Skip to main content
sharethis

ไทยรัฐออนไลน์รายงานเมื่อวันที่ 26 ก.พ. นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมสรรพากรไปดำเนินการอายัดทรัพย์สินในบัญชีของ นางสาวพิณทองทา และ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรสาวและบุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทุกบัญชีที่อยู่ในสถาบันการเงินต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เพื่อไม่ให้กรมสรรพากรเกิดการเสียเปรียบและจัดเก็บภาษีไม่ครบตามจำนวน เนื่องจาก เกรงว่าหากศาลฯมีคำสั่งให้มีการยึดทรัพย์ จะไปทับซ้อนกับกรมสรรพากรที่ได้สั่งอายัดไว้ เพื่อจะนำไปชำระเงินค้างภาษีรวมเบี้ยปรับและดอกเบี้ยรายเดือน ทั้งนี้ เป็นทรัพย์สินที่อยู่ในบัญชีของธนาคารไทยพาณิชย์ วงเงิน 3.6 หมื่นล้านบาท และในสถาบันการเงินอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง ส่วนภาษีที่ค้างชำระให้กรมสรรพากร เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1.2 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ หากศาลมีคำพิพากษาออกมาว่าให้ยึดเงินทั้งหมดเข้าเป็นรายได้ของแผ่นดิน กรมสรรพากร จะไปพิจารณาเพื่ออายัดทรัพย์สินส่วนอื่นๆ อาทิ หุ้น และที่ดิน ที่ผ่านมากรมสรรพากรสามารถอายัดไว้ได้แล้วมูลค่าประมาณ 1 พันล้านบาท โดยกรมสรรพากรจะเข้าไปพิจารณาในเชิงลึกเพิ่มเติมว่ายังมีทรัพย์สินหรือบัญชี อื่นอยู่ที่ใดอีกบ้าง และส่วนที่กรมสรรพากรได้อายัดเอาไว้ก่อนหน้าก็จะต้องส่งเข้าเป็นรายได้ของแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เชื่อว่ายังมีทรัพย์สินหรือบัญชีอื่นๆ ที่จะสามารถอายัดได้อีก ส่วนทรัพย์สินหรือบัญชีที่อยู่ต่างประเทศ ที่ผ่านมากรมสรรพากรยังไม่เคยประสานเพื่อขออายัด แต่เห็นว่าน่าจะสามารถดำเนินการได้

"เดิมกรมสรรพากรได้อายัดเงินในบัญชีของโอ๊ค-เอม ที่อยู่ในธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 3.6 หมื่นล้านบาท แต่ขณะนี้ได้สั่งให้เพิ่มการอายัดบัญชีของทั้ง 2 คน ที่อยู่ในสถาบันการเงินอื่นๆ ด้วยทั้งหมด เพื่อรอให้ศาลมีคำสั่งที่ชัดเจนออกมาก่อน หากมีการยึดทรัพย์หมดทั้งจำนวน สรรพากรก็จะพิจารณาทรัพย์สินหรือบัญชีในส่วนอื่นๆ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีส่วนอื่นๆ ให้สามารถอายัดได้อยู่" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวต่อว่า ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับคำตัดสินของศาลฯ ว่าจะให้ดำเนินการยึดทรัพย์ หรืออายัดในส่วนใดบ้าง หากศาลฯ สั่งให้ยึดทรัพย์ทันที กระทรวงการคลังก็จะดำเนินการนำเม็ดเงินดังกล่าวเข้าเงินสมทบเงินคงคลัง โดยจะรวมไว้ในส่วนเงินรายได้ภาครัฐเช่นเดียวกับการจัดเก็บรายได้อื่นๆ รวมถึงค่าปรับต่างๆ หากจะนำเงินดังกล่าวออกมาใช้ก็จะเป็นไปตามระบบงบประมาณปกติ ที่ต้องนำเสนอการใช้ผ่านขั้นตอนของรัฐสภา

สำหรับบรรยากาศการลงทุนในตลาด หุ้นไทยช่วงเช้าวันที่ 26 ก.พ.2553 ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น สวนกระแสปัจจัยการเมืองเชิงลบ โดยเฉพาะกรณีคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ มองว่านักลงทุนไม่มีความตื่นตระหนกกับประเด็นดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากยอมรับว่าหากศาลฯ มีคำตัดสินให้ยึดทรัพย์ จำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนเกิดความกังวล ต่อเมื่อคำพิพากษาของศาลฯ จะออกมาในเชิงลบต่ออดีตนายกฯ ซึ่งจะเกิดความรุนแรงขึ้น แต่รัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ดังนั้น นักลงทุนจึงไม่มีความจำเป็นต้องเกิดความวิตกกังวลแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรที่จะใช้ระยะเวลาที่ตลาดฯ ปิดทำการ 3 วันเพื่อประเมินสถานการณ์ในการตัดสินใจลงทุน ส่วนตัวมองว่าการลงทุนควรจะดูที่ปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะขณะนี้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นรวมทั้งประเมินว่าผลประกอบการของ บริษัทจดทะเบียนก็จะฟื้นตัวตามไปด้วย

ที่มา: http://www.thairath.co.th

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net