Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis


ส่งความสุขแด่ผู้อ่านประชาไท


ขอให้มีความสุขทุกท่านในปีใหม่


พ.ศ. 2551


 


 


 


 


 


นิทานของเอลซุป


กำเนิดแห่งสี


 


รองผู้บัญชาการมาร์กอส


ตุลาคม ค.ศ.1994


--------------------------------------------------------------------------


 


 


ผู้เฒ่าดอนอันโตเนียวชี้นกแก้วมาคอว์ตัวหนึ่งที่กำลังบินตัดท้องฟ้ายามบ่าย "ดูนั่น" แกพูด ผมมองดูแถบริ้วสีสันจัดจ้านตัดกับหมอกมัวทึมเทาที่บอกให้รู้ว่า พายุฝนกำลังตั้งเค้า "มันดูไม่เหมือนนกจริงๆ นกอะไรจะมีสีมากมายขนาดนี้" ผมพูดขณะเดินขึ้นไปถึงยอดเนิน ผู้เฒ่าดอนอันโตเนียวนั่งลงบนโคกเล็กๆ พ้นจากโคลนที่เฉอะแฉะตลอดเส้นทางหลักสายนี้ ผู้เฒ่าหอบหายใจขณะมวนยาสูบมวนใหม่ ผมเดินต่อไปอีกสองสามก้าว แล้วค่อยรู้ว่าแกหยุดพักอยู่ข้างหลัง ผมจึงเดินย้อนกลับไปนั่งลงข้างๆ "พ่อเฒ่าว่าเราจะไปถึงเมืองก่อนฝนลงเม็ดไหม?" ผมถามพลางจุดกล้องยาสูบ ผู้เฒ่าดอนอันโตเนียวไม่มีทีท่าว่าได้ยินคำถาม แกมัวแต่มองนกเงือกฝูงหนึ่ง ในมือของผู้เฒ่า บุหรี่รอคอยเปลวไฟเพื่อจะได้เริ่มลามไหม้เป็นควันแช่มช้า แกกระแอมให้คอโล่ง จุดบุหรี่และขยับตัวให้สบายเพื่อเริ่มเล่าแช่มช้า:


 


 


กำเนิดแห่งสี


นกแก้วมาคอว์ไม่ได้มีสีสันมาตั้งแต่ต้น เมื่อก่อนมันแทบไม่มีสีเลย มันสีเทาๆ ทั้งตัวและมีขนสั้นๆ หรอมแหรม เหมือนลูกไก่เปียกน้ำ มันเป็นแค่นกชนิดหนึ่งในจำนวนมากมายหลายชนิดที่อุบัติขึ้นในโลก ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าอุบัติขึ้นมาอย่างไร เพราะแม้แต่เหล่าเทพเจ้าก็ไม่รู้ว่าใครสร้างพวกมันขึ้นมา โลกก็เป็นแบบนี้แหละ เหล่าเทพเจ้าตื่นขึ้น หลังจากราตรีกล่าวแก่ทิวาว่า "ข้ามาไกลพอแล้ว" ขณะที่ชายหญิงกำลังนอนหลับหรือกำลังร่วมรัก เพราะการร่วมรักคือวิธีอันงดงามที่จะทำให้เหนื่อยและนอนหลับสนิท เหล่าเทพเจ้ากำลังวิวาทกัน เทพเจ้าพวกนี้วิวาทกันเสมอเพราะต่างก็ชอบพาลหาเรื่อง ไม่เหมือนเทพเจ้ากลุ่มแรก นั่นคือเทพทั้งเจ็ดที่ให้กำเนิดโลก เทพเจ้าพวกนี้ทะเลาะกันเพราะโลกน่าเบื่อมาก มีสีอยู่แค่สองสี และความโกรธขึ้งของเหล่าเทพเจ้าก็เพราะมีสีสองสีเท่านั้นแบ่งกันระบายโลก สีหนึ่งคือสีดำที่ราตรีส่งลงมา ส่วนอีกสีหนึ่งคือสีขาวที่เดินในยามทิวา ยังมีสีที่สามที่ไม่ใช่สีจริงๆ มันคือสีเทาที่ระบายยามพลบและยามอรุณ เพื่อมิให้สีดำกับสีขาวเดินมาชนกัน แม้ว่าเทพเจ้าเหล่านี้ชอบทะเลาะกันก็จริง แต่พวกเขาก็ฉลาด เหล่าเทพมาประชุมและลงมติว่าจะสร้างสีให้มีมากขึ้น เพื่อให้การเดินและการร่วมรักน่ารื่นรมย์กว่านี้สำหรับหญิงชายชาวค้างคาวทั้งหลาย


 


เทพตนหนึ่งเริ่มออกเดินเพื่อให้ความคิดคิดได้ดีขึ้น เขาใช้ความคิดคิดอย่างหนักจนไม่ทันมองว่าตนเดินไปทางไหน เขาสะดุดหินก้อนใหญ่จนหัวคะมำและเลือดไหลโชก หลังจากสบถและตะโกนด้วยความโมโหพักใหญ่แล้ว เทพจึงแลเห็นเลือดของตนและสังเกตว่าเลือดมีสีแตกต่างจากสองสีที่มีอยู่ เขาจึงวิ่งกลับไปตรงที่เทพตนอื่นประชุมกันและอวดสีใหม่ เหล่าเทพตั้งชื่อสีนั้นว่า "สีแดง" สีที่สามจึงถือกำเนิดขึ้น


 


หลังจากนั้น เทพอีกตนหนึ่งออกตามหาสีที่จะใช้ระบายความหวัง เขาตามหาสีนั้นจนเจอ แม้ต้องใช้เวลาไปไม่น้อย และพาสีนั้นกลับมาอวดแก่สมัชชาเทพ เหล่าเทพตั้งชื่อสีนี้ว่า "สีเขียว" สีที่สี่จึงถือกำเนิดขึ้น เทพอีกตนเริ่มขุดลึกลงไปในโลก "นั่นท่านกำลังทำอะไร?" เทพตนอื่นถาม "ข้ากำลังตามหาดวงใจของโลก" เทพตนนั้นตอบ พลางโยนมูลดินกระเด็นไปทั่ว ไม่ช้า เขาก็พบดวงใจของโลกและเอามาอวดให้เทพตนอื่นๆ ดู เหล่าเทพตั้งชื่อสีที่ห้าว่า "สีน้ำตาล"


 


เทพอีกตนไต่ขึ้นไปๆ ให้สูงที่สุด "ข้าจะไปดูว่าโลกสีอะไร" เขาบอก เขาไต่ขึ้นไป ไต่ขึ้นไป เมื่อขึ้นไปสูงลิบแล้ว เขามองลงมาและเห็นสีของโลก แต่เขาไม่รู้จะนำสีนั้นกลับลงมาที่ที่ประชุมเทพอย่างไร เขาจึงได้แต่มองแล้วมองเล่าเป็นเวลานานแสนนานกระทั่งตาบอดไปจากการมอง เพราะเขามองนานแสนนานจนสีของโลกผนึกแน่นในดวงตา เขาค่อยๆ มะงุมมะงาหราลงมา สะดุดไปตลอดทาง เมื่อมาถึงสมัชชาเทพ เขาบอกแก่เหล่าเทพว่า "ข้านำสีของโลกกลับมาในดวงตาของข้า" เหล่าเทพตั้งชื่อสีที่หกว่า "สีฟ้า"


 


เทพอีกตนกำลังค้นหาสีเมื่อได้ยินเสียงเด็กหัวเราะ เขาค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ๆ เงียบๆ พอเด็กเผลอ ในชั่วเสี้ยวกะพริบตา เขาก็ขโมยรอยยิ้มของเด็กไปและทิ้งให้เด็กร้องไห้ เพราะเหตุนี้เอง เราถึงพูดกันว่า เด็กๆ เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็หัวเราะ เพราะเทพขโมยเสียงหัวเราะของเด็กไปในชั่วกะพริบตานั่นเอง เทพนำรอยยิ้มของเด็กกลับมาและเหล่าเทพตั้งชื่อสีที่เจ็ดว่า "สีเหลือง"


 


พอถึงตอนนั้น เหล่าเทพก็เหนื่อยล้า จึงพากันไปดื่มโปโซลและหลับใหล ทิ้งสีต่างๆ ไว้ในกล่องเล็กๆ ที่โยนไว้ใต้ต้นเซย์บา


 


กล่องเล็กๆ ใบนั้นปิดฝาไม่สนิท สีต่างๆ จึงออกมาละเล่นและร่วมรักกัน สีใหม่ๆ ที่แตกต่างออกไปจึงปรากฏขึ้น ต้นเซย์บามองดูสีทั้งหลายและแผ่ร่มใบปกคลุมมิให้สายฝนชะล้างสีไปสิ้น เมื่อเหล่าเทพกลับมา คราวนี้ไม่ได้มีแค่เจ็ดสี แต่มีสีเพิ่มขึ้นมากมาย เหล่าเทพมองดูต้นเซย์บาและกล่าวว่า "ท่านให้กำเนิดสีสันต่างๆ ท่านจะเป็นผู้ดูแลโลก เราจะระบายสีโลกนี้จากยอดไม้ของต้นท่าน"


 


เหล่าเทพปีนขึ้นไปยอดต้นเซย์บา และจากยอดไม้นั้น เหล่าเทพเริ่มโยนสีไปตามที่ต่างๆ พวกเขาทำแบบนั้นแหละ สีฟ้าปลิวไปติดที่ท้องฟ้าบ้างที่ท้องน้ำบ้าง สีเขียวตกลงบนต้นไม้และพืชพันธุ์ สีน้ำตาล ซึ่งหนักกว่าสีอื่นๆ ตกลงบนโลก สีเหลืองที่มาจากเสียงหัวเราะของเด็กปลิวขึ้นไปสูงโพ้นจนระบายพระอาทิตย์ สีแดงหยดลงในปากของผู้คนและสัตว์ทั้งหลาย เมื่อกลืนกินลงไป สีแดงจึงระบายในปากจนแดง ส่วนสีดำกับสีขาวนั้นมีอยู่บนโลกอยู่แล้ว การที่เหล่าเทพโยนสีไปมั่วๆ ไม่ดูด้วยซ้ำว่าโยนไปตรงไหน ทำให้สีเลอะเทอะไปหมด มีบางสีกระเซ็นไปโดนผู้คน ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนจึงมีสีผิวต่างกันและคิดต่างกัน


 


สักพักหนึ่ง เหล่าเทพชักเหนื่อยและอยากไปนอนต่อ เทพพวกนี้ไม่เหมือนเทพกลุ่มแรกที่ให้กำเนิดโลก เทพพวกนี้เอาแต่นอนท่าเดียว ดังนั้น เนื่องจากเหล่าเทพไม่อยากลืมสีหรือมองไม่เห็นสี เหล่าเทพจึงหาวิธีรักษาสีไว้ พวกเขากำลังขบคิดว่าจะทำอย่างไรจนแน่นหน้าอกเมื่อมองเห็นนกแก้วมาคอว์เข้า เหล่าเทพคว้าตัวนกแก้วไว้และเริ่มเทสีทั้งหมดลงบนตัวมัน พวกเขาต้องยืดขนนกให้ยาวด้วยเพื่อจะได้เทสีลงไปได้หมด นกแก้วมาคอว์ได้สีสันต่างๆ มาแบบนี้เอง เดี๋ยวนี้นกแก้วมาคอว์เยื้องย่างไปมา เพื่อให้ชายหญิงไม่ลืมว่า มีสีสันมากมายหลายสีและมีวิธีคิดมากมายหลายแบบในโลก และโลกนี้จะมีความสุขเพียงไรหากทุกสีสันและทุกความคิดต่างมีที่ทางของตนบนโลก


 


โปโซล (pozol) เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากข้าวโพด


 


ต้นเซย์บา (ceiba) เป็นต้นไม้ในวงศ์เดียวกับต้นนุ่น มีอยู่ในทวีปอเมริกา ค้างคาวเป็นสัตว์ที่ช่วยในการผสมเกสรของต้นเซย์บา ชาวอินเดียนแดงเผ่ามายานับถือต้นเซย์บาเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ คงเพราะเหตุนี้เอง ในนิทานเรื่องนี้จึงเรียกคนว่า "หญิงชายชาวค้างคาว"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net