Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis


หลายวันมานี้ เสียงปืนเสียงระเบิดที่ดังรัวๆ ได้กลายเป็นประเด็น Talk of the town ของชาวเมืองทั้งหลาย สารพัดองค์กรพากันขยันออกแถลงการณ์ฉบับแล้วฉบับเล่า มองแบบโลกสวยต้องบอกว่า น่าดีใจที่สังคมไทยพยายามเฝ้าระวังความรุนแรง แต่นั่นแหละนะ เพราะเราสวยกว่าโลก เลยไม่อาจหยุดมองแบบโลกสวยได้

ที่สวยอยากพูดถึงเป็นพิเศษคือแถลงการณ์ของเครือข่ายองค์กรด้านสันติศึกษาผู้สนับสนุนข้อเรียกร้องให้มีการเจรจาเพื่อรักษาชีวิตของเพื่อนมนุษย์ชาวไทยด้วยกัน อันประกอบด้วย สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่และสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น  (ใครยังไม่ได้อ่าน และอยากอ่าน หาอ่านได้ที่http://prachatai3.info/journal/2014/01/51540 )

แม้เข้าใจเจตนาดีของชาวสันติวิธีทั้งหลายที่เรียกร้องให้มีการเจรจาเพื่อรักษาชีวิตเพื่อนมนุษย์ชาวไทยด้วยกัน แต่เมื่ออ่านแถลงการณ์จบ ก็ต้องตั้งคำถามจากใจที่เปี่ยมด้วยความรักและหวังดีต่อบรรดานักสันติวิธี (เอาเข้าจริง ๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สวยพร่ำบ่นถึงนักสันติวิธี เพราะก็เคยเสนอให้ท่านไปศึกษาวิธีวิทยาความขัดแย้งในวิถีหมอลำซิ่งมาแล้ว ครั้งหนึ่ง) แต่ครั้งนี้สวยขอใช้คำใหญ่ ๆ สวยๆ เก๋ๆ ถามถึงจุดยืนทางการเมือง ทัศนคติ องค์ความรู้ และโลกทัศน์ทางสังคมการเมืองของชาวสันติศึกษากลุ่มนี้ ในฐานะที่พวกท่านเป็นองค์กรด้านวิชาการและมีภาระหน้าที่นำพาองค์ความรู้ใหม่ๆ มาสู่สังคมและกระตุ้นให้สังคมคิดและตั้งคำถามอย่างต่อเนื่อง

จากแถลงการณ์ฉบับนี้ สวยเข้าใจและรู้สึกได้ว่า สิ่งที่ชาวสันติศึกษาให้ความสำคัญ คือ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ไม่มีความแปลกใหม่ และไม่แตกต่างจากสามัญสำนึกของประชาชนทั่วไป แถมแค่อ่านผ่านๆ ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันอบอวลไปด้วยมายาคติที่เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการทำความเข้าใจความรุนแรงในสังคมไทย ราวกับว่า ชาวสันติศึกษาทั้งหลายเจตนาหลงลืมและเพิกเฉยต่อความรุนแรงระดับต่างๆ ที่คุณลุงโยฮัล กัลตุงของบรรดาชาวสันติศึกษาพร่ำสอนไปซะงั้น ซ้ำยังมองข้ามความเหลื่อมล้ำและปัญหาเชิงโครงสร้างสำคัญอันเป็นรากเหง้าของความรุนแรงไปอย่างน่าเสียดาย ขาดความกล้าหาญที่จะวิพากษ์ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่กล้าแม้จะปริปากว่า ทุกฝ่ายมีปืนและระเบิดอยู่ในมือ จนสวยอดฉงฉัยไม่ได้ว่า หรือนักสันติวิธีทั้งหลายกลัว กปปส. จะเสียความชอบธรรมทางเมืองไปหรือเปล่าจึงไม่ทักท้วงกันเรื่องนี้ บ่องตงนะ สวยเสียดายตรงนี้จากใจจริง

ขอเล่าความในใจ ตอนที่สวยเริ่มอ่านแถลงการณ์ บ่องตงว่าต้องเอามือทาบอกอุทาน “อุต๊ะ” ทำมั้ย ทำไมความเข้าใจประวัติศาสตร์สังคมการเมืองของเครือข่ายสันติศึกษาดูไม่สมคุณค่าที่คุณคู่ควรอะไรเช่นนี้ แถลงการณ์เริ่มต้นด้วยประโยคอันคุ้นตาว่า “คนไทยได้ชื่อว่ารักสงบ แม้กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่ผ่านมาจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งแต่เมื่อปัญหาลุกลามจนถึงขั้นวิกฤติไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ก็มักจะร่วมกันหาทางออกได้ด้วยสันติวิธีทำให้ประเทศไทยอยู่รอดปลอดภัย และพัฒนาได้ไม่น้อยกว่าชาติใดๆ...” อุ๊ยต๊าย นี่มันตำราเรียนมานีมานะ หรือว่าแถลงการณ์ของนักสินติวิธีเนี่ย ไม่ไหวจะเคลียร์นะ สวยขอบอก พอเถอะคุณขา สังคมไทยเรียนมานีมานะกันมามากพอแล้ว เราสร้างชุมชนจินตกรรมแบบมานีมานะมาจนไม่ใส่ใจโลกของความเป็นจริงเกินไปแล้ว นักสันติวิธีไม่ต้องมาเล่าซ้ำอีกแล้วนะ ขอบอก

ไหนจะคำกล่าวที่ว่า “...ร่วมกันหาทางออกได้ด้วยสันติวิธี...” แม้จะเป็นคาถาที่ดูดี แต่มันกลับเลื่อนลอยและผิดไปจากความจริงอย่างใหญ่หลวง เพราะหลายครั้งที่ผ่านมา พบว่า การแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยจบลงด้วยความรุนแรงเสมอ เมื่อมองย้อนกลับไปในสังคมไม่นานนัก เราจะได้เห็นประจักษ์พยานความรุนแรงในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในปี พ.ศ. 2535 เหตุการณ์การล้อมปราบเสื้อแดงในเดือนเมษยน- พฤษภาคม พ.ศ. 2553 คือหลักฐานสำคัญ

ไหนจะเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในแต่ละจุดย่อย ๆ อีกมากมาย เหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ก็ล้วนยืนยันได้ถึงความพิกลพิการของระบบและความไร้ซึ่งอำนาจของภาครัฐและภาคประชาสังคมในการร่วมกันแก้ปัญหาความขัดแย้งเชิงการเมือง ไม่นับความน่าตกใจยิ่งกว่า ที่หลายภาคส่วนเข้าใจไปแล้วว่า การรัฐประหารเป็นสันติวิธีในการแก้วิกฤติของสังคมไทย  เพราะแม้มันจะทำให้ความรุนแรงจบลงชั่วขณะแต่มันก็จะก่อตัวและปะทุออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า สวยยังยืนยันอีกทีว่า สวยไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มันหายไปจากความคิดคำนึงของชาวสันติศึกษาได้อย่างไร ความกล้าที่จะชี้ให้เห็นสังคมไทยเห็นความจริงจุดนี้ได้สูญสลายหายไปไหน หรือสวยเป็นพวกเข้าใจอะไรยากไป

เอาเถอะๆ ยิ่งอ่านต่อ ยิ่งต้องถอนหายใจยาวๆ ด้วยความแปลกใจอีกเฮือกใหญ่ ๆ ในแถลงการณ์เหมือนจะกล่าวโทษโยนความผิดว่า เพราะปัญหาการเมืองแบบเลือกตั้งนี่แหละ ที่ทำให้ประชาชนแตกแยก แหม คุณขา ถ้ามันแค่นั้นจริง นักการเมืองมานั่งดริ๊งค์ กินหูฉลาม กินเป็ดปักกิ่งก็คงแก้ไขได้นะ หรือให้ใครบางคนเอื้อนเอ่ยมา กลับบ้านเถิดเถอะแจ๊ะ มันก็คงจบไหม แต่มันไม่ใช่แค่นั้น มันมีเรื่องความไม่เท่าเทียมอะไรอีกเยอะแยะที่นักสันติวิธีเองน่าจะมองเห็นและยินเสียง แต่ แหม่มๆๆ  ปีศาจตนใดหนอถึงได้ใจร้ายใจร่ายมนต์ดลใจให้ชาวสันติศึกษามองเห็นปัญหาอย่างผิวเผิน เห็นแค่ว่า ปัญหาการเมืองเป็นรากฐานของความรุนแรงและแตกแยก ทั้งที่แท้จริงแล้วปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม การเข้าไม่ถึงทุน การขาดแคลนสวัสดิการสังคม ความไม่มั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินต่างหากที่ขับเคลื่อนความร้าวฉานและการแก่งแย่งชิงผลประโยชน์ผ่านพื้นที่ทางการเมือง

เท่านั้นยังไม่พอ ตอนหนึ่งในแถลงการณ์ยังกล่าวถึงสังคมที่สงบงามอันประกอบด้วย ความผูกพันเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นเพื่อนคนไทยด้วยกันของสังคมไทย พลเมืองที่มีความรักสงบ สามัคคี มีศีลธรรมอันดีและมีคุณภาพซึ่งจะสร้างสังคมที่ก้าวหน้า วุ๊ยยยย...นักสันติวิธีโดนหลวงวิจิตร กรมพระยาดำรงฯ เข้าสิงหรืออย่างไรคือว่าอารมณ์เพ้อฝันเคลิ้มตกอยู่ในภวังค์ไม่ใช่เรื่องผิดหรอก แต่จะมาออกอาการฝันหวานแบบหลวงวิจิตรในแถลงการณ์ของเครือข่ายนักวิชาการด้านสันติวิธี บ่องตงนะ มันไม่ใช่ เก็บไว้เขียนนิยายก่อนนอน หรือสเตตัสในเฟซบุ๊คสวย ๆ ดีกว่า เห็นแล้วอาภาภรณ์ นครสวรรค์ อารมณ์เสีย บ่องตง สวยคิดว่า ทุกสังคมมีพลวัติ มีการเผชิญหน้าความเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรมใหม่ทางความคิดและวิทยาการไม่ขาดสาย หลักการและกฎเกณฑ์ที่เป็นธรรมต่อทุกคน การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกันและกัน โครงสร้างที่เอื้อให้ทุกคนได้เข้าถึงทรัพยากรและโอกาสอย่างเท่าเทียมเท่าที่จะเป็นไปได้จะสร้างสังคมก้าวหน้าหาใช่หลักการเชิงนามธรรมที่หาตัวชี้วัดไม่ได้และไม่มีแก่นสารอื่นใดนอกจากคำปลอบประโลมชาวสันติศึกษาไปวัน ๆ เฮ้อ...อ่านแล้วสวยได้แต่นั่งถอนหายใจ ครั้งแล้วครั้งเล่า

เอาเหอะ สวยจะพยายามทำความเข้าใจ ว่าข้อเรียกร้องต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในแถลงการณ์ที่มุ่งความสำคัญไปที่ชีวิตของประชาชนที่ผูกพันกันเป็นครอบครัว และเป็นเพื่อนคนไทยด้วยกันนั้น มาจากจิตใจอันงามงดของชาวสันติศึกษา ซึ่งจะสร้างแรงกระเพื่อมมากน้อยอย่างไรต้องติดตามดูต่อไป แต่สวยแอบห่วงใยต่อว่าหากปีศาจทั้งหลายแหล่ยังปิดบังหลอกหลอน สร้างความมืดบอดในองค์ความรู้ ยังคงสิงสู่ครอบงำด้วยมายาคติ และยังสร้างการหวาดกลัวการเผชิญความจริงนั้นจะยิ่งทำให้นักสันติวิธีทั้งหลายทยอยตกเป็นเหยื่อความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมเสียเอง มาถึงตอนนี้ สวยเริ่มคิดว่าถึงเวลาที่ต้องหาหมอผีมาไล่ผีสิงเหล่านั้นให้ออกจากนักสันติวิธีทั้งหลายเสียที (ว่าแล้วให้คิดถึงพร๊อพไล่ผีของแม่หมอในละครซิกเซ๊นส์ ประเภทชาสมุนไพรไล่ผี สเปรย์กลิ่นลาเวนเดอร์ไล่มายาคติ) พูดอีกครั้ง ย้ำด้วยความห่วงใยจากใจ หากนักวิชาการด้านสันติวิธีเต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘อวิชชา’ ความเข้าใจความรุนแรงและสันติภาพของสังคมไทยก็จะยิ่งห่างไกลออกไปทุกที  ซึ่งหากนักวิชาการไม่ได้นำเสนอองค์ความรู้และความคิดใหม่ๆ แก่สังคม การมีอยู่ของนักวิชาการก็อาจไร้ความหมาย

สุดท้าย สวยขอเสนอว่า การแก้ปัญหาความรุนแรงมิติต่างๆ จะต้องเริ่มต้นด้วยการความยอมรับความจริงในพื้นที่สาธารณะ นักวิชาการด้านสันติวิธีวิธีต้องมีจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น การมีอยู่ของเครือข่ายสันติศึกษามีแต่จะยิ่งนำพาสังคมไปสู่หายนะ

ปล. เป็นไปได้ช่วยทบทวนข้อเสนอเรื่องการศึกษาวิธีวิทยาการจัดการความรุนแรงแบบ เวทีหมอลำ ที่สวยเคยนำเสนอไปด้วย
 

ด้วยความรักและความห่วงใยของชาวสวยกว่าโลก นะจ้ะ ๆ

#นั่งสวยจิบไวน์ถอนหายใจรอรัฐบาลชุดใหม่ #เมื่อไหร่จะมาสวยอยากปะติลูบแล้ว

3 กุมภาพันธ์ 2557

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net