Skip to main content
sharethis

การเมือง


"อภิสิทธิ์"เตือนสื่อระวังเป็นเครื่องมือเกมสู้ทางการเมือง


แนวหน้า - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวบรรยายงานราชดำเนินเสวนา หัวข้อนโยบายและการผลักดันปฎิรูปสื่อของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในระหว่างพบปะตัวแทนสื่อมวลชน 5 สมาคม ที่สมาคมนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 13 มกราคม มีเนื้อหาโดยสรุปว่า สื่อมีบทบาทสำคัญในการนำสังคมคืนสู่ความเป็นปกติ ซึ่งภายใต้ภาวะแวดล้อมของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป



การปฎิรูปสื่อเป็นสิ่งที่ควรดำเนินการ เพื่อให้สื่อเข้มแข็งทำงานได้อย่างมีสิทธิเสรีภาพบนหลักการของความเป็นมืออาชีพ โดยส่วนตัวอยากเห็นกฎหมายคุ้มครองผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ แต่มักพบว่ากฎหมายเช่นนี้ถูกแปลงไปเป็นกฎหมายควบคุมสื่อ ยืนยันว่าไม่ต้องการให้การเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสื่อ ต้องการให้สื่อกำกับดูแลกันเอง เพื่อให้การทำหน้าที่เป็นไปตามอุดมการณ์และเป้าหมาย


 


นายกรัฐมนตรียังแสดงความเป็นห่วงสื่อที่อาจถูกใช้หรือตกเป็นเครื่องมือของอำนาจทุนและอำนาจรัฐ รวมถึงตกเป็นเหยื่อของคนที่มีวาระในเชิงการเมือง ซึ่งสื่อรู้ดีกว่าตน ถ้าสื่อเสนอข่าวแต่คนกัดหมา คนกัดหมาก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ หมากัดคนไม่มี การช่วงชิงพื้นที่สื่อคือยุทธศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองก็คือ การทำให้ผิดปกติมากที่สุด ถ้าสื่อเสนอแต่ความไม่ปกติ นับวันสังคมก็จะเสพแต่ความไม่ปกติ นับเป็นเรื่องอันตราย ที่สื่อต้องระมัดระวัง


 


นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงรายการคุยข่าวทางโทรทัศน์ว่า เป็นเรื่องอันตราย แม้ข้อดีผู้ชมจะได้ความเพลิดเพลิน แต่อันตรายคือการชี้นำ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของผู้ดำเนินรายการ ที่ไม่เหมือนกับการอ่านข่าวหรือประกาศข่าวอย่างที่เราเห็นในอดีต ดังนั้น ต้องการให้คงรูปแบบข่าวที่เป็นข่าวไม่ใช่การเสนอข่าวปนความคิดเห็น รวมถึงการส่งข่าวข้อความสั้น(sms) ที่เน้นความสั้นกระชับ อาจทำให้บิดเบือนได้ และควรจะกำหนดช่วงเวลารายการสำหรับเด็ก หรือรายการที่มีเนื้อหาสาระ ไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะสื่อของรัฐ


 


นอกจากนี้ นายกฯยังยอมรับจะผลักดันร่างพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อให้เกิดคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)ได้จริง มีอิสระเป็นกลางไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนและจะพยายามให้การจัดสรรคลื่นความถี่เกิดขึ้น โดยยึดความเป็นกลางและเป็นธรรม ไม่ยึดทุกอย่างกลับมาเป็นของรัฐ ถ้าดึงกลับมาจะพิจารณาจากผลประโยชน์ของหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบ ไม่เช่นนั้นการจัดสรรคลื่นความถี่จะเกิดยาก สำหรับวิทยุชุมชนนั้น ขณะนี้ข้อกฎหมายยังสับสน รัฐจะดำเนินการให้เข้ารูปเข้ารอย เพื่อให้เป็นวิทยุของชุมชนจริงๆ ไม่ต้องการให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง


 


 


ศาลไม่รับฟ้อง "อำนวย" ยื่นฟ้อง ป.ป.ช. ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีปราบม็อบบุกสภา 7 ต.ค.ไม่ชอบ


แนวหน้า- ผู้สื่อข่าวรายงานจาก ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้อง คดี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. มอบอำนาจ ให้นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช ) , นายกล้านรงค์ จันทิก , นายใจเด็ด พรไชยา , นายประสาท พงษ์ศิวาภัย , นายภักดี โพธิศิริ , นายเมธี ครองแก้ว , นายวิชา มหาคุณ , นายวิชัย วิวิตเสวี และน.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ซึ่งเป็น ป.ป.ช. เป็นจำเลย ที่ 1- 9 ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีที่ป.ป.ช. แต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีสั่งให้ตำรวจสลายการชุมนุมพื้นที่หน้าบริเวณรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ไม่ชอบ ไม่ยุติการไต่สวน ทั้งที่ศาลอาญาได้รับฟ้อง คดีที่นายสิทธิพร โพธิโสดา ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) , พล.ต.อ.พัชรวาท ผบ.ตร. , พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สุชาติ ผบช.น. และพล.ต.ต.อำนวย เป็นจำเลยที่ 1-5 ต่อศาลอาญาคดีหมายเลขดำที่ อ.4142 /2551 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแล้วซึ่งประเด็นเดียวกับข้อกล่าวหาที่ ป.ป.ช. ไต่สวน ซึ่งตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 86 บัญญัติ ห้ามไม่ให้ ป.ป.ช.รับคำกล่าวหาที่เกี่ยวกับเรื่องที่ศาลรับฟ้องในประเด็นเดียวกัน


 


โดยคดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 2 มี.ค.นี้ เวลา 13.30 น. แต่เมื่อศาลตรวจพิจารณาคำฟ้องแล้วเห็นว่า ฟ้องคดีไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องและงดการไต่สวนมูลฟ้องดังกล่าว



ขณะที่นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความโจทก์ กล่าวว่า เตรียมจะยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป


 


 


บิ๊กจิ๋วให้ข้อมูลป.ป.ช.เหตุ7ตุลาฯพรุ่งนี้


โพสต์ทูเดย์- นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผย ภายหลังประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาในคดีเหตุสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ปิดล้อมรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 และมีมติให้ตั้งอนุกรรมการไต่สวน ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ทั้งคณะ มาทำหน้าที่ โดยมีตัวเองป็นประธาน



เนื่องจากเรื่องดังกล่าวมีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามาเกี่ยวข้อง และมีนายตำรวจระดับสูงหลายคนที่อาจเข้ามามีส่วนในเหตุการณ์ดังกล่าว อีกทั้ง เหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ในความสนใจของประชาชน การให้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่เข้ามาทำหน้าที่ ถือว่าจะได้มีอำนาจเต็มในการเรียกบุคคลเข้ามาให้ข้อมูล คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน


 


นายวิชา กล่าวว่า วันพรุ่งนี้ เวลา 09.30 น. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เข้าให้ข้อมูลกับ ป.ป.ช.ด้วย นอกจากนี้ ป.ป.ช. จะใช้สำนวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่สรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว มาเป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบด้วย


 


ส่วนกรณีที่ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยื่นฟ้อง ป.ป.ช.ว่าไม่มีสิทธิ์เข้าไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าว เนื่องจากศาลรับคำร้องไว้แล้ว นายวิชา กล่าวว่า ทราบมาว่าศาลได้ยกคำร้องเรื่องดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้น ป.ป.ช.จึงมีอำนาจเต็มในการตรวจสอบ


 


 


"จงรัก" ขอ 4 สัปดาห์ออกหมายจับยึดสนามบิน


มติชน - ความคืบหน้าการดำเนินคดีกลุ่มพันธมิตรที่บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมพนักงานสอบสวนเพื่อเร่งรัดคดี ว่าคดีมีความคืบหน้าแล้ว 70% โดยสอบพยานแล้วกว่า 300 ปาก ซึ่งจะสอบสวนต่อไปอีกประมาณ 3-4 สัปดาห์ ก็จะสามารถเสนอออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องตามพยานหลักฐานได้ แต่ยังไม่สามารถระบุว่าได้ว่าเป็นใครบ้าง


 


"คดียึดสนามบิน มีผู้เสียหายเพิ่มเข้ามาคือ การท่าอากาศยานแห่งประเทษไทยฟ้องเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาท และการบินไทยเรียกค่าเสียหาย 18,000 ล้านบาท ดังนั้น พนักงานสอบสวนจำเป็นต้องนำคำฟ้องมาพิจารณาประกอบสำนวนการสอบสวนด้วย เพื่อให้ทราบถึงพฤติการณ์ในการกระทำผิด รวมทั้งค่าเสียหายทั้งหมด ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น" พล.ต.อ.จงรัก กล่าว


 


พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า สำหรับคดีพันธมิตรบุกยึดทำเนียบรัฐบาล พนักงานสอบสวนได้สอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว และได้ส่งสำนวนการสอบสวนไปให้พนักงานอัยการพิจารณาแล้วตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยดำเนินคดีกับ 9 แกนนำพันธมิตรในความผิดฐานกระทำปรากฎแก่ประชาชน ด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล และมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ส่วนความผิดฐานร่วมกันสะสมอาวุธ ตระเตรียมการหรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฎนั้นมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้เพิกถอนหมายจับในข้อหานี้ ส่วนคดียิงระเบิด เอ็ม 79 เข้าไปยังกลุ่มพันธมิตรกำลังอยู่ระหว่างทำคดี


 


เมื่อถามถึงกรณีแกนนำกลุ่มพันธมิตรหลายคนเป็นรัฐมนตรีและที่ปรึกษารัฐมนตรี พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า คงไม่เป็นอุปสรรคพนักงานสอบสวน และไม่มีผลต่อการทำงาน ทุกอย่างดำเนินการไปตามพยานหลักฐาน ตามขั้นตอนตามหน้าที่ ขอยืนยันไม่มีฝ่ายการเมืองเข้ามากดดันนายกรัฐมนตรีเองก็บอกว่าให้ดำเนินการทุกอย่างไปตามกฎหมาย และยืนยันว่าไม่เป็นลักษณะมวยล้มต้มคนดู


 


 


"สมศักดิ์" เล็งขอนิรโทษกรรมคนถูกตัดสิทธิการเมือง 220 คน ดึง"สมคิด"นั่งหน.ภูมิใจไทย


มติชน - รายงานข่าวจากพรรคภูมิใจไทยแจ้งว่า เมื่อคืนวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ได้หารือกับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่บ้านพักนายสมศักดิ์ จ.สุโขทัย โดยนายสมศักดิ์ ระบุว่าควรจะมีการขอนิรโทษกรรมผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำนวน111 คนจากคำตันสินยุบพรรคไทยรักไทยของคณะตุลาการรัฐ



ธรรมนูญเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550และอีก 109 คนจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคพลังประชาชน ชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตย เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 รวมเป็น 220 คน ซึ่งรวมไปถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีด้วย


 


ข่าวแจ้งว่า หากปลดล็อคทางการเมืองได้เร็วจะสนับสนุนให้นายสมคิดมาเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและจะผลักดันให้นายสมคิดเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป


 


ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน กล่าวถึงการเข้าร่วมพรรคภูมิใจไทย ว่า พรรคภูมิใจไทยจะพูดคุยกันครั้งสุดท้ายในช่วงค่ำวันที่ 13 มกราคมเพื่อพิจารณาเรื่องหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย การรวมตัวกันครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการเพิ่มอำนาจต่อรองในรัฐบาลหรือขอเพิ่มโควตารัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทยเปิดกว้าง หากมี ส.ส.ที่ยังไม่เข้าสังกัดจะมาอยู่ร่วมกัน


 


นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กลุ่มเพื่อนเนวิน กล่าวว่า ชัดเจนแล้วว่า กลุ่มเพื่อนเนวิน ตัดสินใจเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย และได้ยื่นใบสมัครเรียบร้อยแล้ว จะแถลงอย่างเป็นทางการวันที่ 14 มกราคมนี้ วันนี้ถือว่าไม่มีกลุ่มเพื่อนเนวินอีกต่อไป


 


 


'ธฤต' สนองแผนส่งเสริมภาพลักษณ์จะจัดให้เร่งด่วน


ไทยรัฐ- นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลนโยบายฟื้นฟูภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นให้กับประเทศ ในด้านการเมือง ความมั่นคง และเศรษฐกิจ รวมทั้งการท่องเที่ยว และการลงทุน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติงบประมาณดำเนินการในการเรื่องนี้ จำนวน 325 ล้านบาท โดยให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)


 


ทั้งนี้ อธิบดีกรมสารนิเทศ ก.ต่างประเทศ กล่าวอีกว่า ในที่ประชุมเพื่อกำหนดมาตราการฟื้นฟู และกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามมติที่ประชุม ครม. เศรษฐกิจ ครั้งที่ 1 / 2552 นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ประชุมร่วมกับผู้แทนหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมได้สรุปให้จัดทำแผนฟื้นฟูและส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศเป็นการเร่งด่วน โดยมีตลาดหลักคือ จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรต (ยูเออี) ที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ซึ่งในภาพรวมของการดำเนินงานเป็นการจัดทำโรดโชว์ และการเชิญหน่วยงานประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศร่วมโปรโมทด้านการท่องเที่ยว และการลงทุนของประเทศไทย


 


นายธฤต กล่าวว่า ในระหว่างการดำเนินนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลก ได้รายงานถึงมุมมองของประเทศต่างๆ ที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลในการทำงานที่ทำควบคู่กันไป เนื่องจากถือว่า เป็นนโยบายเร่งด่วนและจะดำเนินการโดยทันที โดยหวังว่าจะเรียกความเชื่อมั่นจากต่างชาติกลับมาโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการลงทุนที่จะมีเพิ่มมากขึ้น


 


 


มท.2 เอาใจกำนัน-ผญบ.ชงขึ้นเงินเดือน 100%


มติชน - ที่กระทรวงมหาดไทย นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ได้เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการของบประมาณ เพื่อเพิ่มค่าตอบแต่ให้กับกำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน และแพทย์ประจำตำบล เท่าตัว หรือ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะเห็นว่าบุคคลเหล่านี้ช่วยเหลืองานข้าราชการเป็นอย่างดี อีกทั้งยังต้องสนองนโยบายในการสร้างความสมานฉันท์ ให้เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ ซึ่งได้มีการเสนอของบไป 6,008 ล้านบาท แต่เรื่องนี้ยังต้องรอสภาอนุมัติอีกครั้งในการเปิดประชุมสามัญ ในวันที่ 26 มกราคม ซึ่งจะเสนอเรื่องนี้ในวันนั้นทันทีเพราะถือเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ยังไม่ทราบว่าทางสภาจะอนุมัติเม็ดเงินเต็มจำนวนหรือไม่ แต่ตนเชื่อมันว่ากำนัน ผู้ใหญ่บ้านจะต้องได้เงินในส่วนนี้แน่นอน


 


ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นการนำเอานโยบายของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาใช้เพื่อที่จะซื้อฐานเสียงจากกำนันผู้ใหญ่บ้านหรือไม่ นายบุญจง กล่าวว่า ไม่ได้เป็นการซื้อฐานเสียง และยอมรับว่าเอานโยบายของรัฐบาลชุดเดิมมาใช้ เพราะไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใด หากมีนโยบายที่ดี มีประโยชน์ต่อประชาชน ก็จะต้องสานต่อ และต้องยอมรับว่ากำนันผู้ใหญ่บ้านเป็นกลไกที่สำคัญ ของกระทรวงมหาดไทย และประชาชนจะได้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้เข้ามาแล้วได้ทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่มาอยู่แล้วทำอะไรไม่ได้ ไม่ได้ทำอะไรให้ประชาชน มีแต่ความแตกแยก


 


 


 


คุณภาพชีวิต


สถานีอนามัยกว่า 80% ต้องปรับปรุง สปสช.เทงบปรับปรุงระบบ 1,100 ล้าน


คมชัดลึก - เมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าว "สถาปัตยกรรมใหม่: ศูนย์สุขภาพชุมชนในทศวรรษหน้า" ว่า ศูนย์สุขภาพชุมชนหรือสถานีอนามัยกว่า 1 หมื่นแห่ง แปลนอาคารเป็นแบบที่ใช้มาตั้งแต่ พ.ศ.2525 แม้จะมีการปรับปรุงใหม่ในปี 2536 แต่ยังมีข้อจำกัดในการเข้าใช้บริการของผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง สธ.จึงเห็นความจำเป็นในการพัฒนาและออกแบบปรับปรุงตัวอาคารสถานบริการ พื้นที่ใช้สอยและภูมิสถาปัตย์ให้เอื้อต่อการทำกิจกรรมด้านการดูแลสุขภาพ


 


นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยสังคมและสุขภาพ (สวสส.) กล่าวว่า จากการสำรวจสถานีอนามัยทั้งระบบมี 1 หมื่นแห่ง พบว่า 30% มีการปรับปรุงไปบ้างแล้ว อีก 80% ต้องการการปรับปรุงเพิ่มเติมและสร้างสถานีอนามัยใหม่ หลังพบตัวอาคารสูง คนแก่ ผู้พิการ ผู้ป่วยเรื้อรังใช้บริการยาก ทำชุมชนห่างเหินหน่วยบริการสุขภาพ ดังนั้นต้องระดมสถาปนิกเพื่อออกแบบใหม่ ซึ่งขณะนี้มีแบบที่ผ่านเข้ารอบ 15 แบบ เป็นแบบปรับปรุง 8 แบบ และแบบใหม่อีก 7 แบบ โดยจะตัดสินวันที่ 14 มกราคม และประกาศผลวันที่ 15 มกราคม ผลงานที่ชนะเลิศจะนำไปจัดแสดงในงานมหกรรมสุขภาพชุมชน 2552 จัดระหว่างวันที่ 18-20 กุมภาพันธ์


 


ด้านนพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในปี 2552 คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีมติให้จัดสรรงบ 2 ส่วนเพื่อพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ ยกระดับสถานีอนามัยให้เป็นศูนย์สุขภาพชุมชนที่มีแพทย์ ส่วนแรกจะลงทุนในระบบบริการและระบบสนับสนุน วงเงิน 800 ล้านบาท ส่วนที่สอง งบค่าตอบแทน วงเงิน 300 ล้านบาท รวม 1,100 ล้านบาท โดยมอบหมายให้คณะกรรมการสนับสนุนการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิภายใต้ระบบหลัก ประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นผู้พิจารณาสนับสนุนแผนการบริหารงบพัฒนาบริการปฐมภูมิ ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า


 


 


เศรษฐกิจ


หอการค้าชี้ส่งออกปี52ติดลบ1.6%


คมชัดลึก - ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์ได้ประเมินการส่งออกปี 2552 โดยโอกาสความเป็นไปได้สูงสุด อัตราการส่งออกจะลดลง 1.6% เทียบกับปีก่อนโดยมีมูลค่า 1.73 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจัยเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงที่มีอัตราขยายตัวเพียง 0.9% อัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงอยู่ที่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และราคาน้ำมันเฉลี่ยบาร์เรลละ 51.2 ดอลลาร์สหรัฐ


 


จากกรณีฐานดังกล่าว การนำเข้าจะติดลบ 6.7% หรือมูลค่า 1.67 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามทิศทางการส่งออกและการบริโภคของประเทศที่ชะลอลง ดุลการค้าเป็นบวก 5.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดุลบัญชีเดินสะพัด ติดลบ 3.69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากดุลบริการที่ลดลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะลดลงในปีนี้ จากปัญหาเศรษฐกิจโลกและการเมืองภายในที่ไม่ก่อให้เกิดบรรยากาศการท่องเที่ยว


 


"การค้าระหว่างประเทศปีนี้ จะเผชิญกับปัจจัยลบ จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงมาก คู่ค้าลดการนำเข้า ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นในกลุ่มสินค้าไม่จำเป็นกับการดำรงชีวิต ราคาสินค้าลดลง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรจะลดลงถึง 20.9% การแข่งขันทางการค้าจะรุนแรงขึ้น เพราะประเทศผู้ส่งออกต่างต้องการหาตลาดใหม่ เพื่อทดแทนตลาดหลักที่สูญเสียไป รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศคู่ค้าที่มีมาก


ขึ้น" ดร.อัทธ์ กล่าว


 


สำหรับกลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบจากการส่งออกปีนี้ชะลอตัวมาก ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ส่วนกลุ่มสินค้าที่สามารถพยุงตัวอยู่ได้ คือ กลุ่มสินค้าที่ใช้แรงงานมาก เช่น อัญมณี เครื่องหนัง ส่วนสินค้าที่สามารถส่งออกขยายตัวได้คืออาหารและสินค้าเกษตร เพราะเป็นกลุ่มที่ต้องบริโภคอย่างต่อเนื่อง


 


"เป้าหมายส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ที่ขยายตัว 3% ในปีนี้มีโอกาสเป็นไปได้น้อยที่สุด แต่ถ้าภาครัฐทำตามมาตรการกระตุ้นส่งออกที่วางแผนไว้ได้ผล ก็จะทำให้การส่งออกขยายตัวได้ตามเป้าหมาย ส่วนภาพรวมทางเศรษฐกิจ คาดว่าภาครัฐตีโจทย์ถูกแล้วที่ต้องกระตุ้นการค้าทั้งในและต่างประเทศ แต่เม็ดเงินที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจที่ 1.2 แสนล้านบาท นั้นยังไม่เพียงพอควรเพิ่มอีก 1 แสนล้านบาท เพื่อให้จีดีพี เป็นบวกได้ เพราะทุก 1 แสนล้านบาท จีดีพีจะเพิ่มขึ้น 0.7%" ดร.อัทธ์ กล่าว


 


 


ความมั่นคง-ภาคใต้


ทหารเหยื่อระเบิดเจาะไอร้องตายแล้วอีก5ปลอดภัย


มติชน - เมื่อวันที่ 13 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี ทหารชุด ร้อย ร.15134 ฉก.นราธิวาส ที่ได้รับบาด เจ็บจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดรถหุ้มเกราะฮัมวี่ ขณะนำขบวนรถบันทุกเยาวชนและชาวบ้านที่ร่วมโครงการทำดี มีอาชีพ เดินทางจาก อ.เมืองนราธิวาส มุ่งหน้ากลับ อ.เจาะไอร้อง เมื่อวันที่ 12 มกราคม ว่า ล่าสุด พลฯ อุทัย ฐิติสาร อายุ 21 ปี เสียชีวิตแล้ว 1 นาย ส่วนทหารอีก 5 นายคือ ร.ท. อรรถพงศ์ ใจดี, จ.ส.อ.ประพันธ์ แสนใหม่, จ.ส.อ.ประพัฒน์ คุ้มเกรง, พลฯ นนทชัย แสงงาม, และ พลฯ บุญมี โคตรมงคล ทั้งหมดอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังอยู่ในการดูแลของแพทย์โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมืองนราธิวาส อย่างใกล้ชิด


 


ทั้งนี้ได้มีการส่งศพ พลฯ อุทัย ฐิติสาร ขึ้นเครื่องบิน ซี 130 กองทัพอากาศ เพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลที่วัดแก้วรังษี หมู่ 2 ต.ดอนใหม่ อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี โดยเครื่องบิน ซี 130 ออกจาก จ.นราธิวาส ไปลงที่สนามบินมณฑลทหารบกที่ 2 จ.อุบลราชธานี เรียบร้อยแล้วในวันเดียวกัน


 


           


 


ต่างประเทศ


โอบามา ให้คำมั่นจะใช้เงินที่เหลือไปที่การสร้างงาน


ไทยรัฐ - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวานนี้ (13 ม.ค.) ว่าที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้เดินหน้าเตรียมการสำคัญ เพื่อให้สามารถลงมือปฏิบัติการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯได้ ทันทีที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งในสัปดาห์หน้า พร้อมทั้งให้คำมั่นด้วยว่า จะไม่ใช้เงินอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ ของกองทุนช่วยชีวิตภาคการเงิน 700,000 ล้านดอลลาร์ ไปในทางที่เปล่าประโยชน์


 


ภายหลังที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงว่าใช้เงินครึ่งแรกของกองทุนนี้ หรือ 350,000 ล้านดอลลาร์ ไปโดยที่ไม่มีความโปร่งใสและไม่มีความรับผิดชอบต่อผู้เสียภาษีเท่าที่ควร โอบามาก็ได้ออกมาบอกในวันจันทร์ว่า จะปรับปรุงปฏิรูปการใช้เงินอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ ให้เป็นประโยชน์ และมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้ผ่านรัฐสภายอมอนุมัติเงินก้อนหลังนี้ออกมา


 


"คำมั่นของผมก็คือเราจะเปลี่ยนแปลงถึงขั้นรากฐานในการดำเนินการบาง อย่างในขั้นตอนต่อไปของแผนการนี้ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาพรวม และจะรวมไปถึงการ ปรับเปลี่ยนกฏระเบียบในวอลสตรีท รวมทั้งภาคการเงินและการธนาคารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งจะเน้นการใช้เงินที่เหลืออยู่ไปที่การสร้างงาน ให้ความช่วยเหลือแก่ธุรกิจรายเล็ก ๆ และช่วยเจ้าของบ้านที่กำลังถูกบังคับขายบ้านที่ติดจำนอง " โอบามา กล่าว


 


ด้านโฆษกทำเนียบขาว ดานา เพอริโนแถลงว่า เมื่อวันจันทร์ ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้แจ้งต่อรัฐสภาตามคำร้องขอของโอบามา เพื่อให้รัฐสภาอนุมัติเงินอีก 350,000 ล้านดอลลาร์ จากแผนการบรรเทาสินทรัพย์มีปัญหา (TARP) เพื่อให้โอบามานำมาใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อไป


 


ขณะที่พอล โวล์คเกอร์ อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ซึ่งเวลานี้เป็นที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจคนสำคัญของว่าที่ประธานาธิบดีโอบามา ได้ออกมาแสดงสุนทรพจน์ในนครนิวยอร์ก เมื่อวันจันทร์(12) ว่า "เขาไม่รู้ว่าความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจเที่ยวนี้จะยังคงอยู่ไปอีกนานเท่าใด แต่บรรดาผู้กำหนดนโยบาย ควรจะใช้โอกาสนี้สร้างระบบการเงินขึ้นใหม่บน รากฐานที่มีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ว่าวิกฤติทางเศรษฐกิจ จะเคยเกิดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เนื้อหาของวิกฤติครั้งนี้แตกต่างออกไป"


 


โวล์คเกอร์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจ และตลาดเงินตลาดทุนตอนนี้กำลังมีอาการ "เมาค้าง" จากแรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจครั้งรุนแร งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ วิกฤตครั้งนี้เริ่มต้นจากราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นต่อเนื่องใน ช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 และต่อด้วยฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่พองตัวถึงจุดสูงสุดในทศวรรษนี้และ ก็ระเบิดออกในที่สุด

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net