Skip to main content
sharethis

รายงานฉบับล่าสุดของอินเตอร์เนชั่นแนล ไครซิส กรุ๊ป “ภาคใต้ของไทย : ก้าวไปสู่การแก้ไขปัญหาด้วยการเมือง?" ซึ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมาชี้ว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาในภาคใต้ได้ ซึ่งความรุนแรงได้คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 3,900 คนในช่วงเกือบหกปีที่ผ่านมา  เกือบหนึ่งปีภายหลังจากที่นายอภิสิทธิ์ได้ประกาศเมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่าจะปรับนโยบายที่เคยเน้นความมั่นคงมาสู่เรื่องการพัฒนาและความยุติธรรม  สถานการณ์ในภาคใต้กลับมีความรุนแรงมากขึ้น  กฎหมายที่ลิดรอนสิทธิของประชาชนยังคงบังคับใช้อยู่  นอกจากนี้การติดอาวุธให้ประชาชนโดยรัฐก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนชาวพุทธกับมุสลิมตึงเครียดมากยิ่งขึ้น

“ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องมุ่งใช้แนวทางการเมืองอย่างจริงจัง” รุ่งรวี  เฉลิมศรีภิญโญรัช นักวิเคราะห์ของอินเตอร์เนชั่นแนล ไครซิสกรุ๊ปกล่าว “รัฐบาลจะต้องคิดในเรื่องรูปแบบการปกครองใหม่สำหรับภาคใต้และทบทวนนโยบายที่ปฏิเสธการเจรจากับขบวนการก่อความไม่สงบ”

ปัญหาสำคัญก็คือการขาดความตั้งใจทางการเมือง   ผู้สนับสนุนของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรที่ถูกโค่นล้มด้วยการรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 ได้เคลื่อนไหวท้าทายรัฐบาลผสมของนายอภิสิทธิ์ตลอดเวลา  รัฐบาลต้องพึ่งพากองทัพในการปราบปรามกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ความเกรงใจทหารได้เป็นอุปสรรคต่อความพยายามในการปรับนโยบายภาคใต้  กองทัพได้สกัดกั้นความพยายามที่จะทำให้ศูนย์บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต) เป็นอิสระจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ซึ่งคุมโดยทหาร  นอกจากนี้ กองทัพยังไม่เห็นด้วยต่อการที่รัฐบาลแสดงเจตจำนงที่จะยกเลิกกฎอัยการศึกและพระราชกำหนดฉุกเฉินซึ่งประกาศใช้อยู่ในจังหวัดปัตตานี ยะลาและนราธิวาสอีกด้วย

การที่รัฐบาลทุ่มเทงบประมาณเพื่อการพัฒนาลงไปในภาคใต้นั้น หากไม่มีมาตรการควบคุมดูแลที่มีประสิทธิภาพและการบริหารที่โปร่งใสก็อาจจะทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นได้   งบประมาณการพัฒนาจำนวนมากอาจจะกลายเป็นสิ่งที่บั่นทอนความพยายามในการหาทางออกจากความขัดแย้งเพราะว่าภาคใต้ได้กลายเป็นแหล่งผลประโยชน์อันมีมูลค่ามหาศาลสำหรับเจ้าหน้าที่บางคน ในช่วงเกือบหกปีที่ผ่านมาเม็ดเงินที่ลงไปในภาคใต้ตอนล่างมากกว่า 109,000 ล้านบาท  คอร์รัปชั่นจะทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลซึ่งในขณะนี้ก็ต้องต่อสู้อย่างยากลำบากเพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากชาวมลายูมุสลิมอยู่แล้ว  นอกจากนี้  โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้อาจไม่ได้แก้ปัญหาพื้นฐานคือเรื่องการเมืองที่ผลักดันให้เกิดขบวนการต่อต้านขึ้น

แม้ว่ารัฐบาลจะให้คำมั่นสัญญาว่าจะแก้ไขปัญหาความยุติธรรม  แต่กลับไม่มีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอดีต   นอกจากนั้นรัฐบาลยังคงสูญเสียความชอบธรรมมากขึ้นไปอีกเพราะไม่สามารถที่จะจับผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการสังหารโหดในมัสยิดอัล-ฟุรกอนซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตสิบคนได้   การสอบสวนของตำรวจชี้ว่าผู้กระทำการอาจเป็นชาวพุทธและบางคนก็อาจเป็นสมาชิกของกลุ่มอาสาสมัครรักษาหมู่บ้านที่รัฐจัดตั้งขึ้น  รัฐบาลยังเพิกเฉยต่อข้อเสนอในการจัดตั้งระบบการบริหารรูปแบบใหม่ๆ ในภาคใต้อีกด้วยโดยอ้างว่าการดำเนินการเช่นนั้นจะเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน

“มีข้อเสนอทางการเมืองหลายๆ ข้อไม่ได้ขัดต่อหลักการรัฐเดี่ยวของประเทศไทยซึ่งควรจะได้นำมาอภิปรายกันอย่างเปิดเผย” นายจิม  เดลา-จิอาโคม่า ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ปกล่าว “ถ้ารัฐบาลจริงจังกับการแก้ไขปัญหาในภาคใต้ รัฐบาลจำเป็นจะต้องเปลี่ยนทิศทางและแนวทางใหม่ควรจะต้องมีการพูดคุยกับตัวแทนของกลุ่มก่อความไม่สงบรวมอยู่ด้วย”

000

ภาคใต้ของไทย : ก้าวไปสู่การแก้ปัญหาด้วยการเมือง?


บทคัดย่อ

เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาได้ประกาศว่ารัฐบาลจะนำการกำกับนโยบายการแก้ปัญหาในภาคใต้คืนมาจากกองทัพ  แต่ว่าในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมารัฐบาลยังคงวุ่นวายอยู่กับการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างกลุ่มอำนาจเก่ากับผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกโค่นล้มด้วยการรัฐประหาร การแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้เดินหน้าไปน้อยมาก แม้ว่ารัฐบาลจะมีความริเริ่มใหม่ๆ แต่ว่าความอ่อนแอของรัฐบาลและความจำเป็นในการพึ่งพาทหารเพื่อหนุนการดำรงอยู่ในอำนาจทำให้กองทัพยังคงมีบทบาทสำคัญในการควบคุมนโยบายภาคใต้  กฎหมายที่มีความรุนแรงและก่อให้เกิดผลลบยังคงบังคับใช้เช่นเดิมและปราศจากกลไกตรวจสอบการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงที่มีประสิทธิภาพ  รัฐบาลยังคงมิได้แสวงหาทางเลือกในเชิงนโยบายอย่างจริงจัง    สถานการณ์มีแนวโน้มที่รุนแรงมากขึ้นภายหลังจากที่เหตุการณ์บรรเทาลงในปี 2551 ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องลงมือปฏิบัติตามสิ่งที่เคยประกาศไว้ หากต้องการจะมุ่งแก้ไขปัญหาความไม่สงบด้วยการเมืองอย่างแท้จริง

การเปิดยุทธการปิดล้อมตรวจค้นตั้งแต่ปี 2550 มีผลในการทำให้ความรุนแรงลดน้อยลงระดับหนึ่ง แม้ว่าในการดำเนินการนั้นจะก่อให้เกิดการปฏิบัติอย่างมิชอบต่อผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัวซึ่งนำไปสู่ความไม่พอใจในหมู่คนมลายูมุสลิม  แม้ว่าจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในปี 2552 จะยังคงน้อยกว่าช่วงก่อนก่อนเปิดยุทธการปิดล้อมตรวจค้น  แนวโน้มของเหตุการณ์ก็ไปในทิศทางที่รุนแรงขึ้น    ลักษณะของการก่อเหตุมีความโหดร้ายมากขึ้นและเทคนิคการกดระเบิดก็มีความก้าวหน้ามากขึ้น   การปฏิบัติการของขบวนการได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาสามารถต้านทานการปราบปรามทางการทหารได้   การสังหารชาวมุสลิมในมัสยิดอัลฟุรกอนในขณะที่กำลังละหมาดอยู่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิดความกังวลมากขึ้นเรื่องความตึงเครียดระหว่างชุมชนที่รุนแรงมากขึ้น รวมถึงผลเสียของการติดอาวุธประชาชนโดยรัฐบาล   การสอบสวนสืบสวนของตำรวจได้ระบุว่าผู้ต้องสงสัยว่ากระทำการสังหารโหดในมัสยิดนั้นเป็นคนพุทธ  โดยทำไปเพื่อแก้แค้นการลอบโจมตีคนพุทธที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นโดยกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ   ต่างประเทศได้ให้ความสนใจต่อเหตุการณ์สังหารในมัสยิดครั้งนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม

การดำเนินการเพื่อเพิ่มบทบาทพลเรือนในการปฏิบัติการในภาคใต้คืบหน้าไปน้อยมาก รัฐบาลได้ประกาศว่าเพิ่มอำนาจศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ด้วยการออกกฎหมายเพื่อให้ศอ.บต.สามารถบริหารงานอย่างเป็นเอกเทศจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ซึ่งคุมโดยทหาร  แต่ว่ากองทัพไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้   รวมทั้งไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้อนุมัติการต่ออายุพรก.ฉุกเฉินไปแล้วสี่ครั้งซึ่งจะต้องมีการต่ออายุทุกๆ สามเดือน การต่ออายุทุกครั้งก็มีแรงกดดันมาจากทหาร   พรก.ฉุกเฉินนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยโดยยังไม่ต้องตั้งข้อหาได้ 30 วัน นอกจากนี้ยังมีการยกเว้นการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ด้วย   นอกเหนือจากพรก.ฉุกเฉินแล้ว  ยังมีการบังคับใช้กฎอัยการศึกในจังหวัดปัตตานี ยะลาและนราธิวาสอีกด้วย  เกือบหกปีที่ผ่านมายังไม่มีการดำเนินคดีใดๆ กับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน   การที่เหตุการณ์การเสียชิวิตของอิหม่ามยะผา กาเซ็งในเดือนมีนาคม 2551 ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะมีผลทำให้การซ้อมทรมานลดน้อยลง แต่ว่าก็ยังคงไม่หมดไป   ความล้มเหลวในการนำเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดมาลงโทษได้ไม่เพียงเป็นความอยุติธรรมต่อคนมลายูมุสลิมเท่านั้น  แต่ยังเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการดึงดูดคนใหม่ๆ ให้เข้าร่วมขบวนการอีกด้วย

งบประมาณการพัฒนาจำนวนมากที่รัฐบาลได้จัดสรรสำหรับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ด้วยแนวทางการเมืองนั้นอาจก่อให้เกิดผลเชิงลบได้  โดยอาจส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมความไม่มั่นคง (industry of insecurity) ผลประโยชน์ต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่ได้รับอาจส่งผลให้เกิดความคิดที่ไม่อยากจะทำให้ความรุนแรงสงบลง  รัฐบาลควรจะมุ่งที่จะทำให้การดำเนินการโครงการเหล่านี้เป็นไปด้วยความโปร่งใสและเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด   การคอร์รัปชั่นจะส่งผลต่อความชอบธรรมของรัฐบาลซึ่งต้องต่อสู้อย่างหนักอยู่แล้วเพื่อสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาต่อคนมลายูมุสลิม   นอกจากนี้  โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้ยังอาจจะไม่มีผลต่อการแก้ปัญหาความไม่สงบมากนัก  เพราะการต่อต้านที่เกิดขึ้นนั้นมาจากความอยุติธรรมและความคับข้องใจในทางการเมือง เช่น การไม่ยอมรับในเรื่องภาษาและชาติพันธุ์

รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ถูกท้าทายโดยกลุ่มผู้สนับสนุนของอดีตนายกฯ ทักษิณมาโดยตลอดและรัฐบาลต้องพึ่งพิงทหารในการปราบปรามกลุ่มต่อต้านและรักษาอำนาจทางการเมือง    ความจำเป็นนี้ส่งผลให้รัฐบาลไม่กล้าที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายภาคใต้ เช่น การยกเลิกกฎหมายที่รุนแรงหรือการเพิ่มอำนาจให้กับฝ่ายพลเรือน   นอกจากนี้  รัฐบาลยังขาดความมุ่งมั่นที่จะริเริ่มนโยบายใหม่ๆ ทางการเมือง เช่น การแสวงหารูปแบบการปกครองใหม่ในภาคใต้   รัฐบาลควรที่จะทบทวนนโยบายที่ปฏิเสธการเจรจากับขบวนการผู้ก่อความไม่สงบ รวมถึงควรจะศึกษาความเป็นไปได้ถึงรูปแบบการปกครองใหม่ๆ สำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้   เวทีการพูดคุยอย่างสันตินั้นมีอยู่แล้ว ถ้าหากว่ารัฐบาลมีความจริงจังที่จะพูดคุยกับตัวแทนของขบวนการ   ได้มีการพิสูจน์ให้เห็นในหลายๆ พื้นที่ในโลกที่มีความขัดแย้งแล้วว่าการเจรจานั้นเป็นวิถีทางที่มีประสิทธิภาพในการยุติความรุนแรงและไม่จำเป็นว่าจะนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดนอย่างที่รัฐบาลหวาดกลัว

ข้อเสนอแนะสำหรับรัฐบาลไทย
1. ยกเลิกพรก.ฉุกเฉินและกฎอัยการศึกในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และใช้พระราชกำหนดความมั่นคงแทน  รวมทั้งดำเนินการเสริมสร้างกลไกการตรวจสอบการใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. วางข้อกำหนดอย่างเคร่งครัดในการดำเนินการตามมาตรา 21 ของพรบ.ความมั่นคงซึ่งอนุญาตให้ กอ.รมน. มีอำนาจยุติการดำเนินคดีโดยแลกเปลี่ยนกับการเข้า “อบรม” หกเดือน  ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้ถูกกล่าวหาจะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมและมีสิทธิในการปรึกษาหารือกับผู้ที่เขาไว้วางใจเพื่อป้องกันมิให้เกิดการกดดันให้สารภาพผิดต่อความผิดที่มิได้ก่อ
3. ดำเนินการพูดคุยกับตัวแทนของขบวนการอย่างจริงจังและแสวงหาทางออกทางการเมืองที่ไม่ขัดต่อหลักความเป็นรัฐเดี่ยวของประเทศไทย  เช่น  การจัดตั้งโครงสร้างการปกครองแบบพิเศษสำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้
4. ยกเลิกกองกำลังประชาชนชาวพุทธที่รัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อ “ป้องกันตนเอง” และกลุ่มติดอาวุธที่จัดตั้งอย่างไม่เป็นทางการซึ่งมีการควบคุมเพียงหลวมๆ เพราะปฏิบัติการของกลุ่มเหล่านี้มีส่วนทำให้ความตึงเครียดระหว่างชุมชนเพิ่มมากขึ้น
5. ควบคุมการแจกจ่ายอาวุธปืนสำหรับกลุ่มติดอาวุธที่รัฐจัดตั้งขึ้นและการครอบครองอาวุธส่วนตัวของประชาชน  การกำหนดเกณฑ์การให้ใบอนุญาต  รวมทั้งการปราบปรามการถือครองอาวุธปืนสงครามโดยประชาชน 
6. เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการวางแผนโครงการพัฒนาเพื่อให้ตรงกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง รวมทั้งเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณสำหรับการพัฒนา
7. ดำเนินการเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ได้กระทำการละเมิดสิทธิได้รับการลงโทษ  รวมทั้งหยุดการซ้อมทรมานและการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้ต้องสงสัย
8. เร่งรัดการสอบสวนและการดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยในคดีการสังหารในมัสยิดอัรฟุรกอนเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น

อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็มได้ที่ www.crisisgroup.org

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net