ลอนดอน (เอเอฟพี) : อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เดินทางถึงลอนดอน หลังจากที่ถูกยึดอำนาจโดยทหาร รัฐบาลอังกฤษระบุเป็นการเยือนแบบส่วนตัว ไม่มีกำหนดขอพบ โทนี่ แบลร์ หรือคณะรัฐบาลทั้งสิ้น

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานข่าวเมื่อเช้าวันที่ 20 กันยายนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ในเสื้อนอกสีดำ เน็คไทแดงและเสื้อเชิ้ตสีขาว ยังคงยิ้มแย้มและยกมือไหว้ทักทายเจ้าหน้าที่ขณะลงจากเครื่องบินแอร์บัส 340-600 ของไทยอินเตอร์ฯ ที่สนามบิน เกทวิค ทางใต้ของกรุงลอนดอน แต่ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่มารอทำข่าวอยู่เป็นจำนวนมาก ก่อนจะเดินมาขึ้นรถเบนซ์สีดำ ป้ายทะเบียน THAI 1 ไปยังกรุงลอนดอน ซึ่งข่าวระบุว่าอดีตนายกฯ ของไทยมีบ้านพักอยู่ที่นั่น

การเดินทางมายังกรุงลอนดอนของอดีตนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่กลุ่มทหารในนามของ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้เข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน ระหว่างที่อดีตนายกฯ อยู่ระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งที่ 61 ในนิวยอร์ค โดยเอเอฟพีระบุด้วยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ โดยทอม เคซซี่ โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศ ได้เรียกร้องให้มีการคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด เพื่อให้การบริหารประเทศดำเนินต่อไปภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

โฆษกกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ กล่าวกับเอเอฟพีว่า การเดินทางมาเยือนของอดีตนายกฯ เป็นการเดินทางมาแบบส่วนตัว ไม่ใช่การเยือนแบบเป็นทางการ "เราไม่ได้รับรายงานว่าใครจะคอยดูแลท่านระหว่างอยู่ที่นี่"

โฆษกกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษกล่าวด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีบ้านพักอยู่ที่ลอนดอน และบุตรสาวกำลังศึกษาอยู่ที่สถาบัน "ลอนดอน สกูล ออฟ อีโคโนมิค" จึงเดินทางมาเยือนลอนดอนเป็นประจำ โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่ทราบรายละเอียดใดๆ ว่า การเยือนลอนดอนครั้งนี้ อดีตผู้นำของไทยจะอยู่นานเท่าไหร่ หรือจะทำอะไรบ้าง

"เราไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะปฏิเสธการเดินทางเข้าประเทศ ตราบใดที่เขามีเอกสารที่ถูกต้องครบถ้วน" โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าว

ขณะที่โฆษกของ โทนี่ แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีอังกฤษ หรือเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลรายใดๆ ทั้งสิ้น และว่านางมาร์กาเร็ต แบ็คเก็ตต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า รัฐบาลอังกฤษมีความเป็นห่วง และปรารถนาให้ประเทศไทยกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยด่วนที่สุด.

ที่มา ไทยทาวน์ยูเอสเอนิวส์