ทนายพูนสุขจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดสถิติที่ถูกรัฐดำเนินคดีมีเพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่มีการชุมนุมครั้งแรกเมื่อเดือน ก.ค. 63 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งภาครัฐมีการใช้กฎหมายมาตราต่างๆ ต่อผู้ชุมนุมอย่างไม่เป็นธรรม
พูนสุข พูนสุขเจริญ ภาพจาก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
7 เม.ย.2564 พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงสถานการณ์ที่รัฐใช้กฎหมายต่างๆ ในการละเมิดสิทธิมุนษยชน ในช่วงเสวนาการแถลงข่าวเปิดตัวรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกประจำปี 2563/64 รวบรวมสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนตลอดปี 2563 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
พูนสุขกล่าวว่า ที่ผ่านมาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการใช้กฎหมายซ้อนทับกันหลายฉบับมาก สะท้อนความแปลกประหลาดในการบังคับใช้กฎหมายของรัฐ ในขณะที่ส่วนกลาง ตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติทำรัฐประหารเป็นต้นมา คสช.ทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศกลายเป็นสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นได้จากการนำมาปรับทัศนคติหรือการเชิญตัว ตลอด 6 ปี 10 เดือนเราอยู่ภายใต้กฎหมายพิเศษมาตลอด ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องปกติแต่เราบังคับใช้กฎหมายพิเศษเหล่านี้เสมือนเป็นปกติ
หลังจากหนึ่งปีที่รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตั้งแต่ 25 มี.ค. 2563 ทำให้ไม่มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ต่อมามีการชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและมีการเคลื่อนไหวทางการเมือง รัฐบาลจึงพยายามกลับไปใช้เกณฑ์กฎหมายชุมนุมซึ่งเป็นกฎหมายลำดับรอง
พูนสุขชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ตามมาจากการใช้กฎหมายของรัฐคือ เมื่อมีการชุมนุมเกิดขึ้นก็มีการดำเนินคดีด้วย พ.ร.บ.ชุมนุมฯ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไปพร้อมๆ กัน หลังจากนั้นจึงมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงแทรกเข้ามาอีก ทำให้พื้นที่กรุงเทพฯ มีทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินโควิดและ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในสถานการณ์ที่มีความร้ายแรงประกาศใช้ไปพร้อมกัน โดยเป็นการบังคับใช้กฎหมายที่ลักลั่นและสร้างความสับสนพอสมควร
สรุปแล้วคุณประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมโรค หรือใช้เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง
พูนสุขวิจารณ์การใช้กฎหมายของรัฐโดยอ้างอิงจากสถิติคดีที่เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียง 1 ปี ที่ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินโควิด และ พ.ร.บ.ชุมนุม มีผู้ที่ชุมนุมถูกดำเนินคดี จำนวน 373 ราย 126 คดี
นอกจากรัฐบาลจะใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โควิด และ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ แล้ว ยังใช้กฎหมายอีกหลายมาตราที่รัฐประกาศใช้ต่อผู้ชุมนุม จากยอดเฉพาะเดือนมีนาคม 64 พูนสุขเผยว่า เพียงเดือนเดียวมีผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองเพิ่มเกือบ 200 ราย
พูนสูขกล่าวว่า ตั้งแต่ ก.ค.63 จนถึงปลายเดือน มี.ค.64 มีผู้ถูกดำเนินคดีไปแล้วจำนวน 581 ราย รวมทั้งหมด 268 คดี หมายความว่า 1 คนถูกดำเนินคดีมากว่า 1 คดี อย่างเช่น เพนกวิน หรือ พริษฐ์ ชิวารักษ์ นักกิจกรรมทางการเมือง นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพียงคนเดียวก็มีถึง 20 คดี ทำให้เห็นความพยายามอย่างชัดเจนของรัฐบาลในการใช้กฎหมายมาดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมทางการเมือง จากคดีที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายต่างๆ ในการดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมแบ่งออกเป็น
ข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีจำนวน 457 ราย 136 คดี
รองลงมาคือ ชุมนุมมั่วสุมตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไปตาม มาตรา 215 มีจำนวน 171 ราย 35 คดี
ข้อหา ยุยงปลุกปั่น ตามมาตราา 116 มีจำนวน 103 ราย 26 คดี
ข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามมาตรา 112 มีจำนวน 82 ราย 74 คดี
มีผู้ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาตาม มาตราต่างๆ ใน พ.ร.บ.ชุมนุมฯ จำนวน 87 ราย 62 คดี
ข้อหาตามมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จำนวนผู้ถูกดำเนินคดีจำนวน 35 ราย 40 คดี
ทนายความยังกล่าวต่ออีกว่า มีอีกหนึ่งฐานความผิดที่รัฐนำมาใช้กับผู้ชุมนุม คือ ประทุษร้ายต่อเสรีภาพพระราชินี หรือรัชทายาท ตามมาตรา 110 จากกรณีขบวนเสด็จเมื่อวันที่ 14 ต.ค.2563 และมีการฟ้องคดีกันแล้ว จำนวน 5 ราย หลังจากเหตุการณ์นั้นรัฐก็ได้ประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงตามมาในช่วงวันที่ 15 - 25 ต.ค.
การช่วยเหลือผู้ที่ถูกดำเนินคดีต้องเจออุปสรรคมาก
พูนสุขกล่าวว่า ในการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ถูกดำเนินคดีมีความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น เพราะว่าการที่ควบคุมตัวผู้ที่ถูกกล่าวหาในช่วงวันที่ 15 - 25 ต.ค.มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง จริง ๆ กฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวบุคคลที่ยังไม่ถูกตั้งข้อกล่าวหาได้ 30 วัน แต่ว่าการควบคุมตัวในช่วงที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ศาลไม่เคยออกหมายควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง ซึ่งก็มีเจ้าหน้าที่ไปขอแต่ศาลไม่ออกหมายให้ ดังนั้นการควบคุมตัวบุคคลเมื่อมีการจับกุมตามหลักคือ ต้องนำตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวไปพบพนักงานสอบสวนเท่านั้น ซึ่งมีประมาณ 200 กว่ารายที่ถูกนำตัวไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ กองบังคับการตำรวจตระเวณชายแดน ภาค 1 แต่ตามหลักประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดไว้ชัดเจนว่า เมื่อมีการจับกุมและจะต้องนำตัวผู้ที่ถูกจับกุมไปหาพนักงานสอบสวนตามสถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ
‘อย่างสถานการณ์ล่าสุด เจ้าหน้าที่รัฐเข้าสลายการชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้า กรณีที่ประชาชนออกมาชุมนุมที่บริเวณข้างทำเนียบรัฐบาลเช้าตรู่วันที่ 28 มี.ค. โดนสลายการชุมนุม โดยที่ผู้ชุมนุมนอนอยู่ข้างทำเนียบยังไม่ตื่นและก็ให้เวลาเก็บของเพียง 3 นาทีเท่านั้น ซึ่ง 3 นาที ไม่ใช่ขั้นตอนการสลายการชุมนุม การให้ระยะเวลาดังกล่าว ทำให้ไม่ได้สัดส่วน และจริงๆ มันก็ไม่ได้มีเหตุให้มีการสลายการชุมนุม เพราะผู้ชุมนุมไม่ได้สร้างเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงแต่อย่างใด ถึงแม้จะมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งเข้าข่ายทำผิดกฎหมาย รัฐควรจัดการกับเฉพาะบุคคลนั้น ไม่ควรนำมาซึ่งการเหมารวมทั้งหมด’ ทนายความของศูนย์ทนายฯ กล่าว
การที่ตำรวจนำตัวผู้ถูกจับกุมไปควบคุมตัวไว้ที่ ตชด. โดยที่กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้ พูนสุขเห็นว่า ทำให้ผู้ที่ถูกจับกุมสุ่มเสี่ยงถูกอุ้มหาย หรือถูกนำไปกระทำอย่างอื่น ซึ่งตามสิทธิผู้ของผู้ถูกจับกุมยังต้องมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรมและเข้าถึงทนายความได้ แต่ปัจจุบันตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาไปที่ ตชด. ทำให้ทางทนายความเข้าถึงผู้ที่ถูกจับกุมได้ยากลำบาก
สำหรับกรณีที่เจ้าหน้าที่มีการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถูกดำเนินคดีถูกเจ้าหน้าที่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง สามารถไปฟ้องศาลปกครองได้และเป็นการลดภาระของประชาชน เพราะว่าศาลปกครองถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบอำนาจรัฐโดยเฉพาะ คือหนึ่งมีกระบวนการไต่สวน สองกรณีที่ผู้ดำเนินคดีไม่สามารถเข้าถึงพยานหลักฐาน ศาลสามารถเรียกพยานหลักฐานเข้ามาพิจารณาได้ ซึ่งกระบวนการศาลปกครองมีความยืดหยุ่นกว่าการไปฟ้องศาลอาญาหรือศาลแพ่งหรือที่เราเรียกว่าศาลยุติธรรม
พูนสุขยกตัวอย่าง 3 กรณีที่ทางศูนย์ทนายความฯ ได้พยายามช่วยเหลือ กรณีแรกภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนฟ้องเพิกถอนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง แต่ปรากฎว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีนัดแต่จะนัดอีกทีในช่วงเดือนมิถุนายน ซึ่งกระบวนการมีความล่าช้าในการดำเนินการ กรณีที่สองศรายุท ตั้งประเสริฐ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวประชาไทที่ถูกยิงด้วยกระสุนยางจากการทำข่าวชุมนุมของ REDEM ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผู้เสียหายพร้อมทนายความยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อศาลแพ่งแล้วศาลก็ยกฟ้องภายในวันที่ฟ้องเลย โดยศาลอ้างว่าบังคับไม่ได้ตามคำขอ
กรณีสุดท้ายคือ ในช่วงปลายมีนาคมที่ผ่านมาทนายความได้ฟ้องคดีละเมิดที่ศาลแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายจากการสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภา ที่เกียกกายเมื่อวันที่ 17 พ.ย.2563 คดีนี้ยังรอศาลนัดพิจารณาคดีอยู่ กรณีเหล่านี้ทางทนายความได้พยายามตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยายามให้การช่วยเหลือปกป้องสิทธิแก่ผู้เสียหายในทั้งสามกรณี
สำหรับ ทิพากร เส้นเกษ ผู้รายงานข่าวชิ้นนี้ เป็นนักศึกษา นิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปัจจุบันฝึกงานกับกองบรรณาธิการข่าวประชาไท
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)