ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์
หลังจากการกระทำรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) ในวันที่ 19 กันยายน 2549 มีหลายเสียงทั้งจากนักวิชาการ และประชาชนที่เห็นว่าการกระทำนี้เป็นไปโดยสันติ เพราะปราศจากการสูญเสียเลือดเนื้อ ประเด็นนี้น่าสนใจมากว่าในเมื่อไม่มีการเสียเลือดเนื้อเช่นนี้ เราจะสามารถเรียกการยึดอำนาจครั้งนี้ว่าเป็นการกระทำโดยสันติวิธีได้หรือไม่ ?
สันติวิธีนั้นเป็นวิธีการที่ไม่ได้มีการจำกัดตายตัวว่าอะไรคือสันติวิธี อะไรไม่ใช่สันติวิธี สันติวิธีมีความหลากหลายอย่างมาก เช่น บางคนคิดว่าการใช้คำพูดด่าคู่กรณีนั้นเป็นสันติวิธี เพราะไม่มีการใช้ความรุนแรงทางกายแต่อย่างใด บางกลุ่มเชื่อว่าการใช้กำลังทำลายทรัพย์สินของคู่กรณี โดยเฉพาะอาวุธที่ใช้ทำร้ายประชาชนเป็นสันติวิธี เพราะนี่ไม่ใช่การทำร้ายมนุษย์ หากแต่เป็นการยับยั้งการทำร้ายผู้อื่น ขณะที่อีกฝ่ายก็เชื่อว่าสันติวิธี ต้องเป็นไปทั้งกาย วาจา และใจ สันติวิธีเปิดกว้างสำหรับความคิดเห็นที่หลากหลาย เพราะเชื่อว่านี่เป็นวิธีที่นำมาซึ่งสันติในสังคม
ในบทสัมภาษณ์นี้ นารี เจริญผลพิริยะ นักฝึกอบรมสันติวิธี ได้ให้ความคิดเห็นต่อคำถามที่ว่าการยึดอำนาจครั้งนี้เป็นสันติวิธีหรือไม่ และให้มุมมองด้านสันติวิธีต่อคำถามอื่น ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม
คุณนารีคิดว่าการยึดอำนาจครั้งนี้ที่ถูกขนานนามว่าเป็น "การปฏิวัติที่สันติ" "การปฏิวัติสีชมพู" หรือ "การปฏิวัติที่ปราศจากเสียงปืน" เป็นสันติวิธีหรือไม่
นารี : ขอเรียกว่ารัฐประหารน่าจะตรงมากกว่าคำว่าปฏิวัติ หากพูดถึงการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขครั้งนี้ ลองนึกย้อนกลับไปถึงกรณีก๊อดส์อาร์มี่บุกยึดโรงพยาบาลราชบุรี เมื่อ 24 มกราคม 2543 เป้าหมายต้องการนำหมอและยาไปช่วยชีวิตเพื่อนที่บาดเจ็บจากการปะทะที่แนวชายแดน โดยใช้วิธีการนำอาวุธสงครามเข้ามาบังคับหมอในโรงพยาบาล ผู้ก่อการทั้งหมดไม่มีโอกาสใช้อาวุธ เพราะถูกทางการยิงเสียชีวิตทั้งหมด หรือไม่ได้ใช้อาวุธ เพราะคนในโรงพยาบาลบอกว่าพวกเขาไม่ได้แสดงอาการจะทำร้ายใคร เป้าหมายของคนกลุ่มนี้เป็นสันติ เพื่อช่วยชีวิตคน และแม้ถืออาวุธมาแต่ไม่ได้ใช้ทำร้ายใคร แต่วิธีการที่คนกลุ่มนี้ใช้ก็ไม่อาจเรียกว่าสันติวิธี การถืออาวุธบังคับให้ผู้อื่นทำตามที่ตนต้องการ แม้บังคับให้ทำความดี ก็ยังต้องถือว่าใช้ความรุนแรง
เช่นกัน การรัฐประหารครั้งนี้มีเป้าหมายยุติความขัดแย้ง แต่วิธีการมีรูปแบบที่รุนแรง ไม่งั้นจะเอาปืนเอารถถังออกมาทำไม หรือก่อนออกจากกองทัพนั้นทหารได้ปฏิญาณหรือไม่ว่าจะไม่ยิง การรัฐประหารครั้งนี้เราพูดว่าเป็นการใช้สันติวิธีไม่ได้ เพราะอาวุธที่ใช้ส่อเจตนา แม้เป้าหมายจะเป็นสันติ แม้ความรุนแรงจะไม่เกิดขึ้น แต่นี่เป็นเพราะคู่กรณีไม่ได้ต่อต้าน เหมือนกับคุณใส่นวมชกมวยเตรียมจะไปชกคู่ต่อสู้ แต่คู่ต่อสู้คุณกลับนิ่งเฉย ถ้าคุณทักษิณลุกขึ้นสู้ขึ้นมา ทหารก็ต้องใช้ความรุนแรงกลับอยู่แล้ว หรือถ้าชาวบ้านต่อต้านขึ้นมาคุณจะยิงหรือไม่ ?
ในอีกแง่หนึ่งการรวบอำนาจนั้นเป็นความรุนแรง ซึ่งตรงข้ามกับการกระจายอำนาจซึ่งเป็นสันติวิธี การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตัดสินชะตากรรมของคนทั้งประเทศ การบังคับเอาอำนาจ การควบคุมสิทธิการแสดงความคิดเห็น เป็นความรุนแรงอยู่แล้ว เหมือนกับการตัดสินใจสร้างโครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่ไม่ได้ให้ประชาชนมีส่วนร่วมก็เป็นความรุนแรง
มีเสียงบอกว่าการปฏิวัตินี้เป็นทางออกสุดท้าย ประชาชนไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
นารี : ที่เราอยากให้สู้โดยสันติต่อก็เพื่อเปลี่ยนทัศนคติของคน ในเวลาที่มีความขัดแย้ง คนก็อยากจะให้มีการแก้ปัญหาโดยเร็ว จึงอยากกลับไปใช้วิธีที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ถ้าใช้สันติวิธีให้การศึกษาให้ข้อเท็จจริงประชาชน ซึ่งเราก็เดินหน้าเปลี่ยนความคิดคนมาได้มากแล้วในเรื่องระบอบทักษิณ มีคนที่เห็นด้วยมากขึ้นน่าจะถึง 50 ต่อ 50 แล้ว ถ้าเราทำให้ประชาชนเรียนรู้มากขึ้น เมื่อประชาชนเปลี่ยน ประชาชนจะเป็นผู้เปลี่ยนผู้นำเอง แต่การเปลี่ยนแปลงแบบเบ็ดเสร็จนั้น ประชาชนที่เชียร์ทักษิณอีก 50 % ก็ยังคงชื่นชมระบอบทักษิณ ระบอบทักษิณไม่ได้ไปพร้อมกับอำนาจของคุณทักษิณ ระบอบทักษิณยังคงอยู่ในใจของประชาชนเหล่านี้ เมื่อมีผู้นำลักษณะเช่นเดิมเข้ามาอีก ระบอบทักษิณก็จะได้รับการสนับสนุนกลับขึ้นมาอีกครั้ง แต่การเปลี่ยนแปลงแบบสันติจะทำให้ประชาชนมีความรู้สามารถตรวจสอบผู้นำที่อยุติธรรม และใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน (ประชาธิปไตย) มันเป็นการเปลี่ยนโดยระบบ แม้เราจะมีผู้นำที่ไม่ดีเข้ามา ระบบแบบนี้จะทำให้ผู้นำนั้นอยู่ไม่ได้ เพราะประชาชนเท่าทันผู้นำและรู้จักใช้อำนาจของตน
บางคนคิดว่า การปฏิวัติจำเป็นเพราะหากเราใช้วิธีสันติต่อไปมันจะลงเอยด้วยการนองเลือด เพราะทักษิณพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงแล้ว
นารี : หากการชุมนุมกำลังจะถูกแทรกแซงด้วยความรุนแรง เช่น มีข่าวการลอบทำร้ายผู้ชุมนุมด้วยระเบิด หรือยกอีกพวกมาตี ซึ่งอาจเกิดการนองเลือด ผู้นำการชุมนุมก็สามารถหยุดพักหรือยกเลิกการชุมนุม สามารถหยุดการนองเลือดได้ไม่ยากเลย แล้วสร้างสรรค์วิธีการอื่นมาทดแทน จะใช้สัญลักษณ์สีแสดงความเห็นต่างหรือจะขึ้นป้ายหน้าบ้านตัวเอง เมืองทั้งเมืองก็สามารถกลายเป็นที่ชุมนุมแสดงความเห็นซึ่งตัวคนไม่ต้องออกมารวมตัวกันจำนวนมากซึ่งดูแลความปลอดภัยได้ยาก แต่ถ้าบ้านที่ขึ้นป้ายถูกวางระเบิด ผู้ปกครองก็จะหมดความชอบธรรมในการปกครองประเทศ เพราะไม่สามารถรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชน หรือใช้การไม่ร่วมมือทางเศรษฐกิจ เช่น การถอนเงินออกจากแบงค์ ไม่ซื้อไม่ขายกับกิจการของรัฐบาลต่าง ๆ ไม่ซื้อลอตเตอรี่ ดังนั้น รัฐประหารจึงไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
ขณะนี้กำลังมีกระแสแบ่งเป็นสองขั้วว่า ถ้าเราไม่อยู่ข้างฝ่ายรัฐประหาร เราก็ต้องอยู่ข้างทักษิณ เรามีทางเลือกอื่นที่ถือว่าเป็นสันติวิธีอีกไหม
นารี : การที่ไม่เอาระบอบทักษิณนั้นเป็นเป้าหมาย ซึ่งอาจมีหลากหลายวิธีการ ถ้าเรากล่าวหาว่าระบอบทักษิณเป็นเผด็จการแล้วเราเห็นด้วยกับการรัฐประหารนั้น เท่ากับการล้มเผด็จการด้วยเผด็จการ แต่ถ้าเราไม่เอาระบอบทักษิณ แล้วเราล้มระบอบทักษิณด้วยสันติวิธี นั่นเราจะได้ประชาธิปไตย
การรัฐประหารทำให้เรากลับไปนิยมความรุนแรงอีกครั้ง เหมือนยุคที่คนชอบถามหาคนอย่างจอมพลสฤษดิ์เมื่อมีปัญหา สังคมเราต้องการประสบการณ์การเปลี่ยนผ่านไปด้วยกัน ถ้าเราผ่านประสบการณ์การใช้สันติวิธีร่วมกัน อย่างเราเห็นร่วมกันว่าการชุมนุมบนราชดำเนินเราทำได้แล้วไม่มีความรุนแรง เราก็จะเห็นว่ามันเป็นไปได้ แต่เมื่อเราเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นต้องใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ดังการรัฐประหารที่ผ่านมาในอดีต เราจึงได้แต่เรียนรู้ระบอบเผด็จการเท่านั้น การศึกษาประชาธิปไตยจริง ๆ จึงกระท่อนกระแท่นมาก เมื่อเรามีรากฐานเช่นนี้เราจึงตอบรับการยึดอำนาจโดยกำลังทหารได้โดยง่าย ดังจะเห็นได้ว่าเราสามารถยอมรับการรัฐประหารในระบอบประชาธิปไตยได้ แม้เราจะมีผู้นำรัฐประหารที่สังคมยอมรับว่าเป็นคนดี แต่ระบบยังเป็นเหมือนเดิม จิตสำนึกของประชาชนนิยมเผด็จการโดยคนดี ที่ไม่มีหลักประกันและไม่มีสิทธิเลือก
ในระบบเผด็จการนั้นการรวบอำนาจไม่ตอบสนองต่อการแก้ปัญหาในปัจจุบัน เพราะสังคมขยายจำนวนประชากรมากขึ้น ความหลากหลายของผู้คนและปัญหามีมากขึ้น ถ้ามีคนที่มีอำนาจการตัดสินใจจำนวนน้อย จะลดความสามารถในการแก้ปัญหาลง แต่ถ้ากระจายอำนาจ ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา จะทำให้มีสติปัญญารวมกันมากขึ้น การแก้ปัญหาก็จะมีประสิทธิภาพ
แต่ คปค. ประกาศว่าจะทำหน้าที่เพียงสองอาทิตย์เท่านั้น แล้วจะคืนอำนาจให้ประชาชน สองอาทิตย์นี้จะมีผลอะไรกับสังคมได้หรือไม่
นารี : เป็นที่ปรากฏว่าพ่อแม่พาลูก ๆ ใส่ชุดลายพราง ไปขอปืนจากทหารมาทำท่าจ่อยิงผู้อื่น และถ่ายภาพไว้ชื่นชม เพียงสองอาทิตย์นี้เราก็มีระเบิดเวลาในอนาคตเพิ่มขึ้นไม่รู้กี่ลูก การคืนเสรีภาพให้ประชาชนนั้นยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี ไม่เช่นนั้นจะเกิดค่านิยมใหม่ที่เป็นอันตรายกับสังคม เราจะมีคนที่สนับสนุนการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเต็มประเทศ ทั้งเข้าใจประชาธิปไตยผิดเพี้ยนไป สังคมไทยควรมีพัฒนาการเรียนรู้ประชาธิปไตยมากกว่านี้
ในเวลาเดียวกัน การคืนอำนาจให้กับประชาชนเร็วเท่าไรก็จะยิ่งเป็นผลดีกับ คปค. เพราะการจับปูใส่กระด้งไม่ใช่เรื่องง่าย คนไทยอาจชอบใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกับคนอื่น เเต่ไม่ชอบให้ใครใช้อำนาจบังคับตนเอง เมื่อรัฐธรรมนูญถูกยกเลิก คปค. ก็ต้องอาศัยคำประกาศต่าง ๆ ในการกำกับความเป็นไปของประเทศ เช่น คำประกาศที่ต้องลงท้ายด้วย "... หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษโดยเฉียบขาด" คปค.จะปกครองประเทศที่ผู้คนมีใจเป็นไท ด้วยคำขู่และความกลัวได้นานแค่ไหน ?
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)