Skip to main content
sharethis





การเมือง


ปลุกสังคมยุติความรุนแรง "บวรศักดิ์"ระดมสมองร่วมหาทางออก


กรุงเทพฯ--15 ต.ค.—ผู้จัดการรายวัน วานนี้ (15 ต.ค.) ตัวแทนจากสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเมือง และสถาบันพระปกเกล้า ร่วมกันหารือเพื่อยุติความรุนแรง และหาทางออกให้ประเทศ ที่สมาคมนักข่าวฯ


 


ภายหลังการประชุม น.ส.นาตยา เชษฐโชติรส นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย แถลงว่า ที่ประชุมตกลงร่วมกันว่า จะร่วมกันจัดตั้ง "เครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติ" ขึ้นเพื่อระดมองค์กรทุกองค์กรในสังคม ไม่ว่าจะอยู่ในภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม มาร่วมกันรณรงค์ให้สังคมไทยไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา และร่วมกันสานเสวนาหาทางออกโดยสันติวิธี


 


นอกจากนี้ ที่ประชุมร่วมมีมติให้จัดกิจกรรมดังต่อไปนี้ เพื่อให้องค์กรทุกองค์กรที่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวเข้าร่วมในการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง คือ


 


1. วันศุกร์ที่ 17 ต.ค.นี้ เวลา 13.30 น. สมาคมทั้งสอง จะจัดประชุมบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์, วิทยุและโทรทัศน์ เพื่อกำหนดกิจกรรม ที่สื่อมวลชนทุกแขนงจะร่วมกันช่วยยุติความขัดแย้ง ที่สมาคมนักข่าวฯ


 


2. วันเสาร์ที่ 18 ต.ค. เวลา 13.30 น. ที่สมาคมนักข่าวฯ จัดกิจกรรมราชดำเนินเสวนาเรื่อง "บทบาทสื่อกับการยุติความรุนแรง" โดยนายสมหมาย ปาริจฉัตต์ (อดีตนายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย), นายสุนทร ทาซ้าย (บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ), นายกิตติ สิงหาปัด (ผู้ผลิตรายการข่าวสามมิติ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 )


 


3. วันอาทิตย์ที่ 26 ต.ค. เวลา 09.30 น. จะมีการจัดประชุมใหญ่ "เครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติ" โดยเชิญองค์กรทุกองค์กรมาร่วมกันกำหนดกิจกรรมรณรงค์ต่อเนื่อง เพื่อยุติความรุนแรงและสานเสวนาโดยมีการปาฐกถานำโดย นายอานันท์ ปันยารชุน ที่พิพิธภัณฑ์สถาบันพระปกเกล้า


 


4. จะมีการกำหนดวัน เวลา เพื่อเปิดเวที "สานเสวนาหาทางออกให้บ้านเมือง" โดยสมาคมนักข่าวฯ ทั้งสองสมาคมจะเชิญรัฐบาล, ฝ่ายค้าน, พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนปช. มาร่วมกันเสนอทางออก โดยจะจัดให้มีคนกลางที่เป็นที่ยอมรับมาดำเนินการ โดยกำหนดกติกาในการสานเสวนาได้ล่วงหน้า สำหรับเวลาจะได้กำหนดโดยฉันทานุมัติโดยที่ประชุม "เครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติ" ต่อไป


 


5. สภาพัฒนาการเมืองโดยผู้แทนจังหวัด 76 จังหวัด จะได้จัดกิจกรรมร่วมแนวทางดังกล่าวในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะต่อไป


 


6. จัดทำ เสื้อ หมวก สติ๊กเกอร์ โดยมีข้อความร่วมกัน หยุดความรุนแรง แสวงสันติ


 


นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า ทุกวันนี้คนในสังคมไทยมีความรู้สึกว่า ตนเองตกอยู่ในวังวนของความขัดแย้ง แล้วก็จะนำไปสู่ความรุนแรง ถึงขั้นที่บางฝ่ายประกาศออกมาแล้วว่า จะมีสงครามมหาประชาชน คำถามก็คือว่า แล้วพลเมืองอย่างเราที่ไม่อยากเห็นความรุนแรงเกิดขึ้น ในบ้านเมืองจะยังอยู่เฉยหรือ ทุกคนจะนั่งดูดายหรือ ยอมให้ความขัดแย้งที่มีอยู่กลายเป็นเรื่องปกติ กลายเป็นความรุนแรงที่คนไทยต้องมาฆ่ากันเองหรือ


 


นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ สื่อสองสมาคม สภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า เห็นตรงกันว่า จะอยู่เฉยๆไม่ได้ เราต้องการหาหนทางให้ยุติความรุนแรงนี้ ป้องกันไม่ให้มีสงครามมหาประชาชนอย่างที่เขาประกาศ ก็ขอเรียกร้องสังคมไทยทั้งหมดว่า ถ้ายังอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ก็จะมีการฆ่ากันเองระหว่างคนไทยกับคนไทย


 


"ถ้าใครยังกลัวว่าจะเปลืองตัว ขออยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร แต่ว่าสมาคมสองสมาคม สถาบันพัฒนาการเมือง และสถาบันพระปกเกล้า เห็นว่าเราอยู่เฉยไม่ได้ เราต้องประกาศเจตนาร่วมกันในวันนี้ ทำกิจกรรมต่อเนื่อง เพื่อยุติความรุนแรง"


 


นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ว่าใครฝ่ายใดจะขัดแย้งกันอย่างไรก็ตาม รวมทั้งการชุมนุมตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีสิทธิที่จะนำสังคมไปสู่ความรุนแรง ไม่ว่าความรุนแรงนั้นจะเกิดขึ้นจากประชาชนทำประชาชน หรือจากรัฐทำประชาชน


 


"สำหรับทางออกนั้น เราไม่มีสูตรสำเร็จ เราไม่มีข้อเสนอใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะยุบสภา นายกรัฐมนตรีลาออก พันธมิตรฯออกจากทำเนียบฯ หยุดชุมนุมนปก. เราไม่มีข้อเสนอใดๆ ทั้งสิ้น แต่ทุกฝ่ายที่อยู่ในความขัดแย้งนั่นแหละ มีหาทางออกร่วมกันเองให้กับบ้านเมือง นี่เป็นคำอุทธรณ์ของพลเมืองทั้งชาติ เพราะถ้าพลเมืองงอมืองอเท้า ปล่อยให้การเมืองนำไปสู่ห่วงเหวของความรุนแรงแบบนี้ ผลสุดท้ายคนที่จะได้รับผลร้ายที่สุดก็คือพลเมืองนั่นเอง ผมขอเรียกร้องให้ใครก็ตามที่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวก็ให้มาช่วยกันแสดงพลัง"นายบวรศักดิ์ กล่าว


 


นายบวรศักดิ์ เห็นว่าแนวโน้มความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ไม่มีใครจะสามารถมีบทบาทนำในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ นอกจากประชากรไทย 60 ล้านคน ปล่อยให้ รัฐบาลเชิญแต่ละฝ่ายมา ก็อาจไม่มีใครมา แต่ถ้าสังคมทุกคนออกมาบอกพร้อมกันว่า พอทีความรุนแรง แต่ละฝ่ายอาจจะมา


 


"ผมไม่เชื่อในอำนาจการเมือง หรืออำนาจใดๆ จะทำให้ความขัดแย้งนี้ยุติลงได้ นอกจากอำนาจทางสังคมของคนทั้งสังคม เพราะฉะนั้นใครจะงอมืองอเท้าต่อไปก็เชิญครับ แต่ผมไม่งอมืองอเท้าแล้ว"


 


นายบวรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ในขณะนี้เราต้องการใช้คนกลาง การพูดคุยต้องเกิดขึ้นในประเทศนี้ เพราะอย่างน้อยที่สุด ขบวนการพูดคุยได้เริ่มขึ้นแล้ว ความรุนแรงก็น่าจะยุติ และใครก็ตามนำไปสู่ความรุนแรงอีก คนนั้นต้องรับผิดชอบจะปฏิเสธความรับผิดชอบทั้งทางจริยธรรม ศีลธรรม และกฎหมายไม่ได้


 


ที่มา: ผู้จัดการรายวัน


 


 


ครม.สั่งรื้อแผนจัดหาเมล์เอ็นจีวีใหม่


ครม.สั่งทบทวนแผนจัดหารถเมล์ NGV 4,000 คัน หลังราคาน้ำมันลง  "สันติ" แจงเบื้องต้นอาจลดเช่าแค่ 1,000-2,000 คัน เตรียมเชิญรถร่วมบริการเข้าโครงการติดตั้ง E-Ticket แทน เพื่อเชื่อมต่อการเดินทาง พร้อมปรับค่าโดยสารใหม่จากเหมาจ่าย 30 บาท/วัน เป็นเก็บตามระยะทาง เล็งหา Clearing House คุมแบ่งรายได้ สั่งประธานบอร์ด ขสมก.เร่งดำเนินการด่วน คาดต้นเดือนพ.ย.นี้ได้ฤกษ์ประมูลแน่


 


นายสันติ  พร้อมพัฒน์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม  เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจนัดพิเศษ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมมีความเห็นให้กระทรวงคมนาคม ทบทวนแผนการเช่ารถสาธารณะที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 4,000 คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เนื่องจากเห็นว่าขณะนี้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างมาก จึงมีความเห็นว่าเบื้องต้น ขสมก.ไม่จำเป็นต้องจัดหารถเมล์ถึง 4,000 คัน อาจอยู่ที่ 1,000-2,000 คัน ขณะเดียวกันจะประสานให้รถเอกชนร่วมบริการ ปรับมาใช้ระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ (E-Ticket) เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางกับรถเมล์ ขสมก.แทนด้วย โดยจะมีบริษัทกลางเพื่อจัดสรรรายได้ (Clearing House) เข้ามาดูแล


 


นอกจากนั้นแล้ว ขสมก. ยังต้องปรับปรุงอัตราค่าโดยสาร จากแผนเดิมที่จะจัดเก็บแบบ เหมาจ่าย 30 บาทเดินทางได้ตลอดวัน เป็นจัดเก็บตามระยะทางแทน โดยมีค่าแรกเข้าระบบ ซึ่งรวมแล้วค่าโดยสารอาจไม่ถึง 30 บาท ทั้งนี้ ได้มอบนโยบายการทบทวนแผนงานดังกล่าวไปยังนายปิยะพันธ์  จัมปาสุต  ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) ขสมก.แล้ว


 


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวต่อว่า รถร่วมบริการที่สมัครใจปรับมาใช้ E-Ticket นั้น จะต้องมาตรวจสภาพรถกับกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ก่อน แต่จะไม่บังคับว่าต้องปรับเครื่องยนต์เป็นก๊าซ NGV เพราะอัตราค่าโดยสารที่จัดเก็บจะเป็นตัวกำหนดอยู่แล้วว่าผู้ประกอบการควรใช้พลังงานแบบใดถึงจะคุ้มค่าในการให้บริการ นอกจากนี้ยังจะเปิดให้เอกชนที่สนใจ มาขึ้นทะเบียนเป็นผู้รับจ้างติดตั้งระบบ E-Ticket  เช่นเดียวกับผู้ที่รับจ้างติดตั้งมิเตอร์รถแท็กซี่ด้วย


 


ด้านนายชัยรัตน์  สงวนชื่อ  รักษาการอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ในฐานะประธานคณะ กรรมการจัดทำร่างเงื่อนไขการประมูล (TOR) การเช่ารถเมล์ NGV กล่าวว่า ขณะนี้ได้ทำการร่าง TOR แล้ว และถึงแม้จะมีการสั่งทบทวนแผนฯ แต่จะไม่ส่งผลให้การประมูลล่าช้าออกไป เพราะสามารถใช้ TOR เดิมได้ ซึ่งคาดว่าในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้จะสามารถประกาศร่าง TOR ขึ้นสู่เว็บไซต์ของกรม และ ขสมก.เพื่อรับฟังความคิดเห็นได้ จากนั้นจะใช้เวลาประมูลประมาณ 2 เดือน เชื่อว่าน่าจะลงนามในสัญญาเช่ากับเอกชนราวเดือนมกราคม 2552 และเริ่มรับรถในอีก 4 เดือนหลังจากนั้น


 


"TOR เราร่างแล้ว แม้จะสั่งทบทวนก็ไม่มีปัญหา จะเช่า 4,000 คันเท่าเดิม หรือเหลือ 1,000-2,000 คัน ก็ใช้ TOR นี้ เพียงแต่ต้องมาปรับตัวเลขกันใหม่ ซึ่งต้องขอความชัดเจนจากรัฐบาลก่อนว่าจะให้จัดหากี่คัน ถ้าจำนวนน้อยลงค่าเช่าต่อคันคงต้องสูงขึ้นอยู่แล้ว แต่ค่าประกันจะลดลง" นายชัยรัตน์  กล่าว


 


ที่มา: http://www.thannews.th.com


 


นายกฯนั่งประธานถกก.ตร.วันนี้ ขออนุมัติ1,521ตำแหน่งแก้ภัยใต้


กรุงเทพฯ-16 ต.ค.—ประชาทรรศน์ นายกฯ"สมชาย " นั่งหัวโต๊ะประธานการประชุม ก.ตร. เตรียมขออนุมัติ 1,521 ตำแหน่งประจำภาคใต้ในวันนี้


 


เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา มีรายงานข่าวว่า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีรายงานว่า ในช่วงเวลา 14.30 น.ของวันที่ 16 ตุลาคม นี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)ได้นัดประชุม ก.ตร.ที่ห้องประชุม 1 อาคาร 1 ตร. โดยมีวาระ แก้ไขกฎ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจว่าด้วยหลักเกณฑ์การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาเลื่อนเงินเดินข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2548 วาระขอคืนอัตราเกษียณอายุราชการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2541-2549


 


วาระการกำหนดตำแหน่งเพื่อรองรับการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ วาระแนวทางการแต่งตั้งพนักงานสอบสวน(สบ4) เพื่อไปทดแทนตำแหน่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ วาระการกำหนดตำแหน่งฝ่ายอำนวยการประจำผู้บังคับบัญชาระดับ รอง ผบ.ตร. และผู้ช่วย ผบ.ตร.


 


ทั้งนี้สำหรับวาระการกำหนดตำแหน่งเพื่อรองรับการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการตำรวจส่วนหน้า หรือ ศปก.จชต. โดยจะมีการขออนุมัติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ทั้งสิ้น 1,521 ตำแหน่ง เป็นตำแหน่งผู้บัญชาการ(ผบช.) ยศ พล.ต.ท. 1 ตำแหน่ง รองผบช. ยศ พล.ต.ต. 5 ตำแหน่ง ผู้บังคับการ(ผบก.)3 ตำแหน่ง รองผบก. 8 ตำแหน่ง ผู้กำกับการ (ผกก.) 20 ตำแหน่ง พนักงานสอบสวน(พงส.) (สบ4) 2 ตำแหน่ง รองผกก. 32 ตำแหน่ง สารวัตร 69 ตำแหน่ง พงส. (สบ1-3) 10 ตำแหน่ง อาจารย์(สบ1-3) ประจำศูนย์ฝึกอบรม 26 ตำแหน่ง รองสารวัตร 163 ตำแหน่ง ผู้บังคับหมู่ 732 ตำแหน่ง รองผู้บังคับหมู่ 450 ตำแหน่ง


 


ส่วนตำแหน่งประจำสำนักงานผู้บังคับบัญชานั้นจะมีการขอตำแหน่งฝ่ายอำนวยการประจำสำนักงาน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร. 6 ตำแหน่ง เป็นรองผบช. ผบก.รองผบก. ผกก. รองผกก. และสารวัตร อย่างละ 1 ตำแหน่ง ขณะที่ตำแหน่ง ประจำสำนักงาน พล.ต.อ. วันชัย ศรีนวลนัดที่ปรึกษา(สบ10)ฝ่ายความมั่นคง 5 ตำแหน่ง มี ผบก. รองผบก. ผกก. รองผกก. และสารวัตร อย่างละ 1 ตำแหน่ง ฝ่ายอำนวยการประจำสำนักงาน พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ผู้ช่วยผบ.ตร. รวม 5 ตำแหน่ง เป็นตำแหน่งระดับ ผบก. รองผบก. ผกก. รองผกก. และสารวัตร อย่างละ 1ตำแหน่ง


 


ขณะที่วาระแนวทางการแต่งตั้งพนักงานสอบสวน(สบ4) เพื่อไปทดแทนตำแหน่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้นสืบเนื่องจาก ในสมัยของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส มีการของอนุมัติ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจกำหนดตำแหน่งพงส.(สบ4) เทียบเท่าผกก. 17 ตำแหน่ง ลงประจำในกองบัญชาการภาคต่างๆ แต่ต่อมาก็ขออนุมัติ ก.ตร.เพื่อบรรจุพงส.(สบ4)ทั้งหมดลงไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนมีการร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม


 


พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. จึงจะขออนุมัติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เพื่อขอให้ย้าย พงส.(สบ4) ทั้ง 17 นายออกจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และการหาแนวทางการแต่งตั้ง พงส.(สบ.3) ในพื้นที่มาทดแทน


 


ที่มา: ประชาทรรศน์


 






เศรษฐกิจ


ตกใจกระสุนเขมรหุ้นร่วง19จุด "เอสซี"ซิลลิ่งลากเด้งยกก๊วน พาณิชย์หวั่นค้าชายแดนชะงัก


ไทยโพสต์  -  หุ้นตกใจไทยปะทะกัมพูชา  ดิ่งลงแรง  19  จุด  ต่างชาติกลับมาขายหลังซอแค่วันเดียว   โบรกเกอร์แนะจับตาประเด็นข้อพิพาท  แนะลงซื้อ  ขึ้นขายทำกำไรสั้น  ด้าน SC  วิ่งชนเพดานหลังอัยการสั่งไม่ฟ้องปกปิดโครงสร้าง  ดึงหุ้นในก๊วนวิ่งยกแผง  "พาณิชย์" สั่งเกาะติดค้าชายแดน หวั่นชะงัก


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าดัชนีหุ้นไทยวันที่   15  ต.ค.2551  ปิดที่  481.50 จุด ลดลง 19.27 จุด มูลค่าการซื้อขาย  17,608.98 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 341.81 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 728.63 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,070.45 ล้านบาท


 


นายสมชาย  เอนกทวีผล  ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บล.ไซรัส  กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหลักทรัพย์วันที่  15 ต.ค.เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศและภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากช่วง 1-2 วันก่อนหน้านี้ดัชนีปรับตัวขึ้นแรงมาก


 


ส่วนปัจจัยที่ทำให้ดัชนีปรับตัวลงแรงในช่วงบ่ายมาจากปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาบริเวณพื้นที่ทับซ้อนประสาทพระวิหาร  ที่ล่าสุดเกิดเหตุปะทะกัน ทำให้ขณะนี้สถานการณ์ทั้ง 2 ประเทศยังไม่น่าไว้วางใจ  ขณะที่ไทยเตรียมรับมือหากเกิดสถานการณ์รุนแรงและพร้อมโจมตีทุกเมื่อหากสถานการณ์ไม่คลี่คลาย ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่จับตาประเด็นสำคัญนี้ว่าจะมีจุดคลี่คลายได้อย่างไร นักลงทุนเองยังคงตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ทำให้ชะลอการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งเป็นตัวกดดันดัชนีให้ปรับตัวลงแรง


 


ส่วนแนวโน้มวันที่  16  ต.ค.คาดว่าดัชนียังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบจำกัดระหว่าง 480-500 จุด  เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงจับตาประเด็นข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา  โดยแนะนำซื้อหากราคาหุ้นปรับลง  และขายทำกำไรหากราคาห้นปรับตัวลดลง   ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่  480  จุด แนวต้านอยู่ที่ 500 จุด


 


แม้ว่าตลาดหุ้นจะปรับลดลงอย่างหนัก  แต่หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับตระกูลชินวัตรและวงศ์สวัสดิ์ปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ บมจ.เอสซี แอสเสท (SC) ปิดที่ 6.60 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 29.41% หรือชนเพดานสูงสุด (ซิลลิ่ง) ขณะที่มูลค่าซื้อขายมี 27.37 ล้านบาท


 


นักวิเคราะห์หลักทรัพย์  บล.สินเอเซีย  กล่าวว่า  ราคาหุ้นในเครือตระกูลชินวัตรที่เกี่ยวข้องกับการเมืองปรับขึ้นแรง  หลังจากคณะทำงานอัยการฯ  มีความเห็นไม่ส่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา และอดีตผู้บริหารบางคนของ (SC) ในข้อกล่าวหาอาจเข้าข่ายฝ่าฝืน  พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ  เกี่ยวกับข้อมูลโครงสร้างผู้ถือหุ้น เนื่องจากไม่เข้าข่ายฐานความผิด


 


โดยหุ้น  บมจ.วินโคสท์  อินดัสเทรียล พาร์ค (WIN) ปิดที่ 0.69 บาท เพิ่มขึ้น 0.26 บาท หรือ 60.47%  มูลค่าการซื้อขาย  43.32  ล้านบาท  บมจ.เอ็มลิงค์  เอเชีย คอร์ปอเรชั่น (M LINK) ปิดที่ 1.06  บาท เพิ่มขึ้น 0.37 บาท หรือ 53.62% มูลค่าการซื้อขาย 127.80 ล้านบาท บมจ.ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL)  ปิดที่  2.14  บาท ลดลง 0.02 บาท แต่ระหว่างวันราคาหุ้นได้ปรับขึ้นไปสูงถึง 2.32 บาท มูลค่าซื้อขาย 2.65 ล้านบาท


 


นางอภิรดี  ตันตราภรณ์  อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ  กล่าวว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สังเกตการณ์สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิด  และให้ดำเนินการรายงานอย่างต่อเนื่อง เบื้องต้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้การค้าบริเวณชายแดนได้รับผลกระทบและชะงักตัวลงระยะหนึ่ง  แต่จะสร้างผลกระทบมากเท่าใดต้องรอดูสถานการณ์อีกครั้ง


 


สิงคโปร์เตรียมหมื่นล้าน ซื้ออสังหากลุ่มเลห์แมน


 


ทุนสิงคโปร์ "เอ็มอาร์สุขุมวิท" สบช่องธุรกิจเลห์แมนอ่อนแรง เตรียมเงินหมื่นล้านกว้านซื้อทรัพย์สินขายเลหลังรวด  3-4 โครงการ ฟุ้งปัจจัยลบการเมือง-วิกฤติสหรัฐไม่ระคาย


 


นายสุชาติ   เจียรานุสสติ  ประธานกรรมการบริหาร  บริษัท  เอ็มอาร์  สุขุมวิท จำกัด  ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์กลุ่มทุนสิงคโปร์ "ซิตี้   ดีเวลลอปเม้นท์" หรือซีดีแอลในเครือฮงเลียงกรุ๊ป  เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจนับจากนี้ 12 เดือน มีแผนเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น  โดยเน้นการเข้าซื้อกิจการโครงการเก่าที่ประสบปัญหาทางการเงิน   เนื่องจากเป็นโครงการที่มีศักยภาพ แต่ผู้ประกอบการไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้   ซึ่งน่าสนใจมากกว่าโครงการใหม่ที่ต้องลงทุนก่อสร้างเองทั้งหมด มีความเสี่ยงสูง


 


สำหรับโครงการที่สนใจมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,000-3,000 ล้านบาท หรือบางโครงการอาจมีมูลค่าสูงถึง  10,000  ล้านบาท ทั้งคอนโดมิเนียม โรงแรมและอาคารสำนักงาน ทั้งในกรุงเทพฯ  และต่างจังหวัด  โดยวางแผนซื้อกิจการ  3-4  โครงการ แต่ละโครงการต้องลดราคาลงจากเดิม 15-20% เพื่อความคุ้มค่า


 


"โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เลห์แมนบราเธอร์สเข้าลงทุนในไทยก็มีความสนใจ  หากโครงการมีปัญหาและต้องการขายกิจการหรือหาผู้ร่วมทุน   ซึ่งโครงการของเลห์แมนก่อนหน้านี้ เช่น  อาคารวันแปซิฟิก  อาคารทูแปซิฟิก อาคารอิตัลไทย อาคารเมอคิวรี่ และโรงแรมใน จ.ภูเก็ต" นายสุชาติกล่าว


 


สำหรับปัจจัยลบ   ทั้งวิกฤติการเงินในสหรัฐและความวุ่นวายทางการเมืองยังไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท เพราะการลงทุนใช้กระแสเงินสดส่วนใหญ่


 


ด้านผลการดำเนินงาน   9   เดือนที่ผ่านมา ทั้งศูนย์การค้าจังซีลอน ป่าตอง ภูเก็ต โรงแรมมิลเลเนียม  โรงแรมมิลเลเนียม  ฮิวตัน โรงแรมแกรนด์มิลเลเนียม สุขุมวิท และเอ็กซ์เชนจ์ทาวเวอร์ยังไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบ   แต่ที่ผ่านมาไม่ได้ลงทุนโครงการใหม่และเสียดิวหลายโครงการ  เพราะคู่แข่งให้ราคาสูงกว่า


 


ที่มา: ไทยโพสต์


 


เล็งคลอดกม.ล้างอุปสรรคเปิดทางทุนต่างชาติแสนล.ไหลเข้าไทย


พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ประธานกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา(สว.) เปิดเผยว่า ได้เสนอให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.อุตสาหกรรม ออกกฎหมายลูกของรัฐธรรมนูญในมาตรา 67 เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนในไทยได้คล่องตัว


 


เนื่องจากมาตรา 67 ที่กำหนดเกี่ยวกับสิทธิการคุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคนในชุมชนเป็นขอบเขตกว้าง จนโครงการขนาดใหญ่จากต่างประเทศวงเงินหลายแสนล้านบาท เช่น โรงถลุงเหล็กและโรงไฟฟ้า ต้องชะลอออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะกลัวผิดกฎหมายและการต่อต้านจากชุมชน โดยกฎหมายลูกจะเน้นปริมาณมลพิษที่มีผลต่อชุมชนและให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนจำนวนหนึ่ง เพื่อเข้าไปชี้แจงให้ชาวบ้านได้รู้ข้อเท็จจริงและผลประโยชน์ของโครงการ


 


"ต่างชาติจำนวนมากกังวลเกี่ยวกับกฎระเบียบที่ไม่ชัดเจน จึงไม่กล้ามาลงทุน หรือหลายโครงการขอเข้ามาลงทุนแล้ว แต่ไม่คืบหน้าเพราะติดปัญหาสิ่งแวดล้อม ขณะที่หน่วยงานราชการก็เป็นง่อยเพราะดำเนินการด้านนี้ไม่สะดวก เบื้องต้นรมว.อุตสาหกรรม รับปากจะเป็นผู้ออกกฎหมายลูกให้รัฐสภาพิจารณา คาดว่า ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย" พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าว


 


ด้านพล.ต.อ.ประชากล่าวว่า เพื่อเร่งให้มีการลงทุนภาคอุตสาหกรรมในไทยมากขึ้น ในวันที่ 17 ตุลาคม นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)จะประชุมเป็นครั้งแรก เพื่อเร่งรัดพิจารณาโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนที่ค้างประมาณ 40 โครงการ มูลค่านับแสนล้านบาทให้ออกมาโดยเร็ว


 


ที่มา: http://www.naewna.com


 


 


ไฟเขียวอุ้มรัฐวิสาหกิจเงินน้อย เพิ่มค่าครองชีพให้ 1,500 บาท


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุม ครม.เห็นชอบให้มีการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวให้แก่ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ เช่นเดียวกับที่อนุมัติให้กับลูกจ้างของราชการไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยลูกจ้างรัฐวิสาหกิจรายใดที่มีเงินเดือนไม่ถึง 11,700 ให้ได้รับอัตราเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว จากเดือนละไม่เกิน 1,000 เป็นเดือนละ 1,500 บาท รวมแล้วไม่เกิน 11,700 บาท


 


ส่วนผู้ที่มีเงินเดือนไม่ถึง 8,200 บาท ให้ได้รับเงินเพิ่ม รวมเงินเดือนเป็น 8,200 บาท โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.51 เป็นต้นไป และให้ใช้งบประมาณของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งเอง ไม่เกี่ยวข้องกับงบประมาณของรัฐบาลแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังไม่ถือว่าเป็นค่าจ้าง และมีลักษณะการจ่ายเป็นการชั่วคราว รวมทั้งไม่เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แก่ลูกจ้าง หาก ครม.มีมติยกเลิกการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ก็ให้รัฐวิสาหกิจยกเลิกการจ่ายเงินเพิ่มดังกล่าวให้กับลูกจ้างด้วย


 


"การปรับเพิ่มค่าครองชีพครั้งนี้ เป็นไปตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.51 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเทียบเคียงตามหลักเกณฑ์ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.51 ที่ใช้กับข้าราชการและลูกจ้าง หากมีการยกเลิกก็ให้ยกเลิกตามด้วย เพราะเป็นเพียงการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกจ้างที่มีเงินเดือนน้อยเท่านั้น ซึ่งการปรับเพิ่มครั้งนี้จะสร้างความเป็นธรรมเกิดขึ้นกับพนักงานรัฐวิสาหกิจด้วย"


 


ก่อนหน้านี้ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.51 ได้อนุมัติให้ปรับเพิ่มค่าครองชีพในวงเงินดังกล่าวสำหรับข้าราชการระดับ 1-5 เพราะเห็นว่าสถานการณ์ด้านราคาน้ำมันและราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน


 


ที่มา: ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 16 ต.ค. 2551 (กรอบบ่าย)


 


ซับน้ำตาครูเกษียณก่อนกำหนดเพิ่ม 3 พัน


นายศรีเมือง เจริญศิริ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังประชุมคณะฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กลุ่มที่ตกค้าง เข้าร่วมมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ หรือโครงการเกษียณก่อนกำหนด หรือเออร์ลี่รีไทร์เพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษจำนวน 3,077 คน ตามที่ สพฐ.เสนอ โดยครูกลุ่มดังกล่าวจะได้รับเงินขวัญถุงจากปีงบประมาณ 2552 จำนวน 9 เดือนก่อนเพื่อให้ สพฐ.มีเงินเหลือเพียงพอสำหรับการจ้างครูมาทดแทนไม่น้อยกว่า 9 เดือน ส่วนเงินขวัญถุงที่เหลือจะได้รับในปีงบประมาณ 2553 พร้อมกับเงินบำเหน็ดดำรงชีพรายละ 200,000 บาท ซึ่งทุกคนจะต้องทำบันทึกยินยอมการรับเงินขวัญถุงและเงินบำเหน็จดำรงชีพในปี 2553 ด้วยนอกจากนี้ ครม.ยังอภิปรายกันอย่างกว้างขวางว่ามีความเห็นใจครูที่ขอเข้าร่วมโครงการ และเห็นว่าโครงการนี้ไม่ได้สร้างภาระให้รัฐบาล โดยย้ำว่าขอให้ถือว่าการที่ครูเข้าโครงการเกษียณก่อนกำหนด เป็นโอกาสที่กระทรวงศึกษาธิการจะได้ปรับพื้นฐานของครู โดยเน้นการบรรจุครูเข้ามาใหม่จะต้องรับครูให้ตรงตามวิชาเอกที่ขาดแคลนและตรงตามความต้องการของโรงเรียน


 


นายศรีเมืองกล่าวด้วยว่า ครม.ยังย้ำให้กระทรวงศึกษาธิการเข้มงวดเรื่องครูช่วยราชการว่า หากไม่จำเป็นไม่ควรให้มีการช่วยราชการ แต่เน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาครู ทั้งนึ้ เมื่อรวมจำนวนครูที่เกษียณก่อนกำหนดก่อนหน้านี้จำนวน 8,955 คน และที่ ครม.อนุมัติเพิ่มเติม 3,077 คน รวมแล้วจะมีครูเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 12,032 คน ซึ่งตามหลักการเดิม สพฐ.ต้องจ้างครูทดแทนตามจำนวนที่เกษียณก่อนกำหนด โดยขณะนี้มีครูสอบขึ้นบัญชีตามกลุ่มสาระต่างๆ ไว้แล้ว 26,164 คน แต่เนื่องจาก ครม.ย้ำว่าต้องบรรจุครูให้ตรงตามวิชาเอกที่ขาดแคลน ดังนั้น หากวิชาเอกใดที่ผู้สอบได้ไม่ครบตามจำนวนก็ต้องเปิดสอบใหม่


 


ที่มา: ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 16 ต.ค. 2551 (กรอบบ่าย)


 






วัฒนธรรม


 


รัฐ-เอกชนจัดระเบียบบ้านเชียงยันต้องตั้งกรรมการร่วมกำหนดทิศทาง


ชี้ราชภัฏอุดรจับมือมข.จัดระเบียบท่องเที่ยวบ้านเชียง ชี้ปัจจุบันอยู่ในสภาพไร้ทิศทาง มีหน่วยงานมากมายแต่ไร้การบูรณาการ ที่ผ่านมาเน้นแค่จัดงานประจำปี จึงตั้งคณะกรรมการรัฐและเอกชนขึ้นมากำหนดทิศทางอย่างยั่งยืน


 


นายชลธี เจริญรัฐ อาจารย์ประจำคณะวิทยาการจัดการ  มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี หัวหน้าโครงการวิจัยแบบมีส่วนร่วมแหล่งมรดกโลกบ้านเชียง เปิดเผยว่า  มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีและมหาวิทยาลัยขอนแก่น(มข.)  ร่วมกันจัดทำโครงการศึกษาวิจัยถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน ภายใต้โครงการที่ชื่อว่า การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์แหล่งมรดกโลกบ้านเชียง เพื่อจัดรูปแบบการท่องเที่ยวในแหล่งโบราณคดีมรดกโลกบ้านเชียงในรูปแบบที่เหมาะสมและยั่งยืน โดยใช้วิธีการวิจัยแบบมีส่วนร่วม ซึ่งที่ผ่านมาแหล่งมรดกโลกบ้านเชียงยังขาดการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นระบบ ขาดการมีส่วนร่วมทั้งในท้องถิ่นเอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขาดการ


 


บูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


จากการที่คณะทำงานการวิจัยของโครงการลงไปทำการศึกษาวิจัยในพื้นที่ของบ้านเชียงแล้วพบว่า  การพัฒนาแหล่งมรดกโลกบ้านเชียงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้  อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถกำหนดบทบาทของแต่ละฝ่ายได้อย่างชัดเจน  เพราะหลายฝ่ายต่างก็อยากให้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ก็ไม่มีทิศทางการทำงานและพัฒนาเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนได้  หลายๆ ฝ่ายไม่มีความเข้าใจถึงบทบาทของตนเองว่าจะทำอะไร อย่างไร ขาดความรู้ว่าการส่งเสริมการท่องเที่ยว และการอนุรักษ์จะทำกันอย่างไร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังขาดการประสาน


 


นอกจากนี้แล้วจากการที่คณะทำงานวิจัยลงไปในพื้นที่จัดเวทีประชาคมกับทุกๆฝ่าย ทั้งภาคประชาชนและภาคหน่วยงานของรัฐยังพบว่า แหล่งมรดกโลกบ้านเชียง ยังเน้นเฉพาะการจัดงานประจำปี คืองานมรดกโลกบ้านเชียง  แต่ก็ยังขาดความต่อเนื่องที่ระบุได้ว่า เป็นเรื่องของประเพณีวัฒนธรรมประจำถิ่น  เป็นเพียงระยะสั้นๆที่ชาวบ้านบ้านเชียงและท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการแสดงออกถึงวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของบ้านเชียงเท่านั้น เช่นการแต่งกายด้วยชุดไทพวน


 


ความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้นั้น จะต้องมีการบริหารจัดการโดยคณะกรรมการร่วมทั้งภาครัฐและภาคเอกชน คือ จะต้องมีหลายๆหน่วยงานและหลายฝ่ายเข้ามาช่วยกันบริหารจัดการในรูปแบบของคณะกรรมการร่วม เช่น  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัด  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือเทศบาลบ้านเชียง วิสาหกิจชุมชน ฯลฯ โดยคณะกรรมการดังกล่าวจะเป็นผู้กำหนดกฎระเบียบ ข้อบัญญัติ จัดหางบประมาณ กำหนดแนวทางการพัฒนา ส่งเสริม อนุรักษ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่


 


ในส่วนของการศึกษาทรัพยากรการท่องเที่ยวของแหล่งมรดกโลกบ้านเชียงนั้นพบว่ามีเป็นจำนวนมาก เช่น ประเพณีไทพวน อารยธรรมบ้านเชียงที่เก่าแก่เป็นพันๆปี หลุมขุดค้นที่วัดโพธิ์ศรีใน พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบ้านเชียง หมู่บ้านปั้นหม้อบ้านปูลู บ้านคำอ้อ เรือนไทพวน จุดสาธิตปั้นหม้อ ปั้นไหและการเขียนสีบ้านเชียง เป็นต้น จะต้องนำเอาทรัพยากรการท่องเที่ยวเหล่านี้ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวให้มากที่สุด และจะต้องมีการสร้างทรัพยากรการท่องเที่ยวใหม่ๆขึ้นมาด้วย เช่น ลานวัฒนธรรมไทพวน


 


ที่มา: http://www.thannews.th.com

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net