Skip to main content
sharethis

(21 ก.พ.53) ในการลงพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเพื่อรับทราบปัญหาจากผู้ปฏิบัติงานสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดน จ.แมฺ่ฮ่องสอน ทั้งแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข รัฐมนตรีสาธารณสุขเชื่อมั่นมีเหตุผลหนักแน่นเพียงพอที่จะให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบขยายสิทธิหลักประกันสุขภาพหัวละ 2,402 บาทให้ครอบคลุมบุคคลที่รอพิสูจน์สถานะ 4.5 แสนราย ระบุจะเป็นการคลี่คลายปัญหาสาธารณสุขตามแนวชายแดนที่เป็นรูปธรรมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวระหว่างร่วมหารือและรับทราบปัญหาสาธารณสุขจากผู้ปฏิบัติงานตามแนวชายแดน ที่ รพ.ศรีสังวาลย์ อ.เมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ว่า ตนตั้งใจมาเยี่ยมผู้ปฏิบัติงานด่านหน้า เพราะคนเหล่านี้ทำงานด้วยความยากลำบาก ถ้าไม่เสียสละจริงพวกเขาคงอยู่ไม่ได้ และตั้งใจมาเยี่ยมผู้รับบริการสาธารณสุขตามแนวชายแดนเพื่อที่จะได้พูดคุยรับทราบปัญหากัน และได้สัมผัสได้ข้อมูลที่ทันสถานการณ์มากขึ้น

“จุดยืนผมชัดเจนที่เข้ามาช่วยดำเนินการให้มีการคืนสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลของกลุ่มคนไทยบนพื้นที่สูงที่กำลังรอการพิสูจน์สถานะบุคคล เพราะคนกลุ่มนี้ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4.5 แสนคน เป็นคนที่เคยได้รับสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลตามโครงการหลักประกันผู้มีรายได้น้อย (สปร.) มาแล้ว แต่ถูกตัดสิทธิ์ในภายหลัง ที่ผ่านมาติดขัดที่สำนักงบประมาณ และ สภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นแย้ง แต่ผมพร้อมที่จะอธิบายให้ฟังให้เข้าใจว่านี่เป็นการคืนสิทธิ ผมมีเหตุผลพอที่คณะรัฐมนตรีจะรับฟัง

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า การคืนสิทธิครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่มีบัตรประกันสุขภาพอยู่แล้วเพราะโรงพยาบาลเหล่านี้จะได้ไม่ต้องเจียดเงินรายหัวออกไปรักษาคนที่ไม่มีหลักประกัน หากไม่ขยายสิทธิให้ครอบคลุมออกไป ผลเสียก็จะตกกับคนที่มีบัตรประกันสุขภาพ เพราะถึงที่สุดแล้ว ด้วยหลักมนุษยธรรมและการควบคุมโรค โรงพยาบาลก็ต้องรักษาผู้ป่วยทุกคน ไม่รักษาไม่ได้ ซึ่งขณะนี้โรคตามแนวชายแดนค่อนข้างน่าเป็นห่วง ทั้งโรคเท้าช้าง วัณโรค รวมทั้งมาลาเรียที่กำลังกลายเป็นเชื้อดื้อยารุนแรง

“ผมจะไปพูดกับนายกฯ ผมมั่นใจว่าท่านนายกฯเข้าใจเรื่องนี้ดี ผมจะทำทันทีที่ผ่านบอร์ด สปสช. ซึ่งนี่จะได้รับการคลี่คลายที่เป็นรูปธรรมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ผมมั่นใจเกินครึ่งว่า จะสำเร็จ เป็นนโยบายแล้ว เป็นหน้าที่แล้ว ผมต้องผลักดันให้มันเดินให้ได้”

นอกจากนี้ รัฐมนตรีสาธารณสุขยังได้กล่าวถึงปัญหากำลังคนด้านสาธารณสุขซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการวางนโยบายในภาพรวม ซึ่งปัญหากำลังคนในพื้นที่ทุรกันดารอาจจะพิจารณาตามสัดส่วนประชากรเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องพิจารณาจากการเข้าถึง รวมทั้งการฝึกอบรมคนในพื้นที่โดยเชื่อมโยงกับแม่ข่ายซึ่งต้องสนับสนุนให้เกิดขึ้น

ทั้งนี้ในการรายงานสภาพปัญหาสาธารณสุขชายแดน พญ.วลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อำนวยการโรงพยาบาลปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า ที่ผ่านมาโรงพยาบาลเป็นหนี้กว่า 3 ล้านบาทแม้จะได้เงินช่วยเหลือจาก สปสช.ที่จัดสรรสำหรับพื้นที่ชายแดนบ้าง แต่มีประชากรบางส่วนที่ยังไม่ได้หลักประกันเพราะรอพิสูจน์สิทธิ์ ทำให้โรงพยาบาลต้องแบ่งเงินค่าหัวหลักประกันไปดูแล ถ้ามีการจัดสรรครอบคลุมมากขึ้น โรงพยาบาลก็สามารถพัฒนางานได้มากขึ้น

ด.ต.ทรงศักดิ์ กันธง ตำรวจตระเวนชายแดนทำหน้าที่ประจำสุขศาลาพระราชทาน บ้านแสนคำลือ ต.ถ้ำลอด อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า เป็นแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนฯ ให้รักษาทุกคนเพื่อให้เขามีชีวิตที่ปลอดภัย เราไม่ได้ดูสัญชาติ แต่รักษาทุกคนที่ป่วย ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการอนุเคราะห์ยาจากโรงพยาบาลปางมะผ้า

พญ.สุริยา ยานุพรหม ศัลยแพทย์ ร.พ.ศรีสังวาลย์ จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า เราไม่ได้เลือกที่ต้องรักษาเฉพาะคนที่มีหลักประกันเท่านั้น เรารักษาทุกคนไม่ได้สนใจบัตรสิทธิ์ ซึ่งได้ผู้บริหารที่ดีที่อนุญาตให้เราช่วยประชาชนทุกคนได้ แต่งบประมาณไม่เพียงพอ เราจึงต้องแบกรับหนี้สิน

ทางด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมสิริถาวร หัวหน้ากลุ่มวิจัยและพัฒนานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค มองว่า การควบคุมโรคติดต่อที่ชายแดนเป็นเรื่องสำคัญมาก ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของการควบคุมโรคติดต่อของไทย ทางสมัชชาอนามัยโลกให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะสุขภาพเป็นเรื่องความมั่นคงเช่นกัน วิธีคือการป้องกันโรคให้เร็วที่สุด รักษาให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นจะไม่สามารถควบคุมโรคติดต่อได้ ดังนั้นที่ผ่านมา สถานบริการต่างๆจึงจำรับภาระต่างๆไว้ เพื่อสาธารณสุขที่ดีของประชาชน

ทั้งนี้ นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก ผู้ประสานงานเครือข่ายหมอชายแดน แสดงความชื่นชมและขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่เข้าใจปัญหาและรับปากอย่างหนักแน่นว่า จะผลักดันการขยายความครอบคลุมหลักประกันสุขภาพถึงคนไทยที่รอพิสูจน์สถานะให้สำเร็จให้ได้

 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net