สภาการหนังสือพิมพ์ฯ จับมือสภาทนายความเรียกร้อง "ทักษิณ" ลาออก เสนอทำเป็นมติ "ราชประชาสมาสัย" ทูลเกล้าฯ ในหลวง ปลุกใช้ ม.7 ฝ่าวิกฤติ
วันที่ 18 มี.ค. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นางบัญญัติ ทัศนียะเวช ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ พร้อมด้วยกรรมการและที่ปรึกษาของสภาวิชาชีพทั้ง 2 แห่ง ร่วมกันแถลงข่าวด่วน เรื่อง วิกฤติศรัทธาในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นพ้องกันว่า ขณะนี้ประเทศไทยประสบกับวิกฤติศรัทธาในตัวรักษาการนายกรัฐมนตรี หนทางแก้ไขปัญหาทางกฎหมายล้วนตีบตันยากจะสำเร็จลงได้ เนื่องจากมีการควบคุมและครอบงำจากตัวรักษาการนายกฯ ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมจนล่อแหลมจะเกิดวิกฤติร้ายแรง สถานการณ์เข้าสู่วิกฤตการณ์จนยากที่ประเทศชาติจะดำเนินการโดยปกติต่อไปได้
นางบัญญัติ ทัศนียะเวช ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวว่า ทั้ง 2 สภาวิชาชีพขอเชิญชวนให้ทุกองค์กร กลุ่มบุคคล คณะบุคคล และประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้ร่วมกันสร้างพลังแห่งศรัทธาเป็นมติของ "ราชประชาสมาสัย" เพื่อกราบบังคมทูลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดพิจารณาด้วยพระเดชานุภาพและความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระองค์ท่าน เพื่อให้งานบ้านเมืองได้เป็นไปโดยปกติสุขและรวดเร็ว
แถลงการณ์ดังกล่าวมีเนื้อหาโดยสรุปได้ว่า วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นเวลานี้นั้น รักษาการนายกรัฐมนตรีไม่เพียงจะหมดความชอบธรรมในฐานะผู้นำเท่านั้น ยังได้กระทำการหลายเรื่องเป็นความผิด อาทิ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 124 ที่เป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ในฐานะเป็นประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรณีเปิดให้รัฐบาลต่างชาติล่วงรู้ข้อมูลสถานีโทรคมนาคมภาคพื้นดิน วงโคจรดาวเทียม ซึ่งถือเป็นความลับทางราชการ
รักษาการนายกรัฐมนตรีได้กระทำผิดฐานเป็นผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนให้นายพานทองแท้ ชินวัตร เข้าข่ายกระทำความผิดในการซื้อขายหุ้นของคนในครอบครัว และเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราในกรณีส่งเงินออกไปลงทุนตั้งบริษัทธุรกิจบนเกาะบริติชเวอร์จิน ไอส์แลนด์ เป็นต้น
การกระทำที่เข้าข่ายความผิดอาญาเพียงเท่าที่ระบุข้างต้น ก็ทำให้ขาดความเชื่อถือ จึงไม่อาจยอมให้เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี เพื่ออ้างกฎหมายหรือกติกา เพื่อให้ตนเองทำหน้าที่ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรีอีกต่อไปได้ เพราะยังคงมีอำนาจในทางการบริหารอย่างมาก จนเกิดภาวะผลประโยชน์ขัดกันอย่างชัดแจ้ง จนเกิดความตีบตันในการจะดำเนินการตามกฎหมายทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนก็ไม่คืบหน้าเพราะรักษาการนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (กตร.) โดยตำแหน่ง การไต่สวนความรับผิดของรักษาการนายกรัฐมนตรีโดยคณะกรรมาธิการการยุติธรรมของรัฐสภาก็เกิดขึ้นไม่ได้ วุฒิสภาก็ไม่อาจทำอะไรได้ การดำเนินการทางศาลปกครองก็ทำไม่ได้ เพราะไม่ใช่กรณีเป็นคำสั่งทางปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยไม่รับพิจารณา เป็นต้น ส่งผลให้ไม่อาจตรวจสอบความผิดของที่ต้องเสียงบประมาณกว่า 2 พันล้านบาทของรักษาการนายกรัฐมนตรีได้
ยิ่งไปกว่านั้น รักษาการนายกรัฐมนตรียังผลักดันสู่เป้าหมายการเลือกตั้ง ทั้งที่ปรากฏชัดว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยปัญหา และไม่ได้รับความเชื่อถือ หลังการเลือกตั้งก็จะประสบปัญหากรณีพิพาทกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ออกมาเรียกร้องความโปร่งใสและเป็นธรรมในการบริหารอีกต่อไป ปัญหาดังกล่าวสร้างความแตกแยกทางสังคมอย่างรุนแรง เศรษฐกิจของประเทศถดถอยอย่างมาก
สภาวิชาชีพทั้ง 2 ข้างต้นจึงขอเรียกร้องให้ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าร่วมกันแสดงสร้างพลังแห่งศรัทธาเป็นมติของประชาสมาสัย เพื่อฝ่าวิกฤติของบ้านเมืองในครั้งนี้
จากนั้นนาย
ด้านนาย
.............................................
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ 19 มีนาคม 2549
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)