ภาพจาก www.naewna.com
ประชาไท - 9 พ.ย.2549 เวลา 16.00 น. งานฌาปนกิจศพวันสุดท้ายนาย
พล.ต.วีรัณ กล่าวว่า ตนเองได้เดินทางมาร่วมงานศพในนามตัวแทนกองทัพบก โดยทางผู้บังคับบัญชาได้มอบหมายให้ตนเองมาดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งได้ช่วยเหลือมาแล้วในเบื้องต้น ส่วนในระยะยาวนั้นทางกองทัพยินดีที่รับบุตรสาวของนายนวมทอง เข้ารับราชการเป็นทหารต่อไป แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของ น.ส.สาวิดา ด้วยว่าจะต้องการเข้ามาประกอบอาชีพเป็นข้าราชการหรือไม่ เพราะทราบมาว่า น.ส.สาวิดา เพิ่งจะจบการศึกษาระดับปริญญาตรี และหากทางครอบครัวนาง
ทางด้านนางบุญชู กล่าวกับ พล.ต.
น.ส.สาวิดา ลูกสาวนายนวมทอง กล่าวว่า ถ้าทางกองทัพบกให้โอกาสเข้ารับราชการทหารก็พร้อมที่จะรับราชการเช่นกัน เพราะเพิ่งรับปริญญามา แต่ไม่ทันที่พ่อได้อยู่ดูความสำเร็จ ก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน และเชื่อว่าพ่อไปดีแล้วไม่มีอะไรต้องห่วงอีก ก่อนการประชุมเพลิงนาย
นอกจากนี้นาย
ภายหลังจากทำการประชุมเพลิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่บรรดาผู้ร่วมงานทยอยเดินทางกลับ นางบุญชู ได้นำเทปบันทึกเสียงของนายนวมทอง ที่บันทึกไว้ก่อนตาย มาเปิดผ่านเครื่องขยายเสียง โดยมีใจความว่า พ.อ.อัคร เป็นผู้ดูถูกคนรักประชาธิปไตย เพราะเขาเป็นทหารจึงไม่รู้จักคำว่าประชาธิปไตย เพราะทหารมักถูกกดขี่จากผู้บังคับบัญชาอีกที เรื่องนี้ตนรู้ดีเพราะว่าเคยเป็นทหารมาก่อน สมัยนั้นตนเองเป็นทหารสังกัด ม.พัน 3 และ ม.พัน 4 เรื่องการพลีชีพครั้งแรกของตนนั้น แม้ว่าจะทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ตาม แต่ก็ได้รับผลตอบรับกลับมาอย่างดี เพราะหลังจากนั้นแล้ว ตนเองได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษจากคนอื่น ๆ มาเป็นจำนวนมาก ที่ด่าก็มีแต่มีน้อย เพราะประชาชนเขาต้องการให้ คปค.จงสำนึกด้วยว่า สิ่งที่ทำลงไปนั้น ประชาชนเขาจะรู้สึกอย่างไร ทุกอย่างได้เปิดเผยหมดแล้ว
สมคบกับอสรพิษแล้วก็ถูกอสรพิษแว้งกัด ตนดีใจที่การพลีชีพครั้งแรก เป็นการทำเพื่อประเทศชาติ เพราะมีแต่คนพูดถึงเรื่องแท็กซี่ชนรถถัง และไม่เคยนึกเสียดายชีวิต ยินดีด้วยความยิ้มแย้ม ที่ได้ทำเพื่อประชาธิปไตย ไม่ขอยอมอยู่ในระบอบเผด็จการ ตนมีสติดี สมองไม่เลอะเลือนและมีชีวิตอยู่ได้อีกนาน แต่ตนเองทนไม่ได้ที่เอาเหตุผลอะไรมาอ้างในการปฏิวัติ ทำให้ประชาชนเขาลือกันว่า ลอบสังหารไม่ได้ก็ปฏิวัติมันเสียเลย กล่าวหาเขาอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สุดท้ายก็เป็นเหมือนเขาเช่นกัน และตนเองเกิดมาเป็นคนไทย คนไทยเขาถือว่าฆ่าได้หยามไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อโฆษก คปค.ให้สัมภาษณ์ดูถูกตนว่า รับจ้างเอาเงินเขามา จึงต้องแสดงการพลีชีพครั้งที่ 2 ให้เห็นกันไปเลย
สุดท้ายนี้ตนเองเป็นห่วงและสงสารภรรยามากที่สุด แต่อย่างไรเสียทุกคนก็ต้องจากกันไม่ช้าก็เร็ว แต่เพื่อประเทศชาติและประชาชนแล้ว ตนต้องทำ และหวังว่าชาติหน้าเกิดมาไม่ต้องเจอการปฏิวัติอีก สุดท้ายขอร้องเพลงปลอบใจลูกเมียตามประสานักร้องเก่า ในเพลงลูกแก้วเมียขวัญ ของสุรพล สมบัติเจริญ และขอขอบคุณทุกคนที่ตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมกับขอตั้งฉายาให้คณะปฏิวัติชุดนี้ว่า " เผด็จการปากพล่อย คปค.ตอแหล" เพราะผิดสัญญาว่า จะไม่ปฏิวัติ แต่ก็ตระบัดสัตย์
ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)