที่มีประสิทธิภาพในการที่รับรองว่าสิทธินี้ได้รับการคุ้มครองและจะต้องรับรองว่าชนเผ่าพื้นเมืองสามารถเข้าใจและได้รับการเข้าใจตามการปกครอง, กฎหมาย และกระบวนการบริหารจัดการต่างๆที่จำเป็นผ่านการแปลหรือวิธีการที่เหมาะสมอื่นๆ


 


มาตรา ๑๔


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิในการจัดตั้งและจัดการระบบการศึกษา และสถาบันที่จะจัดการศึกษาในภาษาของพวกเขาเอง, ในรูปแบบที่เหมาะสมกับวิธีการทางวัฒนธรรมในการเรียนการสอนของพวกเขา


๒.      บุคคลที่เป็นชนเผ่าพื้นเมือง, โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆมีสิทธิในการศึกษาของรัฐทุกระดับและทุกรูปแบบโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ


๓.      รัฐจะร่วมกับชนเผ่าพื้นเมืองสร้างมาตรการที่มีประสิทธิภาพสำหรับบุคคลที่เป็นชนเผ่าพื้นเมือง, โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ และถ้าเป็นไปได้ก็หมายรวมถึงคนที่อาศัยอยู่นอกชุมชนด้วย ในการเข้าถึง การศึกษาตามวัฒนธรรมของตนองด้วยภาษาของพวกเขาเอง


 


มาตรา ๑๕


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิในศักดิ์ศรีและความหลากหลายทางวัฒนธรรม, ประเพณี, ประวัติศาสตร์และความทะเยอทะยานของพวกเขา ซึ่งจะต้องสะท้อนให้เห็นอย่างเหมาะสมในข้อมูลทางการศึกษาและสาธารณะ


๒.      รัฐควรมีมาตรการที่มีประสิทธิภาพ,ในการปรึกษาและร่วมมือกับชนเผ่าพื้นเมือง, เพื่อต่อสู้กับอคติและขจัดการเลือกปฏิบัติและเพื่อส่งเสริมความอดทน, ความเข้าใจ และสัมพันธภาพที่ดีในหมู่ชนเผ่าพื้นเมืองและคนในส่วนอื่นของสังคม


 


มาตรา ๑๖


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะจัดตั้งสื่อของพวกเขา ในภาษาของพวกเขาเอง และมีสิทธิในการเข้าถึงสื่อที่ไม่ได้เป็นของชนเผ่าในทุกรูปแบบโดยปราศจาการเลือกปฏิบัติ


๒.      รัฐควรจัดหามาตรการที่มีประสิทธิภาพที่จะรับรองว่าสื่อของรัฐได้สะท้อนให้เห็นความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างถูกต้อง รัฐต้องปราศจากอคติในการที่จะรับรองเสรีภาพอย่างเต็มที่ในการแสดงออก, และควรจะกระตุ้นให้สื่อของเอกชนได้สะท้อนให้เห็นความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองด้วย


 


มาตรา ๑๗


 


๑.      บุคคลที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองรวมทั้งชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิอย่างสมบูรณ์ทุกประการตามที่ระบุในกฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ


๒.      รัฐจะต้องมีการปรึกษาและร่วมมือกับชนเผ่าพื้นเมืองในการนำเอามาตรการเฉพาะในการคุ้มครองเด็กๆที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองจากการสูญเสียทางเศรษฐกิจและจากการทำงานใดๆที่อาจเป็นอันตรายหรือรบกวนการศึกษาของเด็กๆเหล่านั้น หรืออันอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือสุขภาพ, ภาวะทางจิตใจ, จิตวิญญาณ, ศีลธรรม หรือการพัฒนาทางสังคมของเด็กๆเหล่านั้น, โดยพิจารณาถึงความเปราะบางเป็นพิเศษของพวกเขา และการให้การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของพวกเขา


๓.       คนที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะไม่ถูกนำไปสู่เงื่อนไขของการเลือกปฏิบัติทางแรงงาน, การจ้างงานหรือค่าจ้าง


 


มาตราที่ ๑๘


 


ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องใดๆก็ตามที่มีผลกระทบต่อสิทธิของพวกเขา, โดยผ่านทางผู้แทนที่พวกเขาเลือกขึ้นมาอย่างสอดคล้องกับกระบวนการของพวกเขา เช่นเดียวกันที่จะดำรงและพัฒนาสถาบันในการตัดสินใจของพวกเขาเองไว้


 


มาตรา ๑๙


 


รัฐจะต้องปรึกษาและร่วมมือเป็นอย่างดีกับชนเผ่าพื้นเมืองผ่านทางสถาบันผู้แทนของพวกเขาเพื่อที่จะได้มาซึ่งการได้แจ้งความยินยอมอย่างเต็มใจเสียก่อน ก่อนที่จะยอมรับและปฏิบัติตามกลไกทางกฎหมายหรือการบริหารที่อาจส่งผลกระทบถึงพวกเขาได้


 


มาตรา ๒๐


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะดำรงรักษาและพัฒนาระบบหรือสถาบันการปกครอง,เศรษฐกิจ และสังคมของพวกเขาเอง เพื่อให้มีความมั่นคงในวิธีการพึ่งตนเองและการพัฒนาของพวกเขา และเพื่อขยายสิทธินี้ไปยังการปฏิบัติตามประเพณีทั้งปวงและกิจกรรมอื่นๆทางเศรษฐกิจของพวกเขาอย่างเสรี


๒.      ชนเผ่าพื้นเมืองที่สุญเสียวิถีของการพึ่งตนเองและการพัฒนามีสิทธิได้รับการชดเชยอย่างยุติธรรมและเหมาะสม


 


มาตรา ๒๑


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติที่จะปรับปรุงสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของพวกเขา, รวมไปถึง, ระหว่างกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ในเรื่องของการศึกษา, การจ้างงาน, การฝึกอาชีพ, และการฝึกซ้ำ, ที่อยู่อาศัย, การสุขาภิบาล, สุขภาพ และความมั่นคงทางสังคม


๒.      รัฐจะต้องมีมาตรการที่มีประสิทธิภาพและ ถ้าจะให้เหมาะสม, ควรเป็นมาตรการพิเศษที่จะรับรองการปรับปรุงสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรให้ความสนใจต่อสิทธิและความต้องการพิเศษของชนเผ่าพื้นเมืองที่สูงอายุ, ผู้หญิง, เด็ก, และผู้พิการ


 


มาตรา ๒๒


 


๑.      ในการนำเอาปฏิญญานี้ไปใช้นั้นควรให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อสิทธิและความต้องการพิเศษของชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นผู้สูงอายุ, ผู้หญิง, เด็ก และผู้พิการ


๒.      รัฐจะต้องมีมาตรการร่วมกับชนเผ่าพื้นเมือง, เพื่อที่จะรับรองว่าชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นผู้หญิงและเด็กได้รับการคุ้มครองและรับประกันอย่างสมบูรณ์จากการถูกละเมิดหรือการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบ


 


มาตรา ๒๓


 


ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะตัดสินใจและพัฒนาลำดับความสำคัญและยุทธศาสตร์ในการใช้สิทธิในการพัฒนาของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการพัฒนาและการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพ, ที่อยู่อาศัย, และโครงการด้านเศรษฐกิจและสังคมอื่นๆที่มีผลต่อพวกเขา และบริหารจัดการโครงการเหล่านั้นผ่านทางสถาบันของพวกเขาเองเท่าที่จะเป็นไปได้


 


มาตรา ๒๔


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิการใช้ยาเพื่อรักษาตามประเพณีและดำรงรักษาวิธีการปฏิบัติด้านสุขภาพของพวกเขา รวมไปถึงการอนุรักษ์ไว้ซึ่งพืชสมุนไพร, สัตว์ และแร่ธาตุต่างๆของพวกเขา บุคคลที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองก็มีสิทธิที่จะเข้าถึงการบริการทางสังคมและสุขภาพโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติด้วยเช่นกัน


๒.      บุคคลที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่เท่าเทียมในการได้รับมาตรฐานสูงสุดของสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ รัฐควรมีขั้นตอนที่จำเป็นในการบรรลุความก้าวหน้าด้วยการตระหนักถึงสิทธิดังกล่าวอย่างเต็มที่


 


 


มาตรา ๒๕


ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะดำรงรักษาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของความสัมพันธ์กับจิตวิญญาณตามประเพณีที่เป็นของพวกเขาเอง หรือไม่เช่นนั้นก็โดยการได้ครอบครอง, ใช้ที่ดิน, ดินแดน, น้ำ และชายฝั่งทะเล และทรัพยากรอื่นๆ และเพื่อถ่ายทอดรับผิดชอบเหล่านี้ของพวกเขาไปยังคนรุ่นต่อไป


 


มาตรา ๒๖


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิในที่ดิน, ดินแดน และทรัพยากรที่พวกเขาได้ครอบครองมาตามประเพณีหรือไม่เช่นนั้นก็เนื่องจากเคยได้ใช้หรือได้รับมาก่อน


๒.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิในการเป็นเจ้าของ,ใช้, พัฒนาและควบคุมที่ดิน, ดินแดน และทรัพยากรที่พวกเขาได้ครอบครองด้วยเหตุผลของความเป็นเจ้าของตามประเพณีหรือด้วยอาชีพตามประเพณีอื่นๆ, ได้เคยใช้, เข่นเดียวกันกับกลุ่มคนที่ได้รับที่ดินนั้นมา


๓.      รัฐจะต้องให้การยอมรับตามกฎหมายและคุ้มครองที่ดิน, ดินแดนและทรัพยากรเหล่านี้ การยอมรับดังกล่าวนั้นจะต้องถูกสร้างขึ้นมาด้วยความเคารพต่อขนบธรรมเนียม, ประเพณี และระบบการถือครองที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชนเผ่าพื้นเมือง


 


มาตรา ๒๗


รัฐจะต้องร่วมกับชนเผ่าพื้นเมืองในการจัดตั้งและนำกระบวนการที่เท่าเทียม, อิสระ,ยุติธรรม, เปิดกว้างและโปร่งใสไปปฏิบัติ, ให้การยอมรับอย่างเหมาะสมต่อกฎหมายของชนเผ่าพื้นเมือง,ประเพณี, ขนบธรรมเนียม, และระบบการถือครองที่ดิน, เพื่อที่จะยอมรับและวินิจฉัยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในที่ดิน, ดินแดน และทรัพยากรของพวกเขา รวมไปถึงสิ่งที่พวกเขาเป็นเจ้าของตามประเพณีหรือไม่เช่นนั้นก็เนื่องจากได้ครอบครองหรือได้ใช้มาก่อน ซึ่งชนเผ่าพื้นเมืองจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ด้วย


 


มาตรา ๒๘


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะได้รับการชดเชยด้วยวิธีที่สามารถรวมไปถึงการตั้งสถาบันใหม่ หรือเมื่อไม่สามารถเป็นไปได้,ก็ควรมีค่าชดเชยที่ยุติธรรมและเท่าเทียม, สำหรับที่ดิน, ดินแดนและทรัพยากรที่พวกเขาได้ครอบครองมาตามประเพณีหรือด้วยการได้ใช้หรือครอบครองมาก่อน และที่ได้เคยถูกยึด, เอาไป, ครอบครอง, ใช้ หรือทำให้เสียหายโดยปราศจากการยินยอมอย่างเต็มใจของพวกเขาก่อน


๒.       ถ้าหากไม่แล้วมิฉะนั้นก็ต้องมีการตกลงอย่างเสรีกับชนเผ่าพื้นเมือง, ซึ่งการชดเชยดังกล่าวจะต้องเท่าเทียมกับที่ดิน ดินแดนและทรัพยากรที่สูญเสียไปทั้งคุณภาพ,ขนาดและสถานภาพทางกฎหมายหรือการชดเชยทางการเงินหรือการชดใช้ที่เหมาะสมอื่นๆ


 


มาตรา ๒๙


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะอนุรักษ์และคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและความสามารถในการผลิตของที่ดินหรือดินแดนและทรัพยากร รัฐจะต้องจัดตั้งโครงการให้ความช่วยเหลือและดำเนินโครงการสำหรับชนเผ่าพื้นเมืองเพื่อการอนุรักษ์และคุ้มครองนั้นโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ


๒.      รัฐจะต้องมีมาตรการอันมีประสิทธิภาพที่จะรับรองว่าจะไม่มีการเก็บกักหรือทิ้งวัตถุมีพิษในที่ดินหรือดินแดนของชนเผ่าพื้นเมืองโดยปราศจากการยินยอมของพวกเขา


๓.      รัฐจะต้องมีมาตรการอันมีประสิทธิภาพที่จะรับรองว่าโครงการสำหรับการติดตามตรวจสอบ, การดำรงรักษา และฟื้นฟูสุขภาพของชนเผ่าพื้นเมืองได้พัฒนาและดำเนินโครงการโดยกลุ่มคนที่ได้รับผลดังกล่าวอย่างเหมาะสมตามที่ต้องการด้วย


 


มาตรา ๓๐


 


๑.      จะต้องไม่ดำเนินกิจกรรมทางทหารในที่ดิน หรือดินแดนของชนเผ่าพื้นเมือง นอกเสียจากว่าเป็นเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของสาธารณะ หรือมิฉะนั้นก็เป็นข้อตกลงอย่างอิสระกับหรือเป็นการร้องขอจากชนเผ่าพื้นเมือง


๒.      รัฐจะต้องรับภาระในการให้คำปรึกษาที่มีประสิทธิภาพกับชนเผ่าพื้นเมืองผ่านกระบวนการที่เหมาะสมและโดยเฉพาะโดยผ่านทางสถาบันผู้แทนของพวกเขา ในการใช้ที่ดินหรือดินแดนสำหรับกิจกรรมทางทหาร


 


มาตรา ๓๑


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะดำรงรักษา, ควบคุม, คุ้มครองและพัฒนามรดกทางวัฒนธรรม, องค์ความรู้ตามประเพณีและการแสดงออกทางประเพณีวัฒนธรรมของพวกเขา, เข่นเดียวกันกับตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนในทางวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยีและวัฒนธรรม, รวมไปถึงทรัพยากรในความความเป็นมนุษย์และพันธุกรรม, เมล็ดพันธุ์, ยารักษาโรค,องค์ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของช่วงชีวิตของสัตว์หรือพืช, ประเพณีที่เป็นภาษาพูด, วรรณกรรม, การออกแบบ, กีฬา และการละเล่นทางวัฒนธรรมและการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม พวกเขายังมีสิทธิในภูมิปัญญาทั้งที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม, องค์ความรู้ตามประเพณี, และการแสดงออกทางประเพณีและวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน


๒.      รัฐต้องร่วมกับชนเผ่าพื้นเมืองในการใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดการยอมรับและคุ้มครองการใช้สิทธิเหล่านี้


 


มาตรา ๓๒


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิในการตัดสินใจและพัฒนาความสำคัญและยุทธศาสตร์สำหรับการพัฒนาหรือการใช้ที่ดินหรือดินแดนและทรัพยากรอื่นๆของพวกเขา


๒.      รัฐจะต้องปรึกษาและร่วมมือเป็นอย่างดีกับชนเผ่าพื้นเมืองผ่านสถาบันผู้แทนของพวกเขาเพื่อที่จะได้รับการแสดงความยินยอมอย่างเต็มใจก่อนการอนุมัติโครงการใดๆที่จะส่งผลกระทบต่อที่ดินหรือดินแดนและทรัพยากรอื่นๆของพวกเขา


๓.      รัฐจะต้องจัดหากลไกที่มีประสิทธิภาพสำหรับการชดใช้อย่างยุติธรรมสำหรับกิจกรรมดังกล่าว, และมีการใช้มาตรการที่เหมาะสมที่จะบรรเทาผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม, เศรษฐกิจ, สังคม, วัฒนธรรม หรือจิตวิญญาณ


 


มาตรา ๓๓


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิในการตัดสินใจในการกำหนดอัตลักษณ์หรือสมาชิกภาพที่สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมและประเพณีของพวกเขา ซึ่งไม่ได้ทำให้สิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในการได้รับบัตรประชาชนของรัฐที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้อยลงแต่อย่างใด


๒.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงสร้างและสมาชิกภาพของสถาบันของพวกเขาตามกระบวนการของพวกเขา


 


มาตรา ๓๔


 


ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะส่งเสริม, พัฒนาและดำรงรักษาโครงสร้างทางสถาบันและขนบธรรมเนียมของพวกเขา, จิตวิญญาณ, ประเพณี, กระบวนการและ, ระบบการวินิจฉัยหรือขนบธรรมเนียมที่สอดคล้องกับมาตรฐานของสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศถ้าหากมี


 


มาตรา ๓๕


 


ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับความรับผิดชอบของบุคคลต่อชุมชนของพวกเขา


 


มาตรา ๓๖


 


๑.      ชนเผ่าพื้นเมือง, โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถูกแบ่งโดยพรมแดนระหว่างประเทศมีสิทธิที่จะดำรงรักษาและพัฒนาการติดต่อ, ความสัมพันธ์, และความร่วมมือ รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆที่มีจุดประสงค์เพื่อจิตวิญญาณ, วัฒนธรรม, การปกครอง, เศรษฐกิจ, และสังคม กับสมาชิกของพวกเขาเช่นเดี่ยวกับกลุ่มคนที่ต้องข้ามพรมแดน


๒.      รัฐ,ด้วยการปรึกษาและร่วมมือกับชนเผ่าพื้นเมืองจะต้องใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพในการเอื้ออำนวยต่อการใช้สิทธิและรับรองการนำสิทธินี้ไปปฏิบัติ


 


มาตรา ๓๗


๑.      ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะได้รับการยอมรับ, การสังเกตและการบังคับใช้กฎบัตร, ข้อตกลงและการจัดการที่สร้างสรรค์อื่นๆที่ได้สรุปร่วมกับรัฐ หรือความสำเร็จของพวกเขาและที่จะได้รับเกียรติจากรัฐและเคารพต่อกฎบัตรข้อตกลงและการจัดการที่สร้างสรรค์อื่นๆนั้น


๒.      ไม่มีสิ่งใดในปฏิญญานี้ที่จะลดทอนหรือลบล้างสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอยู่ในกฎบัตร, ข้อตกลง และการจัดการที่เป็นประโยชน์อื่นๆ


 


มาตรา๓๘


 


รัฐด้วยการปรึกษาและร่วมมือกับชนเผ่าพื้นเมืองจะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมรวมทั้งมาตรการทางกฎหมายในการบรรลุถึงจุดหมายของปฏิญญานี้


 


มาตรา ๓๙


 


ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะเข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงินและเทคนิคจากรัฐและด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศ, เพื่อการใช้สิทธิที่ได้ระบุไว้อนุปริญญานี้


 


มาตรา ๔๐


 


ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิในการเข้าถึงและตัดสินใจผ่านกระบวนการต่างๆอย่างยุติธรรมในการแก้ไขข้อขัดแย้งและข้อพิพาทกับรัฐหรือคนกลุ่มอื่นๆ เช่นเดียวกับการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพสำหรับทุกคนที่อยู่โดยรอบทั้งในฐานะของสิทธิของบุคคลและสิทธิรวมหมู่  ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวต้องพิจารณาถึงขนบธรรมเนียม, ประเพณี, กฎและระบบกฎหมายของชนเผ่าพื้นเมืองและสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศด้วย


 


มาตรา๔๑


 


ระบบโครงสร้างและหน่วยงานพิเศษของสหประชาชาติ และองค์กรระหว่างรัฐจะต้องมีส่วนในการยอมรับให้มีการจัดหาปฏิญญานี้ผ่านกระบวนการขับเคลื่อนต่างๆ ระหว่างกัน, ของความร่วมมือทางการเงินและการช่วยเหลือทางเทคนิค


 


มาตรา ๔๒


 


สหประชาชาติ, โครงสร้างของสหประชาชาติ, รวมไปถึงเวทีถาวรในประเด็นชนเผ่าพื้นเมือง, และองค์กรพิเศษ, รวมไปถึงในระดับประเทศ, และรัฐจะต้องส่งเสริมการเคารพและการนำเอาเนื้อหาของคำประกาศเจตนารมณ์นี้ไปใช้ รวมทั้งติดตามประเมินผลของประสิทธิภาพของคำประกาศเจตนารมณ์นี้ด้วย


 


มาตรา ๔๓


 


สิทธิต่างๆที่เป็นที่ยอมรับในที่นี้ก่อให้เกิดมาตรฐานขั้นต่ำของการอยู่รอด, ศักดิ์ศรี และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนในโลกนี้


 


มาตรา ๔๔


 


สิทธิและเสรีภาพทั้งปวงที่ได้รับการยอมรับในที่นี้ได้รับการประกันอย่างเท่าเทียมแก่บุคคลที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองทั้งชายและหญิง


 


มาตรา ๔๕


 


ไม่มีสิ่งใดในปฏิญญานี้ที่อาจจะทำให้เกิดการลดทอนหรือทำลายสิทธิทั้งหลายของชนเผ่าพื้นเมืองทั้งในปัจจุบันและในอนาคต


 


มาตรา ๔๖


 


๑.      ไม่มีสิ่งใดในปฏิญญานี้ที่อาจถูกแปลให้เป็นนัยสำหรับรัฐใดๆ, ผู้คน, กลุ่มหรือบุคคล ในสิทธิใดๆที่จะเกี่ยวข้องกับกิจกรรมใดๆหรือการกระทำใดๆที่เป็นการขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ หรือทำให้เกิดอำนาจหน้าที่ หรือกระตุ้นการกระทำใดๆที่อาจทำให้หมดสภาพของสมาชิกหรือทำให้…….


 


๒.      ในการใช้สิทธิใดๆที่ได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนในปฏิญญานี้, สิทธิมนุษยชนและหลักเสรีภาพทั้งปวงจะต้องได้รับการเคารพ การใช้สิทธิทั้งหลายที่ได้แถลงไว้ในปฏิญญานี้จะนำไปสู่ข้อจำกัดที่เป็นไปตามกฎหมาย และเท่าที่มีความสอดคล้องกับพันธะกรณีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เท่านั้น ข้อจำกัดใดๆจะต้องปราศจากการเลือกปฏิบัติและมีความจำเป็นที่จะต้องกวดขันเป็นการเฉพาะสำหรับสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น และสำหรับการประชุมที่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตย


 


๓.      เนื้อหาต่างๆที่ได้แถลงไว้ในปฏิญญานี้จะต้องถูกแปลอย่างสอดคล้องกับกับหลักการของการวินิจฉัย, ประชาธิปไตย, การเคารพต่อสิทธิมนุษยชน, ความเท่าเทียม, การไม่เลือกปฏิบัติ, การปกครองที่ดี และศรัทธาที่ดี


 


 


 


 


 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net