Skip to main content
sharethis

 
(แฟ้ม ภาพ) ทหารกัมพูชาเดินสำรวจตลาดใกล้ปราสาทพระวิหาร ซึ่งถูกเพลิงเผาวอดหลังการปะทะด้วยปืนและจรวดระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ที่ จ.พระวิหาร ห่างจากพนมเปญ เมืองหลวงกัมพูชา 543 กิโลเมตร ภาพถ่ายเมื่อ 4 เม.ย.52 (ที่มา: Reuters/Chor Sokunthea)
 
 
หนังสือการทูตของรัฐบาลกัมพูชาต่อรัฐบาลไทย (ที่มา: เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา)
 
กัมพูชาเรียกค่าเสียหาย 74 ล้าน หลังทหารไทยถล่มตลาดใกล้เขาพระวิหารวอด
 
เหตุการณ์ ปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาประปรายในพื้นที่พิพาทใกล้ปราสาทพระวิหาร หลายระลอก นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงบัดนี้ ทำให้ทหารของทั้งสองประเทศเสียชีวิตรวม 7 นาย
 
โดยการปะทะก่อนล่าสุดเมื่อ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 3 นาย และตลาดของชาวกัมพูชา ที่อยู่ใกล้กับปราสาทพระวิหาร ถูกทหารไทยยิงจรวดข้ามมาถล่มจนเกิดเพลิงไหม้
 
ทำให้เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ที่ผ่านมานายกอย กอง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา แถลงว่ารัฐบาลกัมพูชาได้ทำหนังสือบันทึกทางการทูตส่งถึงกระทรวงการต่าง ประเทศของไทย
 
“การโจมตีด้วยอาวุธหนังของทหารไทยเหนือดินแดนกัมพูชา ... ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากและทำให้ตลาดของกัมพูชาถูกเพลิงไหม้” หนังสือการทูตของกัมพูชาที่ส่งให้รัฐบาลไทยระบุ
 
ในหนังสือระบุสภาพความเสียหายประกอบด้วย ชาวกัมพูชาจำนวน 319 ครอบครัว ไม่สามารถประกอบอาชีพได้เนื่องจากแผงค้าในตลาดจำนวน 264 คูหา ถูกเพลิงไหม้จนได้รับความเสียหาย คิดเป็นค่าเสียหาย 2,150,500 เหรียญสหรัฐ หรือราว 74 ล้านบาท
 
“รัฐบาล กัมพูชาเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยให้แสดงความรับผิดชอบสูงสุดต่อความเสียหาย เหล่านี้ ซึ่งเกิดจากทหารไทย และชดเชยต่อความเสียหายเหล่านี้อย่างเหมาะสม” หนังสือการทูตระบุ
 
ทั้งนี้ ทหารของทั้งไทยและกัมพูชาได้ปิดจุดผ่านแดนบริเวณดังกล่าวมาตั้งแต่เดือน กรกฎาคมปีก่อน หลังจากที่องค์การยูเนสโกแห่งสหประชาชาติขึ้น ทะเบียนเป็นมรดกโลก และมีทหาร 4 นายเสียชีวิตจากการปะทะกันเมื่อเดือนตุลาคม ปีก่อน
 
ก่อนหน้านี้เมื่อ พ.ศ.2505 ศาลโลก ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา หลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบันมีการปะทะกันระหว่างทหารทั้งสองประเทศบริเวณดัง กล่าวบ่อยครั้ง และทั้งสองประเทศต่างอ้างสิทธิเหนือพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหารราว 5 ตารางกิโลเมตร โดยขณะนี้ยังไม่มีการปักปันเขตแดนอย่างเป็นทางการ
 
 
อธิบดีกรมสารนิเทศยันเป็นเขตไทย ชาวกัมพูชาอยู่โดยผิดกฎหมาย
 
ต่อเรื่องนี้ นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเมื่อวานนี้ (12 พ.ค.) ว่า จุดที่เกิดเหตุเป็นดินแดนไทย แต่มีชาวกัมพูชาเข้ามาอยู่ในพื้นที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไทยยอมผ่อนปรน เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ อันดีและมนุษยธรรม
 
ทั้งนี้ พื้นที่ที่มีการปะทะเป็นดินแดนไทย ซึ่งฝ่ายไทยจะดำเนินการตามกฎหมายรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณดังกล่าว ไปตามปกติ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะมีหนังสือแจ้งกับกัมพูชาถึงท่าทีของไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ยืนยันมาแล้วหลายครั้งว่าดินแดนดังกล่าว เป็นดินแดนของไทย
 
ผู้ สื่อข่าวถามว่าตกลงไทยจะจ่ายค่าเสียหายตามที่กัมพูชาเรียกร้องหรือไม่ นายธฤตส่ายหน้าเชิงปฏิเสธ ตอบว่าไทยกำลังประเมินถึงความเสียหายจากเหตุปะทะ ซึ่งต้องหยิบยกเรื่องนี้หารือกันต่อไป ส่วนจะแจ้งความเสียหายของไทยต่อกัมพูชาหรือไม่นั้นกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศกำลังดูวิธีการดำเนินการอยู่
 
 
อภิสิทธิ์ขอตรวจสอบก่อน ถ้าเกิดฝั่งไทยต้องใช้กระบวนการยุติธรรมไทย
 
ขณะที่วันนี้ (13 พ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าภายหลังกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาทำหนังสือ เรียกร้องให้ทางการไทยจ่ายค่าชดเชย จำนวน 74 ล้านบาท โดยอ้างทหารไทยโจมตีพื้นที่ใกล้เขาพระวิหารจนทำให้เกิดความเสียหายต่อ กัมพูชาว่า ทางฝ่ายความมั่นคงต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่าเป็นอย่างไร จากนั้นจะมาพิจารณาว่าสิทธิเป็นอย่างไร ซึ่งหมายความว่าถ้าเหตุเกิดในดินแดนไทยแล้วมีใครเสียหายก็ต้องมาว่ากันตาม กระบวนการยุติธรรมของไทย จึงต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน โดยฝ่ายความมั่นคงจะสรุปเรื่องมาให้กระทรวงการต่างประเทศ
 
ต่อ ข้อถามว่า นายกรัฐมนตรีมองว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรหรือไม่ที่กัมพูชาออกมาเรียกร้องค่า เสียหายในขณะนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คนทีได้รับผลกระทบอาจจะเรียกร้อง ซึ่งเราต้องดูข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร และแก้ไขไป
 
ต่อ ข้อถามว่า ไทยเราจะเรียกร้องค่าเสียหายบ้างหรือไม่ เพราะในช่วงเกิดเหตุทหารไทยก็เสียชีวิตเช่นกัน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องดูว่าความเสียหายเกิดขึ้นจากใคร อย่างไร ซึ่งต้องว่าไปตามกระบวนการ แต่ละคนก็มีสิทธิ์
 
ต่อ ข้อถามว่า จำเป็นต้องถึงขั้นมีการเจรจาระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเบื้องต้นทางกระทรวงการต่างประเทศคงต้องให้คำตอบไป
 
 
ที่มาของข่าว: แปลและเรียบเรียงจาก
Note to the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand, Ministry of Foreign Affairs and International Cooperation, Kingdom of Cambodia, May 11, 2009.
ที่มาของข่าวเพิ่มเติม: สำนักโฆษก สำนักนายกรัฐมนตรี
 
ข่าวก่อนหน้านี้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net