เยียวยาให้ครอบคลุมแรงงานทุกภาคส่วน ทั้งนอกระบบและภาคเกษตรกร หยุดพักการชำระหนี้ ลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ค่ารถเมล์ ฯลฯ
22 เม.ย.2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (21 เม.ย.63) องค์กรแรงงาน 12 องค์กร นำโดย สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ การตัดเย็บเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์เครื่องหนังแห่งประเทศไทย กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง และกลุ่มสังคมนิยมแรงงาน ฯลฯ ออกจดหมายเปิดผนึกพร้อมอ่านแถลงการณ์เรียกร้องปรับปรุงมาตรการเยียวยาให้เป็นธรรมกับคนทำงานที่กำลังเดือดร้อน 5 ข้อต่อรัฐบาล ประกอบด้วย
ข้อ 1 ขยายการช่วยเหลือเยียวยาจากเดิมให้ครอบคลุมแรงงานทุกภาคส่วน แรงงานนอกระบบประกันสังคม แรงงานภาคเกษตรกร ซึ่งเป็นงานที่จ้างตัวเอง (รวม 20 ล้านคน x 15,000/คน รวมสามแสนล้านบาท) และแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีประกันสังคม
ข้อ 2 หยุดพักการชำระหนี้ เช่น บ้าน รถ โดยงดจ่ายทั้งต้นทั้งดอกอัตโนมัติ เป็นระยะเวลา 6 เดือน ข้อ 3 ลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ค่ารถเมล์ 50% เป็นเวลา 6 เดือน ข้อ 4 สำหรับผู้ประกันตน ม.33 กรณีที่นายจ้างสั่งหยุดงานชั่วคราวโดยมิใช่เหตุสุดวิสัย แต่เป็นเหตุอื่น ตามมาตรา 75 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้าง 75% ของค่าจ้างนั้น ให้รัฐจ่ายเงินส่วนต่างให้แก่ลูกจ้างอีก 25% และ ข้อ 5 ยกเลิกกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ.2563 หากนายจ้างสั่งให้ลูกจ้างหยุดงาน หรือถูกทางราชการสั่งปิดด้วยเหตุแห่งโรคระบาด ให้นายจ้างและรัฐร่วมจ่ายเงินแก่ลูกจ้างครบ 100%
"ขบวนการแรงงานต้องผลักดันให้รัฐแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที เฝ้าระวังการละเมิดสิทธิเสรีภาพจากการฉวยโอกาสของนายจ้าง เช่น เลิกจ้างไม่เป็นธรรม เปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง กลั่นแกล้งสหภาพแรงงาน และพร้อมรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจการจ้างงานที่อาจตามมาจากนี้ แรงงานคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ รัฐจะต้องไม่ให้พวกเขาเสียสละตัวเองจนถึงขั้นล้มละลาย แต่จะต้องช่วยให้ฟื้นตัวจากวิกฤตให้รวดเร็ว" แถลงการณ์ระบุตอนท้าย
สำหรับรายละเอียดแถลงการณ์มีดังนี้
ข้อเสนอต่อรัฐบาล ขอให้ปรับปรุงมาตรการเยียวยาคนทำงานในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ต่อมารัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมจนถึง 30 เมษายน 2563 ตามมาด้วยมาตรการล็อคดาวน์ของจังหวัดต่าง ๆ ที่นำไปสู่การสั่งปิดกิจการ ห้างร้าน สถานบันเทิง สถานบริการ ลดกิจกรรมสาธารณะ การเดินทาง เพื่อให้ประชาชนหยุดงานอยู่บ้าน ทำให้รายได้ของคนทำงานลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในภาคเอกชน ได้แก่ คนหาเช้ากินค่ำ รับจ้างอิสระ คนงานในโรงงาน นอกจากนี้ ยังมีการเลิกจ้าง มีคนตกงานเพิ่มขึ้น 140,000 รายในเดือนมีนาคม รวมจำนวนสะสม 700,000 ราย ซึ่งไม่สามารถหางานทำได้ในช่วงวิกฤตนี้
การออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบประกันสังคมของรัฐบาลไม่สามารถช่วยเหลือคนทำงานที่เดือดร้อนได้อย่างแท้จริง ดังกรณีเงินเยียวยาเราไม่ทิ้งกัน จำนวน 5,000 บาทเป็นเวลา 3 เดือน (เมษายนถึงมิถุนายน 2563) ให้แก่แรงงานนอกระบบ เช่น คนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง คนขับแท็กซี่ พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย รับจ้างทั่วไป จำนวน 9 ล้านคน อีกทั้ง รัฐบาลตั้งกฎเกณฑ์เงื่อนไขที่ก่อให้เกิดปัญหาการคัดกรองอย่างไม่เป็นธรรม ล่าช้า ตกหล่นเป็นจำนวนมาก และยังมีการจำกัดกลุ่มอาชีพ เช่น เกษตรกร ด้วยเหตุผลว่ารัฐบาลจะมีมาตรการอื่นมารองรับ ซึ่งคือการจ่ายเหมาครั้งเดียวให้ครัวเรือนละ15,000 จำนวน 9 ล้านครัวเรือนที่อาจไม่เพียงพอ คนงานก่อสร้างเพราะยังทำงานอยู่ แรงงานข้ามชาติซึ่งทำงานให้นายจ้างไทยไม่ให้รับเงินเยียวยาแต่อย่างใด ทั้งที่ความเป็นจริงมีแรงงานข้ามชาติที่ไม่ได้ทำงานไม่มีรายได้ในการยังชีพ
ส่วนกรณีแรงงานในระบบประกันสังคม โดยเฉพาะลูกจ้างในสถานประกอบการ หรือพนักงานเอกชน ในกลุ่มผู้ประกันตนตามมาตรา 33 กำลังเผชิญปัญหาถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับค่าชดเชยจากนายจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ถูกสั่งหยุดงานโดยไม่ได้ค่าจ้าง ต้องไปขอรับประโยชน์ทดแทนการว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัยจากโรคระบาดตามกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ที่ประกาศเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563 คนว่างงานรวมกรณีที่นายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวเองและถูกทางราชการสั่งให้หยุดประกอบกิจการชั่วคราว ลูกจ้างจะได้รับเพียงเงินทดแทนในอัตรา 62% ของค่าจ้างรายวัน เป็นเวลา 90 วัน ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรม และนายจ้างผลักภาระไปให้ลูกจ้างในการจัดการปัญหา
เนื่องจากที่ผ่านมา ค่าจ้างขั้นต่ำหรือเงินเดือนพื้นฐานของแรงงานในสถานประกอบการอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาท ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายอยู่ก่อนแล้ว จำต้องทำงานล่วงเวลาหรือหารายได้เสริมเพื่อให้มีรายได้มากขึ้นอีกประมาณ 5,000-10,000 บาท ดังนั้น การทดแทนรายได้ในอัตรา 62% ของค่าจ้างรายวันจึงไม่เพียงพอ แม้จะมีการลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค และพักชำระหนี้สิน แต่เป็นจำนวนน้อยเกินไป หนำซ้ำมีการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าที่จำเป็นที่รัฐไม่สามารถติดตามรับมือปัญหาได้ทั่วถึง
ล่าสุดรัฐบาลได้ออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจำนวน 1 ล้านล้านบาทเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2563 รวมทั้งสั่งให้กระทรวงต่างๆ คืนงบประมาณ 10% เพื่อนำไปแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 เครือข่ายแรงงานดังรายชื่อองค์กรด้านล่าง จึงขอมีส่วนร่วมในการเสนอปรับปรุงมาตรการเยียวยาให้เป็นธรรมกับคนทำงานที่กำลังเดือดร้อน 5 ข้อต่อรัฐบาล ดังนี้
ข้อ 1 ขยายการช่วยเหลือเยียวยาจากเดิมให้ครอบคลุมแรงงานทุกภาคส่วน แรงงานนอกระบบประกันสังคม แรงงานภาคเกษตรกร ซึ่งเป็นงานที่จ้างตัวเอง (รวม 20 ล้านคน x 15,000/คน รวมสามแสนล้านบาท) และแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีประกันสังคม
ข้อ 2 หยุดพักการชำระหนี้ เช่น บ้าน รถ โดยงดจ่ายทั้งต้นทั้งดอกอัตโนมัติ เป็นระยะเวลา 6 เดือน
ข้อ 3 ลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ค่ารถเมล์ 50% เป็นเวลา 6 เดือน
ข้อ 4 สำหรับผู้ประกันตน ม.33 กรณีที่นายจ้างสั่งหยุดงานชั่วคราวโดยมิใช่เหตุสุดวิสัย แต่เป็นเหตุอื่น ตามมาตรา 75 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้าง 75% ของค่าจ้างนั้น ให้รัฐจ่ายเงินส่วนต่างให้แก่ลูกจ้างอีก 25%
ข้อ 5 ยกเลิกกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ.2563 หากนายจ้างสั่งให้ลูกจ้างหยุดงาน หรือถูกทางราชการสั่งปิดด้วยเหตุแห่งโรคระบาด ให้นายจ้างและรัฐร่วมจ่ายเงินแก่ลูกจ้างครบ 100%
สุดท้ายนี้ ขบวนการแรงงานต้องผลักดันให้รัฐแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที เฝ้าระวังการละเมิดสิทธิเสรีภาพจากการฉวยโอกาสของนายจ้าง เช่น เลิกจ้างไม่เป็นธรรม เปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง กลั่นแกล้งสหภาพแรงงาน และพร้อมรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจการจ้างงานที่อาจตามมาจากนี้ แรงงานคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ รัฐจะต้องไม่ให้พวกเขาเสียสละตัวเองจนถึงขั้นล้มละลาย แต่จะต้องช่วยให้ฟื้นตัวจากวิกฤตให้รวดเร็ว
องค์กรที่สนับสนุนข้อเสนอ
- สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ การตัดเย็บเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์เครื่องหนังแห่งประเทศไทย
- กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง
- กลุ่มสังคมนิยมแรงงาน
- สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง
- สภาองค์การลูกจ้างแรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย
- สภาองค์การลูกจ้างสภาศูนย์กลางแรงงานแห่งประเทศไทย
- สหพันธ์แรงงานชิ้นส่วนยานยนต์แห่งประเทศไทย
- สหพันธ์แรงงานโตโยต้า
- สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์บรรจุภัณฑ์
- กลุ่มพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ตะวันออก
- สมาพันธ์แรงงานฮอนด้าแห่งประเทศไทย
- เครือข่ายสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างเครื่องเรือนและคนทำไม้แห่งประเทศไทย (BWICT)
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)