Skip to main content
sharethis







เศรษฐกิจ การเมือง


 


 


นักธุรกิจ60%ชะลอลงทุนปีหน้า 


"กรุงเทพธุรกิจโพลล์" เผยผลสำรวจหอการค้าทั่วประเทศ ชี้ภาคธุรกิจเฉียด 60% ตัดสินใจชะลอลงทุนต่อเนื่อง หลังประเมินรัฐบาลใหม่อยู่ได้แค่ 2 ปี พร้อมเรียกร้องผู้นำและรัฐบาลต้องมีความซื่อสัตย์ เสนอเร่งปราบคอร์รัปชันเป็นนโยบายเร่งด่วนก่อนฟื้นฟูเศรษฐกิจ หวังเสถียรภาพรัฐบาลใหม่กระตุ้นบริโภค-ลงทุน ผลักดันเศรษฐกิจฟื้นตัวไตรมาส 4 ปีหน้า


 



วานนี้ 18 พ.ย. หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกันสำรวจความคิดเห็นประเด็น "รัฐบาลในฝัน" จากนักธุรกิจหอการค้าทั่วประเทศ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนส่วนราชการประมาณ 379 ตัวอย่าง


 



ดร.ยาใจ ชูวิชา ประธานคณะจัดทำการสำรวจความคิดเห็นประเด็นธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า กลุ่มตัวอย่างตอบถึงปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งในครั้งนี้ พบว่า 42.95% ตอบว่านโยบายพรรค 32.69% หัวหน้าพรรค และ 21.20% ตัวบุคคลที่ลงรับเลือกตั้ง หรือ ส.ส. แต่เมื่อถามถึงคุณสมบัติรัฐบาลใหม่ที่ต้องการเห็น 31.68% ความซื่อสัตย์ 26.46% กล้าตัดสินใจ 24.87% มีความเข้าใจภาคธุรกิจ และ 15.68% มีความเป็นเอกภาพอื่นๆ 1.31%


 



ขณะที่ถามถึงคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่นักธุรกิจต้องการ พบว่า 28.32% บอกว่าต้องการความซื่อสัตย์ 23.94% ต้องการภาวะผู้นำ 18.94% ต้องการให้ทำงานรวดเร็ว


 



ส่วนความคิดเห็นต่อนโยบายประชานิยมของพรรคต่างๆ 77.44% เห็นด้วยแต่ควรทำเพียงบางเรื่อง โดยคำนึงถึงรายได้เป็นสำคัญ มีเพียง 8.54% ไม่เห็นด้วย 7.32% ไม่แน่ใจ และ 6.71% เห็นด้วยแบบไม่มีเงื่อนไข และความเห็นว่านโยบายพรรคการเมืองต่างๆ ใช้นโยบายประชานิยมมากเกินไปหรือไม่ 58.75% บอกว่ามาก 23.13% บอกว่ามากที่สุด 12.50% ปานกลาง และ 5.62% ไม่แน่ใจ


 



แบบสอบถามยังถามถึงประเด็นที่ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่กำหนดเป็นวาระแห่งชาตินั้น 25.58% ระบุว่า การศึกษา 20.01% บอกว่าปราบปรามคอร์รัปชัน จำนวน 15.66% บอกว่าต้องการให้แก้ไขปัญหาความยากจน 11.67% การบริหารพลังงาน 9.61% แก้ไขปัญหายาเสพติด 9.21% ปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน 7.46% พัฒนาระบบโลจิสติกส์ 0.79% อื่นๆ


 



จี้รัฐบาลใหม่ปราบคอร์รัปชัน-กระตุ้น ศก.



ประเด็นที่น่าสนใจจากการสอบถามครั้งนี้ ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการเร่งด่วน อันดับหนึ่ง ได้แก่ เรื่องของการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน อันดับสอง กระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาหนี้สินของคนยากไร้ อันดับสาม การแก้ไขปัญหาพลังงาน อันดับสี่ ปฏิรูปการศึกษา และอันดับห้า ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ



ส่วนการคาดการณ์สภาพเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้ง ช่วง 3 เดือนแรก 54.79% เห็นว่าทรงตัว 17.81% ดีขึ้น 16.44% ไม่แน่ใจ และ 10.96% แย่ลง ช่วง 6 เดือนข้างหน้า 40.82% เห็นว่าทรงตัว 33.33% เห็นว่าดีขึ้น 18.37% ไม่แน่ใจ และ 7.48% เห็นว่าแย่ลง ช่วง 12 เดือนข้างหน้า 46.10% เห็นว่าดีขึ้น 25.53% เห็นว่าไม่แน่ใจ 21.99% เห็นว่าทรงตัว และ 6.38% เห็นว่าแย่ลง


 



ความมั่นใจต่อเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลชุดใหม่ 49.08% เห็นว่าเสถียรภาพปานกลาง 31.29% เห็นว่าน้อย 17.79% เห็นว่าไม่แน่ใจ และ 1.84% เห็นว่ามาก


 



ทั้งนี้เมื่อแยกรายภาคของกลุ่มตัวอย่างพบว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนใหญ่เห็นว่ามีเสถียรภาพระดับปานกลาง 44.4% ภาคเหนือส่วนใหญ่ 52.9% ปานกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 65.2% ปานกลาง ภาคกลางรวมภาคตะวันตก 42.3% ปานกลางภาคใต้ ส่วนใหญ่ 39.1% ปานกลาง รองลงมา 30.4% ไม่แน่ใจ และ 30.4% น้อย ส่วนภาคตะวันออก 56.3% ปานกลาง


 



โพลล์ชี้รัฐบาลใหม่อยู่ได้ 2 ปี



ดร.ยาใจ กล่าวว่า ผลสำรวจการคาดการณ์อายุการบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่ 60.63% เชื่อว่ามีอายุ 2 ปี 27.50% เชื่อว่ามีอายุ 1 ปี 9.38% มีอายุ 3 ปี และ 2.50% มีอายุ 4 ปีคาดว่าจะมีการขยายการลงทุนในรัฐบาลชุดใหม่หรือไม่ 59.63% รอดูสถานการณ์อีกระยะ 21.74% ไม่ลงทุน และ 18.63% ลงทุน


 



เมื่อถามถึงความมั่นใจว่ารัฐบาลชุดใหม่ จะฟื้นเศรษฐกิจของประเทศได้มากน้อยเพียงใด 50.62% ปานกลาง 25.93% น้อย ไม่แน่ใจ 19.75% และสามารถฟื้นเศรษฐกิจมาก 3.70%


 



แบบสอบถามยังได้ถามถึงการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนด้วย พบว่า 59.63% ยังชะลอการลงทุน โดยระบุว่าต้องการรอดูสถานการณ์อีกระยะ ไม่ลงทุน มีจำนวน 21.74% และมีเพียง 18.63% บอกว่าจะยังลงทุนต่อไป


 



เสถียรภาพ-ศก.-น้ำมันปัจจัยลบ



ส่วนอุปสรรคที่จะทำให้รัฐบาลชุดใหม่ ดำเนินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ไม่ได้นั้น พบว่า 1. เสถียรภาพของรัฐบาล 2.ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชะลอตัวมากเกินไป 3.ราคาน้ำมัน 4.ความขัดแย้งทางความคิดของคนในประเทศ 5.หนี้สิน/กำลังซื้อของประชาชน


 



กลุ่มตัวอย่างจากภาคเหนือระบุว่าอุปสรรคสำคัญ คือภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชะลอตัวมากเกินไป เสถียรภาพของรัฐบาล และราคาน้ำมัน ภาคเหนือเห็นว่าปัญหาสำคัญที่สุด คือความขัดแย้งทางความคิดของคนในประเทศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เสถียรภาพของรัฐบาล ภาคกลางรวมภาคตะวันตก เห็นว่าเสถียรภาพรัฐบาลเช่นเดียวกับภาคใต้ และภาคตะวันออก


 



รัฐบาลชุดใหม่ควรให้ความสำคัญกับกระทรวงใดมากที่สุด 1.กระทรวงพาณิชย์ 2.กระทรวงศึกษาธิการ 3.กระทรวงการคลัง 4.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ 5.กระทรวงพลังงาน


 



ผู้นำรัฐบาลใหม่ซื่อสัตย์กล้าตัดสินใจ



ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า กลุ่มตัวอย่างจะตัดสินใจเลือกผู้สมัครจากปัจจัยพรรคการเมืองเป็นหลัก ภายหลังจากนั้นจะพิจารณาที่นโยบายของพรรค


 



ส่วนสิ่งที่ประชาชนให้ความสำคัญสูงสุดกับรัฐบาล คือ ต้องมีความซื่อสัตย์ เพราะแม้นโยบายของรัฐบาลดี แต่ถ้าไม่มีความซื่อสัตย์เม็ดเงินก็จะไม่ถึงมือผู้ที่ควรได้รับแท้จริง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลที่ผ่านมา ยังมีปัญหาเรื่องความซื่อสัตย์ทำให้คนยังต้องการให้เร่งแก้ปัญหาในส่วนนี้


 



นอกจากนี้ภาคธุรกิจยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษา เพราะการศึกษาจะเป็นส่วนสำคัญของการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน


 



ผศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนคุณสมบัติของผู้นำรัฐบาล นอกจากความซื่อสัตย์แล้ว ต้องกล้าตัดสินใจ โดยเฉพาะในส่วนภาคธุรกิจย้ำว่าต้องมีความเข้าใจธุรกิจด้วย ขณะที่กลุ่มตัวอย่างจากหน่วยงานรัฐบาล มองเรื่องของความสามารถในการสร้างเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะเสถียรภาพของรัฐบาลจะมีความสำคัญต่อการลงทุนภาครัฐ เนื่องจาก ปี 2551 การส่งออกจะชะลอตัวทำให้เศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนได้ด้วยการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนแทน


 



 "ปี 2551 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 4.6% ภายใต้เงื่อนไขการเมืองต้องมีเสถียรภาพ ปัญหาราคาน้ำมันไม่รุนแรงมากกว่านี้ และเงินบาทมีเสถียรภาพ โดยเศรษฐกิจะค่อยฟื้นตัวได้ช่วงไตรมาส 3-4 เพราะรัฐบาลใหม่ต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหากำลังซื้อหดตัว ราคาพลังงาน ทำให้ช่วงไตรมาส 1-2 เศรษฐกิจอยู่ในภาวะทรงตัว" ผศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าว


 



โพลล์ยันให้ปราบทุจริตก่อนฟื้นเศรษฐกิจ



เขากล่าวว่า โพลล์ชี้ให้เห็นว่าเสถียรภาพของรัฐบาลสำคัญที่สุด เพราะการเมืองเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่ง ในมุมมองภาคธุรกิจ รองลงมาคือปัญหาราคาน้ำมัน ส่วนค่าเงินบาทภาคธุรกิจระดับประเทศ ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก ต่างจากนักธุรกิจส่งออก โดยปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข คือ ราคาน้ำมัน การเมือง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การดูแลราคาสินค้า การหารายได้เข้ารัฐ ซึ่งเป็นงานหลักของกระทรวงพาณิชย์จึงทำให้โพลล์ตอบว่าเป็นกระทรวงที่สำคัญที่สุด ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการจะสำคัญรองลงมา เพราะเป็นหน่วยงานที่ดูแลด้านความสามารถการแข่งขัน


 



"โพลล์ชี้ว่าให้ปราบทุจริตก่อนที่จะฟื้นเศรษฐกิจเสียอีก เพราะปัญหาทุจริตเป็นสิ่งสำคัญและต้องเร่งแก้ไข รองลงมาในระยะยาวการศึกษาจะต้องดำเนินการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ทำให้กระทรวงพาณิชย์เป็นกระทรวงที่สำคัญที่สุดในรัฐบาลใหม่ และรองลงมากระทรวงศึกษาธิการ เพื่อการพัฒนาการลงทุนในระยะยาว" ผศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าว


 



เอกชนทำใจ ศก.ฟื้นไตรมาส 4 ปีหน้า



นายดุสิต นนทะนาคร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ต้องการให้รัฐบาลใหม่มีความซื่อสัตย์ เพื่อลดการทุจริตในรัฐบาล รองลงมา คือ การพัฒนาการศึกษา เพราะการทำธุรกิจถ้ามีบุคลากรดีจะไม่มีปัญหา แต่ปัจจุบันมีปัญหาว่ามีแรงงานที่จบปริญญาตรีมากเกินไป ขณะที่แรงงานที่จะมีทักษะการทำงานจริงๆ มีน้อยเกินไป จึงต้องหันมาสร้างทัศนคติใหม่ว่าผู้ที่มีทักษะการทำงานที่ดีก็สามารถเติบโตในองค์กรได้ เพื่อให้มีแรงงานในส่วนนี้มากขึ้น


 



อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการดำเนินการด้านนี้ ต้องใช้เวลานาน 10-20 ปี จึงต้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่บัดนี้



เขากล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทย คาดว่าจะมีการฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4 ปี 2551 เพราะต้องให้พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเริ่มต้นจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และเริ่มกระบวนการผลักดันเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 9 เดือน กว่าทุกอย่างจะเข้าที่ โดยการลงทุนของภาครัฐ จะเกิดขึ้นแน่นอนในปีหน้า เพราะเป็นส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ต้องมาทดแทนการส่งออก ที่จะซบเซาตามภาวะเศรษฐกิจโลก



การใช้จ่ายภาคเอกชนและภาครัฐจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2551 รัฐบาลใหม่จึงต้องมีเสถียรภาพ เพราะถ้ารัฐบาลไม่เข้มแข็งเอกชนก็แข่งขันยาก โดยกระทรวงที่จะมีบทบาทสำคัญ คือ กระทรวงพาณิชย์ เพราะต้องทำหน้าที่หารายได้จากการค้าทั้งในและต่างประเทศ รองลงมาคือกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการคลัง


 



"อยากเห็นผู้นำที่ซื่อสัตย์ เพราะถ้าหัวซื่อสัตย์ หางก็กระดิกได้น้อย ส่วนนโยบายประชานิยมของพรรคต่างๆ ต้องการแจ้งให้พรรคการเมืองรู้ว่า ประชาชนต้องการเลือกนักการเมืองเข้ามาบริหารประเทศ ไม่ใช่มาแจก หรือใช้เงินต้องดูเรื่องการหารายได้และรายจ่ายให้สมดุล และมั่นคงระยะยาว  ต้องมอง 2 มุมในระยะเดียวกัน" นายดุสิต กล่าว



ส่วนอัตราขยายตัวในระดับ 4.5-4.6% ปัญหาการว่างงานจะไม่รุนแรงมาก จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีนี้ แต่ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ปีหน้า ทำให้ภาคธุรกิจต้องรู้จักประเมินตัวเองและพร้อมที่จะปรับตัวใหม่บ่อยครั้งมากขึ้น จากเดิมภาคธุรกิจมักจะประเมินตัวเองปีละ 2 ครั้ง ควรเพิ่มเป็นไตรมาสละ 1 ครั้ง เพื่อให้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ทันเวลา


 


ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com


 


ในหลวง-ความจงรักภักดีดัน'ดัชนีสุข'ตุลาพุ่งสูงสุด 


"อีสาน"  ตกอันดับแฮปปี้-ทุกข์เพิ่ม  "ใต้"  มาแรงแซงขึ้นภาคชื่นมื่น  กทม.ต่ำเตี้ยติดดินตามเคย


นายนพดล กรรณิกา  ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม  การจัดการและธุรกิจ   มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความสุขมวลรวมของประชาชนภายในประเทศช่วงเดือนตุลาคม 2550 : กรณีศึกษาคนไทย  21  จังหวัด  จำนวน  4,860  คน  ระหว่างวันที่  29  ตุลาคม  -  17 พฤศจิกายน 2550  ว่าประชาชนส่วนใหญ่  73.7%  ติดตามข่าวสารเป็นประจำทุกสัปดาห์อย่างน้อยหนึ่งวัน   ส่วนการประเมินความสุขมวลรวมหรือความอยู่เย็นเป็นสุข   ในช่วงเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน   ความสุขเพิ่มขึ้นจาก 5.94  ในเดือนกันยายน   มาอยู่ที่  6.90  ในตุลาคม   ซึ่งเป็นระดับความสุขที่เพิ่มสูงสุดในรอบปีที่ผ่านมา   ซึ่งเป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่า   ความสุขของประชาชนไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องการเมืองและเรื่องปากท้องเพียงอย่างเดียว


 



"ผลวิจัยพบว่า  ความสุขของประชาชนต่อเรื่องความจงรักภักดีของคนในชาติสูงเป็นอันดับหนึ่ง   ด้วยคะแนนความสุข 9.34 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน  รองลงมาคือความสุขต่อบรรยากาศของคนในครอบครัวได้ 7.47  อันดับสาม  ความสุขต่อวัฒนธรรม   ประเพณีไทย  7.44  อันดับสี่   ความสุขต่อสุขภาพกายได้ 7.10   อันดับห้า   ความสุขต่อหน้าที่การทำงาน  7.07  อันดับหก   ความสุขต่อสุขภาพใจ  6.91  อันดับเจ็ด ความสุขต่อสภาพแวดล้อมที่พักอาศัยได้ 6.78  อันดับแปด  ความสุขต่อบรรยากาศของคนในชุมชนที่พักอาศัยได้ 6.73 อันดับเก้า   ความสุขต่อการใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง  6.69  และอันดับที่สิบได้แก่   ความสุขต่อความเป็นธรรมในสังคม  6.27"  นายนพดลกล่าว


 



นายนพดลกล่าวต่อไปว่า  ความสุขใน 3  อันดับสุดท้าย  คือ  ความสุขต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลปัจจุบันได้ 5.19 เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดือนกันยายนที่ผ่านมาที่ได้ 4.88 ในขณะที่  2  อันดับสุดท้ายคือ   ภาพลักษณ์ของนักการเมืองได้ 4.28 และสถานการณ์ใน  3  จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้  2.62  ซึ่งค่าคะแนนความสุขมวลรวมของประชาชนในทุกกลุ่มปัจจัยเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา  และเมื่อจำแนกออกตามภูมิภาคจะพบว่า   ภาคใต้มีความสุขมวลรวมสูงเป็นอันดับหนึ่งได้  6.99  ตามมาด้วยภาคกลางที่ได้ 6.97   ภาคเหนือได้  6.92  ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้  6.84  และกรุงเทพมหานครได้  6.82 


 


"ผลสำรวจก่อนหน้านี้   ประชาชนในอีสานเคยมีความสุขสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในการสำรวจหลายครั้ง   แต่ 1 ปีที่ผ่านมาประชาชนภาคอื่นๆ  กลับได้ค่าคะแนนความสุขสูงสุดขึ้นมาแทน   ขณะที่ประชาชนในกรุงเทพฯ ยังคงได้ระดับความสุขต่ำสุดเหมือนทุกครั้ง  ทั้งๆ  ที่เป็นเมืองหลวงและมีความเติบโตทางวัตถุและเทคโนโลยีมากที่สุดของประเทศ"  นายนพดลกล่าว


 



นายนพดลกล่าวต่อไปว่า  เมื่อพิจารณาแนวโน้มความสุขของคนไทยต่อบรรยากาศในครอบครัว   พบว่าเพิ่มสูงขึ้นจาก 6.14 ในเดือนกันยายน  มาอยู่ที่ 7.47 ในเดือนตุลาคม  ความสุขต่อวัฒนธรรม   ประเพณี   เพิ่มขึ้นจาก  6.03 มาอยู่ที่ 7.44 ความสุขต่อสุขภาพกายเพิ่มจาก  6.07  มาอยู่ที่  7.10  ความสุขต่อหน้าที่การทำงานเพิ่มจาก 6.11 มาอยู่ที่ 7.07  ความสุขต่อสุขภาพใจเพิ่มจาก  5.84  มาอยู่ที่  6.91  ความสุขต่อสภาพแวดล้อมที่พักอาศัยเพิ่มจาก 5.91  มาอยู่ที่  6.78  ความสุขต่อบรรยากาศภายในชุมชนที่พักเพิ่มจาก 5.87 มาอยู่ที่ 6.73  ความสุขต่อการใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเพิ่มจาก  5.71  มาอยู่ที่  6.69  และความสุขต่อความเป็นธรรมในสังคมเพิ่มขึ้นจาก  5.47  มาอยู่ที่  6.27


 



"ผลวิจัยชี้ว่า ความสุขมวลรวมของประชาชนเพิ่มสูงสุดในรอบปี   แม้ว่าประชาชนเบื่อหน่ายทางการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจ  โดยมีปัจจัยเกื้อหนุนคือ   ได้เห็นพระพลานามัยของในหลวงดีขึ้น   สุขที่เห็นคนไทยแสดงความจงรักภักดีและพบว่าคนไทยหนีเรื่องการเมืองเข้าหาความสุขที่ได้จากบรรยากาศความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว และความสุขของประชาชนต่อวัฒนธรรม  ประเพณี  ที่พุ่งขึ้นมาเป็นอันดับสาม"  นายนพดลกล่าว


 



เขากล่าวอีกว่า   ความสุขของประชาชนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย   การรักษาและเพิ่มความสุขมวลรวมจึงควรใช้วิธีสร้างบันได 5  ขั้น  คือ  ขั้นที่หนึ่ง   การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจว่า   ความสุขแท้จริงและยั่งยืนคืออะไร  ขั้นที่สอง   การเสริมสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นว่า   ความสุขไม่ได้ขึ้นกับเรื่องความเจริญเติบโตทางวัตถุเงินทองเพียงอย่างเดียว   ขั้นที่สาม   การหนุนเสริมการมีส่วนร่วมในหมู่ประชาชน   ตั้งแต่ระดับครอบครัว  ชุมชนและสังคม   แสดงกิจกรรมเพื่อแบ่งปันความสุขให้กันและกัน   ขั้นที่สี่คือ การเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง  ยอมเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อส่วนรวมและผู้อื่นในทางปฏิบัติ  และขั้นที่ห้าคือการรักษาระดับความสุขมวลรวมให้อยู่ระดับสูงอย่างยั่งยืน   และกระจายไปในหมู่ประชาชนตามภูมิภาคต่างๆ  ของประเทศอย่างเท่าเทียม.


 


ที่มา: http://www.thaipost.net


 


 







ต่างประเทศ


 


'สื่อฯปากีสถาน'ประท้วง'มูชาร์ราฟ'สั่งปิดสถานีโทรทัศน์อีก 2 แห่ง 


"สื่อมวลชนปากีสถาน"ชุมนุมประท้วงด้านหน้าสถานีโทรทัศน์อิสระในกรุงอิสลามาบัด กดดันรัฐบาลสั่งปิดสถานีโทรทัศน์เพิ่มอีก 2 แห่งด้าน"รมช.ต่งประเทศ"เรียกร้องยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉิน ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 9 มกราคม2551


 


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สื่อมวลชนกว่า 100 คนชุมนุมประท้วงด้านหน้าสำนักงานสถานีโทรทัศน์จีโอ ในกรุงอิสลามาบัด เพื่อแสดงความไม่พอใจที่ประธานาธิบดีเปรเวซ มูชาร์ราฟ กดดันรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จนต้องสั่งตัดสัญญาณการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์จีโอและเออาร์วาย ที่ออกอากาศและส่งสัญญาณจากนครดูไบตั้งแต่วันศุกร์


 


ผู้ประท้วงบอกว่า นายมูชาร์ราฟ จะต้องถูกโค่นล้มจากตำแหน่งไม่ช้าก็เร็ว หากเขายังใช้อำนาจเผด็จการและไม่ฟังเสียงเรียกร้องของประชาชน ส่วนที่นครการาจี ก็มีผู้สื่อข่าวและประชาชนชุมนุมประท้วงนายมูชาร์ราฟเช่นกัน


 


ก่อนหน้านี้ นายจอห์น เนโกรปอนเต รมช.ต่างประเทศสหรัฐ เรียกร้องให้นายมูชาร์ราฟยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินที่บังคับใช้มาตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 พ.ย. ก่อนที่การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 9 ม.ค.ปีหน้า


 


ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com


 


 


'เวเนฯ'ขู่ซ้ำสหรัฐโจมตีอิหร่านน้ำมันโลกพุ่งเกิน200ดอลล์ 


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : การประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ปิดฉากลงวานนี้ (18 พ.ย.) โดยไม่อาจหาข้อยุติในประเด็นการใช้น้ำมันเป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง ตามที่เวเนซุเอลาเสนอ เนื่องจากถูกคัดค้านจากซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นพันธมิตรชิดใกล้ของสหรัฐ ขณะที่ประชุมเลี่ยงไม่หารือประเด็นเพิ่มผลผลิตน้ำมัน สวนทางท่าทีของสหรัฐและยุโรป ที่พยายามกดดันให้โอเปค เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคน้ำมันในตลาดโลก ท่ามกลางภาวะราคาน้ำมันดิบทะยานพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์


 


ทั้งนี้ประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ของเวเนซุเอลา ได้กล่าวเปิดการประชุมสุดยอดของกลุ่มโอเปค ที่กรุงริยาดห์ ของซาอุดีอาระเบีย ด้วยการเตือนว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งทะยานกว่า 200 ดอลลาร์ ถ้าสหรัฐโจมตีอิหร่าน หรือดำเนินการใดๆ ต่อเวเนซุเอลา บรรดาชาติมหาอำนาจทั้งหลาย ควรช่วยกันกดดันเพื่อหยุดยั้งสหรัฐ ไม่ให้คิดคุกคามกลุ่มชาติโอเปค เพราะสมาชิกกลุ่มโอเปครวมตัวกันเหนียวแน่น สหรัฐไม่ควรดึงเอากลุ่มโอเปคมาเป็นเงื่อนไขในนโยบายด้านต่างประเทศ มิฉะนั้นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอาจพุ่งขึ้นไปถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ไม่ใช่แค่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล


 


นอกจากนี้ผู้นำเวเนซุเอลา ยังเรียกร้องให้สมาชิกกลุ่มโอเปค ร่วมกันทำสงครามเพื่อความชอบธรรมทางสังคม โดยระบุว่าโอเปคควรจะเป็นแนวหน้าในการต่อสู้กับความยากจน


 


อย่างไรก็ตามความเห็นที่ไม่ลงรอยกันภายในกลุ่มโอเปคเกี่ยวกับบทบาทของการเป็นผู้ส่งออกน้ำมัน เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน เมื่อกษัตริย์อับดุลเลาะห์ แห่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นสมาชิกสำคัญของกลุ่มโอเปค และพันธมิตรสำคัญของสหรัฐ แสดงความเห็นในทางสายกลาง โดยตรัสว่าน้ำมันเป็นพลังงานเพื่อการสร้างสรรค์ และจะต้องไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรองบนความขัดแย้ง


 


ประธานาธิบดีชาเวซ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพวกซ้ายจัดและต่อต้านผู้นำสหรัฐอย่างรุนแรง และได้กล่าวเปิดการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากเวเนซุเอลาเคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมโอเปค ที่กรุงคาราคัส เมื่อปี 2543 โดยกลุ่มประเทศโอเปค เพิ่งจะมีการประชุมกันเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 47 ปีแห่งประวัติศาสตร์การก่อตั้ง และการรวมตัวกันก็ด้วยเหตุผลด้านภูมิศาสตร์การเมือง


 


กษัตริย์อับดุลเลาะห์ ทรงปกป้องวัตถุประสงค์ของกลุ่มโอเปค ที่ควบคุมการผลิตน้ำมันของประเทศสมาชิกที่มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันโลก โดยตรัสว่า คนที่ระบุว่า โอเปคเป็นองค์กรที่มีอภิสิทธิ์ทางการเมือง เป็นพวกที่ไม่ยอมรับความจริงที่ว่า โอเปคยึดแนวสายกลางมาโดยตลอด นอกจากนี้ ราคาน้ำมันในปัจจุบันที่เกือบจะแตะ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลยังถือว่าต่ำกว่าเมื่อปี 2523 ที่เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง


 


ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมการประชุมสมาชิกโอเปค 12 ประเทศ ล้วนเป็นระดับผู้นำประเทศ ยกเว้นลิเบีย และอินโดนีเซีย ที่ส่งรองประธานาธิบดีมาร่วมการประชุมแทน โดยสมาชิกโอเปคส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาติในอ่าวเปอร์เซียที่สนับสนุนตะวันตก แต่ยังมีชาติที่ต่อต้านสหรัฐ เช่น อิหร่าน และเวเนซุเอลา เป็นสมาชิกด้วย


 


กลุ่มโอเปค เคยมีประวัติว่าใช้น้ำมันในการส่งออกเป็นอาวุธทางการเมือง เมื่อปี 2516 เพื่อประท้วงที่อิสราเอลรุกรานซีเรียแต่ปัจจุบัน ซาอุดีอาระเบียพยายามตอกย้ำว่า น้ำมันถูกใช้ในทางเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น


 


การประชุมสุดยอดครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์ของกลุ่มโอเปค ที่ผลิตน้ำมันป้อนตลาดโลก 40% แต่ยังคงตกลงกันไม่ได้เกี่ยวกับตัวเลขการผลิต และมีการคาดหมายกันว่า พันธมิตรซ้ายจัดของประธานาธิบดีชาเวซ ในอเมริกาใต้ อย่างเอกวาดอร์จะกลับเข้าเป็นสมาชิกโอเปคอีก ซึ่งจะทำให้กลุ่มนี้มีสมาชิกเพิ่มเป็น 13 ชาติ


 


ปธน.อิหร่านพร้อมตอบโต้หากถูกโจมตี


 


ประธานาธิบดีมาห์มูด อาห์มาดิเนจัด ของอิหร่าน เปิดเผยว่า อิหร่านพร้อมที่จะทำการตอบโต้หากถูกโจมตี แต่ปฏิเสธแนวโน้มการทำสงครามกับสหรัฐ โดยถ้อยแถลงของผู้นำอิหร่านมีขึ้นระหว่างเดินทางเยือนบาห์เรน และมีขึ้นท่ามกลางความวิตกที่เพิ่มขึ้นในอ่าวอาหรับว่า สหรัฐอาจเปิดฉากโจมตีทางทหารต่ออิหร่าน แม้สหรัฐจะยืนยันว่ามุ่งมั่นหาทางออกเกี่ยวกับวิกฤตินิวเคลียร์ด้วยวิธีทางการทูตก็ตาม


 


"เราไม่ต้องการทำสงครามใดๆ ในภูมิภาคนี้ แต่เราก็ได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว และหากมีความหวาดระแวงใดๆ ในเรื่องนี้เกิดขึ้น เราก็พร้อมที่จะตอบโต้" ประธานาธิบดีอาห์มาดิเนจัด กล่าว


 


ที่ประชุมโอเปคเลี่ยงถกเพิ่มกำลังผลิต


 


การประชุมผู้นำกลุ่มโอเปคครั้งนี้ หลีกเลี่ยงที่จะหารือในประเด็นเพิ่มการผลิตน้ำมัน แม้จะมีความวิตกว่าจะเกิดสงครามขึ้นในภูมิภาค ถ้าสหรัฐหรืออิสราเอลทำการโจมตีอิหร่าน จนส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นเฉียด 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แล้วก็ตาม


 


กลุ่มประเทศผู้บริโภคในชาติตะวันตก ที่กำลังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง พยายามกดดันให้กลุ่มโอเปคเพิ่มการผลิตน้ำมัน แต่รัฐมนตรีโอเปค กล่าวว่า แทบไม่มีอะไรที่โอเปคสามารถดำเนินการช่วยเหลือได้เลย เนื่องจากปัจจัยที่อยู่นอกเหนืออำนาจของโอเปคกำลังเป็นสาเหตุผลักดันราคาน้ำมันทะยานขึ้น


 


ที่ประชุมสุดยอดครั้งนี้ จะให้การตัดสินใจว่าจะเพิ่มระดับการผลิตของโอเปค เป็นหน้าที่ของการประชุมกลุ่มโอเปคที่กรุงอาบูดาบีในวันที่ 5 ธ.ค. และแถลงการณ์สุดท้ายของที่ประชุมสุดยอดครั้งนี้ จะพุ่งความสนใจไปที่การเตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศโลก, ปริมาณอุปทานน้ำมันในระยะยาว และบทบาทของพลังงานในประเทศกำลังพัฒนา


 


นายอับดุลเลาะห์ อัล-บาดรี เลขาธิการโอเปค กล่าวว่า โอเปคตั้งใจจะมีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยีการจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอน (ซีซีเอส)


 


ผู้นำเวเนฯ เตรียมเยือนอิหร่าน


 


นายโมฮัมหมัด อาลี ฮอสเซนี โฆษกกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน แถลงว่า ประธานาธิบดีชาเวซ ของเวเนซุเอลา พร้อมด้วยรัฐมนตรี 5 กระทรวงสำคัญ ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ น้ำมัน และกระทรวงอุตสาหกรรม กำหนดเดินทางถึงอิหร่านค่ำวานนี้ (18 พ.ย.) เพื่อร่วมลงนามในข้อตกลงด้านอุตสาหกรรม ระหว่างการเยือน 1 วัน


 


ทั้งนี้ แม้ว่าอิหร่านและเวเนซุเอลาจะเป็นประเทศที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม แต่ในช่วงปีที่ผ่านมากลับสานสัมพันธ์กันมากขึ้น เนื่องจากต่างก็มีสหรัฐเป็นคู่อริเหมือนกัน


 


ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com 


 


นายกฯ จีน เยือน สิงค์โปร์ หารือข้อตกลงทางการค้า 


นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ของจีน มีกำหนดเดินทางเยือนสิงคโปร์ วันนี้ เพื่อหารือร่วมกับผู้แทนจากกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งญี่ปุ่น และเกาหลีใต้  ในการเดินทางเยือนสิงคโปร์เป็นเวลา 5 วันครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเหวิน จะหารือกับนายกรัฐมนตรีลี เซียน หลุง ของสิงคโปร์ ในประเด็นว่าด้วยความคืบหน้าของข้อตกลงการค้าเสรี รวมทั้งลงนามในข้อตกลงตั้งเขตเศรษฐกิจร่วมในเมืองเทียนจิน ทางภาคเหนือของจีน ขณะที่เจ้าหน้าที่ต่างประเทศระดับสูงของจีน ระบุว่า โครงการตั้งเขตเศรษฐกิจร่วม เป็นประเด็นหลักของข้อตกลงความร่วมมือระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย และว่า ข้อตกลงดังกล่าวสอดคล้องกับกระแสโลกที่ปัจจุบันเน้นการพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม


 


มีการคาดหมายว่า ผู้นำทั้ง 2 ฝ่าย จะร่วมลงนามในข้อตกลงความร่วมมือหลายฉบับ รวมทั้งผลักดันข้อตกลงเปิดเสรีการค้า โดยในวันจันทร์นี้  นายกรัฐมนตรีจีน มีกำหนดปราศรัยชี้แจงนโยบายเศรษฐกิจจีน จากนั้นจะร่วมพบปะกับคณะผู้นำกลุ่มประเทศอาเซียน และหารือกับผู้นำจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ในประเด็นสำคัญว่าด้วยการยับยั้งโครงการนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ ต่อจากนั้นจะเปิดการพบปะครั้งแรกกับนายกรัฐมนตรียาสุโอะ ฟูกูดะ ผู้นำญี่ปุ่น ในวันอังคาร


 


ที่มา: เว็บไซต์ศูนย์ข่าวแปซิฟิก


 







การศึกษา


 


ครูค้านพรบ.ครูฉบับใหม่อ้างเป็นของเผด็จการ


สมาพันธ์ครูแห่งประเทศไทย คัดค้านแก้ไขพรบ.ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 อ้างเป็นของคณะเผด็จการ จี้เปิดประชาพิจารณ์ทั่วประเทศ


 



วันที่ 18 พ.ย.  ที่ห้องประชุมสหกรณ์ออมทรัพย์ศรีสะเกษ ต.หนอกครก อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ชมรมครูประชาบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เชิญคณะกรรมการประชุมถกปัญหาของครูทั่วประเทศ โดยได้เชิญ สภามนตรีสมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย, ชมรมครูประถมศึกษา จากทั่วประเทศ โดยมี นายสนอง ทาหอม ประธานสภามนตรีสมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย, นายประภาส ศาสตร์แก้ว ประธานชมรมครูประชาบาล, นายวิวัฒน์ รุ้งแก้ว ผู้แทนครูศรีสะเกษ, นายสุรินทร์ อินทรักษา เลขาธิการ ส.ค.ท. และนายคจิตร พงษ์คำพันธ์ อ.กค.ศ.จากจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยผู้แทนครูจากทั่วประเทศกว่า 500 คน มานำเสนอในเรื่องพระราชบัญญัติครูฉบับใหม่ที่กำลังจะออกมา


 



คณะครูทุกคนหวั่นจะเกิดการยึดอำนาจ จึงได้มารวมตัวกันถกปัญหาของร่าง ข้อดีข้อเสีย ซึ่งที่ประชุมสรุปจะมีการยื่นหนังสือต่อ ประธานสภานิติบัญญัติ ขอให้ชะลอการออกร่างกฎหมายดังกล่าว เพราะอำนาจการร่าง พ.ร.บ.ใหม่นี้อยู่ในมือของคณะรัฐมนตรีที่มาจากการปฎิวัติ ขอให้รอรัฐบาลจากประชาชนที่จะมีการเลือกตั้งในอีกไม่ถึง 2 เดือน ซึ่งคณะที่ประชุมได้มีการเปิดอภิปรายกันเป็นจำนวนมาก


 



นายประภาส ศาสตร์แก้ว ประธานชมรมครูประชาบาลฯ และคณะ ทั้งจากภาคเหนือ, ภาคตะวันออกภาคอีสาน และภาคใต้ ได้ร่วมกันแถลงข่าวแก่สื่อมวลชนว่า เรียกร้องให้ยุติการเสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 โดยไม่มีเงื่อนไข และให้กลับมารับฟังความคิดเห็นโดยการประชาพิจารณ์จากข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาตลอดทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง, ให้แก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ฉบับปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย


 



การให้มีและเลื่อนวิทยฐานะของข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ต้องคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนเป็นสำคัญ ไม่ให้ยึดการตรวจ และประเมินผลงานทางวิชาการจากเอกสารประกอบการพิจารณาเลื่อนเป็นสำคัญ, ให้ยุติการถ่ายโอนการศึกษาไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ( อปท.) การจัดการศึกษาต้องให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้จัดเท่านั้น องค์กรอื่นให้เป็นผู้มีส่วนร่วม โดยให้การส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อเป็นการลดความขุดแย้งในองค์กร และเป็นเอกภาพกในการจัดการศึกษา


 


โดยชมรมครูประชาบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะร่วมกับ องค์กรครูทั่วประเทศเคลื่อนไหว เพื่อผลักดันให้การปฎิรูปการศึกษาเป็นไปอย่างมีคุณภาพ และเกิดความเป็นธรรมต่อการปฎิรูปการศึกษาตามมาตรา 80 และมาตรา 303 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พ.ศ.2550 ต่อไปจนถึงที่สุด ซึ่งในวันพรุ่งนี้ ( 19 พย.2550 ) จะได้นำคณะไปยื่นหนังสือต่อประธานสภานิติบัญญัติ ตามข้อสรุปในวันนี้ทุกประการ และหากยังมีการดำเนินการต่อ คณะครูจากทั่วประเทศจะชุมนุมใหญ่ที่รัฐสภาอีกครั้ง


 


ที่มา: http://www.komchadluek.net


 


สหภาพครูวอนเสมา 1 สางปัญหาถ่ายโอนรร. 


นายเพิ่ม หลวงแก้ว ประธานสหภาพครูแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตนและตัวแทนผู้แทนครูจะเข้าพบ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ ในวันที่ 19 พ.ย.นี้ เนื่องจากขณะนี้ครูต้องการความกระจ่างในประเด็นปัญหาหลายเรื่อง อาทิ การกระจายอำนาจและเอกภาพการจัดการศึกษาของชาติ นโยบายการถ่ายโอนสถานศึกษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนและมีปัญหาการปฏิบัติงานในพื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะการถ่ายโอนสถานศึกษา ในปี 2550  เพราะเมื่อโรงเรียนถ่ายโอนแล้วแต่ครูบางส่วนไม่โอนไปด้วย ทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ก็มีนโยบายให้ครูอยู่ช่วยราชการไปก่อนเป็นเวลา 1 ปี แต่ปรากฏว่าเมื่อครูช่วยราชการไม่ได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาผู้บริหารสถานศึกษาก็จะถูกกดดันด้านสวัสดิการต่าง ๆ  เช่น มีหนังสือแจ้งไปถึงครูเหล่านั้นว่าไม่มีสิทธิอยู่บ้านพักครูแล้ว หรือมีปัญหาเรื่องชั่วโมงสอน ทำให้ครูเหล่านี้พยายามวิ่งเต้นเพื่อออกนอกพื้นที่ให้เร็วที่สุด เป็นต้น


 



ประธานสหภาพครูแห่งชาติ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เพื่อขอให้มีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ ตามข้อเสนอของคณะทำงานที่มี ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผอ.สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เป็นประธาน ซึ่งองค์กรครูไม่ติดใจที่จะมีการประเมินในลักษณะเชิงประจักษ์ คือ ประเมินจากการปฏิบัติงานจริงที่โรงเรียน ไม่ต้องประเมินที่กระดาษ แต่ต้องการให้แก้ไขร่างหลักเกณฑ์ที่บอกว่า ครูที่ขอรับการประเมินนั้น สถานศึกษาจะต้องผ่านการประเมินจาก สมศ.ก่อน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมสำหรับครู เพราะถ้าโรงเรียนไม่ผ่านการประเมิน แต่ไม่ว่าครูสอนดีขนาดไหนครูคนนั้นก็จะไม่มีสิทธิขอรับการประเมินวิทยฐานะ ดังนั้น ศธ.จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยด่วน


 


ที่มา: http://www.dailynews.co.th


 


ยูเนสโกยกย่องต้นราชสกุล "สนิทวงศ์" 


คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รมว.วัฒนธรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้สนับสนุนการเสนอพระนาม พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ซึ่งเป็นต้นราชสกุล "สนิทวงศ์" ภายใต้โครงการเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของยูเนสโก ประจำปี 2551-2552 นั้น ในการประชุมสมัยสามัญขององค์การยูเนสโก ครั้งที่ 34 ที่ประชุมคณะกรรมการว่าด้วยแผนงานและวิเทศสัมพันธ์ (Programme and External Relation Commission : PX) ซึ่งประชุมระหว่างวันที่ 18-23 ต.ค.ที่ผ่านมา ณ กรุงปารีส ได้มีมติรับรองให้ยูเนสโกร่วมเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ จำนวน 67 รายการ โดยมีพระนาม พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ในวาระครบรอบ 200 ปีของการประสูติ รวมอยู่ด้วยในลำดับที่ 64 ดังนั้น ในวันที่ 19 พ.ย.นี้ วธ.จะร่วมกับราชสกุล สนิทวงศ์ จัดแถลงข่าวการเฉลิมฉลองพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท เป็นบุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของยูเนสโก เพื่อเทิดพระเกียรติและเผยแพร่พระประวัติและพระกรณียกิจให้คนไทยได้เรียนรู้ต่อไป


 



 "ประเทศไทยได้เสนอข้อมูลพระประวัติ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ให้แก่ยูเนสโก ตั้งแต่ทรงประสูติ จนถึงสิ้นพระชนม์ ในวันที่ 16 ส.ค. 2414 ซึ่งพระองค์ทรงเป็นบุคคลสำคัญที่สนับสนุนการสถาปนาสันติวัฒนธรรม โดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างอารยธรรม อันเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญของยูเนสโกในการส่งเสริมการสมานฉันท์ ในสังคม ความเข้าใจ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความสำเร็จในการเจรจาทางการทูตและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรม ทำให้พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักในเอเชีย ยุโรปและสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ทรงเป็นนักอักษรศาสตร์ที่มีผลงานด้านวรรณกรรม ประวัติศาสตร์ การเมือง และสมุนไพร มีผลงานเป็นที่ปรากฏในฐานะเป็นนักปราชญ์ กวี นักเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพ นักวิทยาศาสตร์ นักการทูตที่ได้รับการยกย่องจากสถาบันการศึกษา ตลอดจนมูลนิธิต่าง ๆ ด้วย" รมว.วธ.กล่าว.


 


ที่มา: http://www.dailynews.co.th


 


 


พบ!โบราณวัตถุอายุกว่า3หมื่นปีที่เขาหน้าวังหมีกระบี่ 


กระบี่ - กรมศิลปากรเผยนักโบราณคดีสำรวจพบเครื่องมือหิน-เขี้ยวสัตว์โบราณในถ้ำเขาหน้าวังหมี คาดอายุมากกว่า 3 หมื่นปีฝังใต้พื้นดิน หวั่นการทำเหมืองหินของเอกชนทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทำหนังสือถึงหน่วยงานเกี่ยวข้องสั่งระงับชั่วคราว


 


นายอาณัติ บำรุงรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 15 ภูเก็ต กรมศิลปากร เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ชุดสำรวจขุดพบซากโบราณวัตถุอายุกว่า 30,000 ปี ในถ้ำเขาหน้าวังหมี ต.ทับปริก อ.เมือง จ.กระบี่ จำพวกเศษภาชนะดินเผา เครื่องถ้วยโบราณติดอยู่กับพื้นดินในถ้ำจำนวนหนึ่ง


 


จากการวิเคราะห์ทางวิชาการโบราณคดีถ้ำ เบื้องต้นพบว่า ถ้ำเขาวังหมีเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณ มีมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์อาศัยอยู่ ซึ่งภูเขาถ้ำดังกล่าวยังเป็นกลุ่มภูเขาเดียวกับถ้ำเขานาไฟไหม้ ถ้ำเขาหลังโรงเรียน ที่อยู่บริเวณหลังโรงเรียนบ้านทับปริก ซึ่ง ศ.ดร.ดักลาส แอนเดอร์สัน นักโบราณคดี ได้กำหนดไว้ว่า มีอายุราว 27,000-37,000 ปี และ ศ.ดร.ไมด์ มอร์วูด จากมหาวิทยาลัยนิวอิงแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย เดินทางเข้าไปสำรวจเมื่อเดือนกรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมา โดยพบหลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมากอยู่สูงจากพื้นดินเชิงเขาประมาณ 10-12 เมตร มีเปลือกหอยเกาะติดตามเพิงผาเป็นแผงยาว กระดูกสัตว์ใหญ่โบราณฝังอยู่ใต้พื้นดินในถ้ำ


 


โดยนักโบราณคดีชาวออสเตรเลียอธิบายลักษณะของกลุ่มถ้ำหลังโรงเรียนว่า เดิมเคยเป็นถ้ำ ต่อมาเพดานถ้ำถล่มลงมา ลักษณะนี้จะพบแหล่งโบราณคดีที่มีอายุเก่าแก่มาก ซึ่งในถ้ำหลังโรงเรียนพบร่องรอยหลุมฝังศพ โครงกระดูกมนุษย์ และสัตว์ เศษภาชนะดินเผาลายเชือกทาบ เครื่องมือทำจากเขี้ยว และเขาสัตว์ของกระดูกขนาดใหญ่ เปลือกหอย


 


รวมทั้งเครื่องมือหินกะเทาะ ใช้ในการดำรงชีวิตล่าสัตว์ในสมัยยุคหินกลาง ซึ่งเดิมเป็นแผ่นดินใหญ่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแผ่นดินติดต่อกันกับหมู่เกาะพิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เป็นยุคของการอพยพครั้งแรกลงไปทางใต้ ไปสู่นิวกินี และออสเตรเลีย นับเป็นแหล่งโบราณคดีที่ควรศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนา และการศึกษาพัฒนาการของมนุษย์ในทวีปเอเชีย และเป็นข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์โลกยุคแรก ๆ ของทวีปเอเชียได้เป็นอย่างดี


 


ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 15 ภูเก็ต กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันบริเวณกลุ่มภูเขาถ้ำดังกล่าวต้องมีการศึกษาทางโบราณคดี โดยเฉพาะเขาหน้าวังหมี จะมีการทำเหมืองหินของบริษัทเอกชน ตนและนักโบราณคดีกับชาวบ้านเกรงว่า แรงระเบิดหินจะทำลาย และสร้างความเสียหายหลักฐานทางโบราณคดีกับภูเขาถ้ำลูกอื่น ๆ ในพื้นที่ใกล้กัน


 


จึงได้ทำหนังสือแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดกระบี่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ขอให้มีคำสั่งระงับการทำสัมปทานเหมืองหินเป็นการชั่วคราวก่อน เพื่อให้นักโบราณคดีเข้าไปสำรวจเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่า จะยังมีโบราณวัตถุอยู่ในถ้ำมากกว่านี้อย่างแน่นอน


 


ที่มา www.manager.co.th


 


 







คุณภาพชีวิต - สิ่งแวดล้อม


 


 ฝูงเรือญี่ปุ่นเริ่มออกล่าวาฬพันธุ์หายากเป็นครั้งแรกแล้ว 


นิสชิน ระวางบรรทุก 8 พันตันของญี่ปุ่นได้แล่นออกจากท่าเรือชิโมโนเซกิ  ไปยังมหาสมุทรแอนตาร์กติก พร้อมกับเรืออีกหลายลำวันนี้ เพื่อเตรียมล่าวาฬหลายชนิด รวมทั้งวาฬหลังโหนก ซึ่งครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่มีการล่าวาฬชนิดนี้


 



กลุ่มกรีนพีซ ซึ่งเป็นกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเปิดเผยว่า ฝูงเรือของญี่ปุ่นต้องการจะล่าวาฬกว่า 1 พันตัวก่อนที่จะแล่นกลับท่าในต้นปีหน้า ในจำนวนนี้มีวาฬฟิน ซึ่งเป็นชนิดที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ 50 ตัวและวาฬหลังโหนก ซึ่งมีท่ากระโดดน้ำที่เป็นเอกลักษณ์เป็นที่นิยมของนักชมวาฬอีก 50 ตัวรวมอยู่ด้วย



อย่างไรก็ตาม เรือเอสเปอรันซาของกลุ่มกรีนพีซได้ลอยลำรออยู่ในน่านน้ำนอกชายฝั่งของญี่ปุ่นเตรียมสกัดฝูงเรือดังกล่าวเพื่อขอให้เดินทางกลับท่าและยุติการล่าวาฬแล้ว แต่หากไม่สำเร็จ เรือเอสเปอรันซาจะติดตามฝูงเรือญี่ปุ่นไปน่านน้ำทางใต้เพื่อประท้วงการไล่ล่าวาฬด้วย


 



ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์


 


อานุภาพยาลดอ้วนไม่ขลังจริง ปริมาณน้ำหนักยุบแค่จิ๊บจ๊อย 


งานวิจัยของแคนาดาที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารบริทิช เมดิคัล เจอร์นัล แจ้งว่า ผู้ป่วยที่กินยาลดความอ้วนนั้น สามารถรีดน้ำหนักลงไปได้ในปริมาณเล็กน้อย และยังคงมีน้ำหนักเกินอย่างเห็นได้ชัด



ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ยาประเภทนี้ไม่สามารถ ให้ความเป็นอยู่อย่างมีสุขภาพดีได้ แต่ควรจะกินอาหารให้น้อย และออกกำลังให้มาก จะเป็นเรื่องสำคัญกว่า จากการศึกษาของศาสตราจารย์ราช พัดวัล กับคณะที่มหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตาพบว่า ในหลายกรณีการกินยาลดความอ้วน ให้ผลในการลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อย โดยพวกเขาได้ ทบทวนหลักฐานจากการทดลองที่มีการควบคุมการให้ยาหลอก 30 ราย เกี่ยวพันกับคนเกือบ 20,000 คน ที่ให้กลุ่มผู้ใหญ่ที่เข้าร่วมทดลองได้กินยาลดความอ้วน 1 ใน 3 ชนิด เป็นเวลาหนึ่งปี หรือนานกว่านั้น ผลปรากฏว่าอาสาสมัครที่เข้าร่วมทดลองยังคงมีน้ำหนักเกิน โดยเฉลี่ยน้ำหนัก 100 กก. ตัวยาทั้งสามชนิดที่ใช้ในการทดลองสามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 3-5 กก.


 



ผู้ป่วยที่กินยาลดความอ้วนสามารถลดน้ำหนักอย่างเห็นได้ชัดและประสบความสำเร็จจริงๆ ประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกแต่ก็ไม่มีเหตุผลชัดเจน ที่จะบอกได้ว่าการที่ลดน้ำหนักได้ประสบผลสำเร็จ นั้นมีผลพอเพียงต่อการมีสุขภาพดี.


 


ที่มา: http://www.thairath.co.th


 


หญิงตั้งท้องอย่านิ่งดูดาย แพทย์ยุให้ออกกำลังบ้าง 


นักวิจัยของสหรัฐฯกลับเปลี่ยนใจใหม่เสียแล้ว กลับหันมายุสตรีมีครรภ์ อย่าพากันอยู่นิ่ง ให้ ออกกำลัง จะให้คุณทั้งกับแม่และลูก ต่างกับเมื่อไม่นานนี้ ที่พากันห้ามหญิงท้องออกกำลังเป็นแถว



นักวิจัยของวิทยาลัยสูติแพทย์และนรีเวชแพทย์ สหรัฐฯ ได้กล่าวแนะนำผู้หญิงมีครรภ์ ให้พากันออกกำลังเสีย "การออกกำลังขณะตั้งครรภ์เป็นของจำเป็นเพราะมันจะเป็นคุณทั้งทารก ในครรภ์และมารดา การปฏิบัติตัวตามโปรแกรมการออกกำลัง เป็นวิธีการที่ดีเยี่ยมที่สุดแก่ทั้งคู่ ช่วยให้ร่างกายสมบูรณ์และจิตใจสบาย"


 



นักวิจัยลอรา ไรเลย์ กล่าวในรายงานการศึกษาต่อไปว่า "ผู้หญิงระหว่างตั้งท้องจำเป็นจะต้อง รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง นอกจากจะเป็นผลดีกับลูกในท้องแล้ว ยังจะช่วยให้คลอดง่าย เป็นผลดีกับทั้งแม่และลูก" และได้บอกเสริมว่า แต่ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติตัวอย่างไร ควรจะปรึกษาหมอดูก่อน เหตุผลก็คือ บางรายอาจจะมีปัญหาจากอาการแทรกซ้อนบางอย่าง และไม่ควรจะออก กำลัง เพื่อให้มีอัตราการเต้นของหัวใจตามเป้า


 


 ที่มา: http://www.thairath.co.th

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net