อัครพงษ์ ค่ำคูณ
วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในกรณีเขาพระวิหาร "ข้อหา" ของกลุ่มที่อ้างว่าต้องการ "เรียกร้องดินแดนคืน" เช่น พันธมิตรฯ หรือ ธรรมยาตราฯ ใช้เป็นเครื่องมือ "กล่าวหา" บุคคลที่ออกมาแสดงความเห็นต่างจากพวกเขา คือ ข้อหา "นักวิชาการขายชาติ"
ผู้เขียนถูกเองก็ถูก "ยัดเยียด" ข้อหาประเภท "เขียนบทความเข้าข้างเขมร" ทำให้ "หมดสิ้นความเป็นคนไทย" ไปโดยปริยาย เพราะนำเสนอบทความเรื่อง "สนธิสัญญาและแผนที่ไทย (สยาม) - กัมพูชา พรมแดนความไม่รับรู้ของสื่อสาธารณะ" ใน มติชนรายวัน [28 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11189 หน้า 6]
ครั้งนี้ ผู้เขียนจึงมีจุดประสงค์ที่จะสื่อสารกับ "สังคมแห่งภูมิปัญญา" มิได้เฉพาะเจาะจงเพื่อ "ตอบโต้" ตัวบุคคลหรือกลุ่มใดโดยเฉพาะ แต่ต้องการตอกย้ำเจตนารมณ์เริ่มแรกของผู้เขียนที่มุ่งพยายามฉายภาพอีกด้านหนึ่งของบรรดาวาทกรรม "หลุ่มดำ - จุดดับ" ที่กำลังวนเวียน "หลอกหลอน" กลายเป็น "อาณาจักรแห่งความหวาดระแวง และ มืดบอดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน" ในสังคมปัจจุบัน
ประการแรก ท่ามกลางความขัดแย้งเรื่องดินแดนและอธิปไตยของชาติ เกิดวาทกรรมประเภท "ทางขึ้นเขาพระวิหารอยู่ฝั่งประเทศไทย" ทำให้ "ผู้รู้อิสระ" บางคน ถึงกับเสนอแนวคิดว่า "ปิดทางขึ้นไปเลย อีกไม่นานเดี๋ยวเขมรก็อดตายไปเอง" แต่เมื่อมีปัญหาระหว่างประเทศ ปรากฏว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุดมการณ์ "ความหวงแหนผืนแผ่นดิน" กลับกลายเป็นพี่น้องทหาร ที่ต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุปะทะกันตามแนวชายแดน พร้อมกับราษฎรในพื้นที่ซึ่งมีชีวิตอยู่อย่าง "ไร้ความมั่นคง" และนับจนถึงเวลานี้ก็ยังไม่มีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อชะตากรรมของพวกเขาและครอบครัว
ยังคงมีแต่บรรดากลุ่ม "ผู้รักชาติ" ที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองอันห่างไกลจากชายแดน รวมทั้งผู้เขียนเอง และบรรดา "ผู้รู้อิสระ" ที่ต่างออกมาโพนทะนาถึงความรักชาติของตน ผ่านสื่อมวลชนสาธารณะแขนงต่างๆ เพราะรู้ดีแก่ใจว่านี่คือ "โอกาสทอง" ที่จะได้สร้างชื่อและเป็นลู่ทางต่อยอดไปสู่จุดหมายบางอย่างที่ตนคาดหวัง
ประการที่สอง กลุ่มรณรงค์มณฑลบูรพาที่เรียกร้องให้ "ยึดถือเอาอนุสัญญาโตเกียว ไม่ยึดถือสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส หรือ การยื่นให้ศาลโลกพิจารณาตัดสิน" ได้ "กล่าวหา" ผู้เขียนว่า "ยอมรับสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ ค.ศ.1907 ซึ่งเป็นการเมืองรุกรานและการล่าเมืองขึ้นที่มาจากลัทธิล่าอาณานิคม หรือจักรพรรดินิยม นั่นคือยอมรับลัทธิล่าอาณานิคมและจักรพรรดินิยมว่าถูกต้องแล้ว"
แต่ในกรณีที่กำลังรณรงค์ "ทวงคืนมณฑลบูรพา" ก็สะท้อนว่ากำลัง "ดำเนินรอยตาม" นักล่าเมืองขึ้นเหล่านั้น เพราะสนับสนุนให้ประเทศไทยไปรุกรานดินแดนที่ปฏิสธไม่ได้ว่า "เต็มไปด้วยวัฒนธรรมกัมพูชา" หรืออีกนัยยะหนึ่งก็คือ ส่งเสริมให้ "มหาอำนาจไทย" มีอุดมการณ์แบบ "ลัทธิล่าอาณานิคม" นั่นเอง
ประการที่สาม ในโลกใบเล็กอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ประเทศของเราปรากฏตัวในเวทีนานาชาติอย่างเป็นทางการด้วยการใช้นามประเทศว่า "ไทย -
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง "เวนิสวาณิช" ของ วิลเลี่ยม เชกสเปียร์ ตอนที่ ไชล็อก พูดกับ สะละรีโน ว่า "....ดูถูกกระทั่งชาติ, กลางตลาดแย่งกำไร, ยุสหายให้แหนงจิต, แหย่อมิตร์ให้ขัดใจ; ทั้งนี้เพราะเหตุใด ? เพราะเหตุที่ข้าเปนยิวนั่นแล. นี่แน่ยิวไม่มีตารือ? ยิวไม่มีมือ, ไม่มีอวัยวะ, ไม่มีกายหรือเจ้าคะ, หรือไม่มีสัมผัส, ตัดฉันทะและโทษะได้สิ้นหรือไฉน ? ไม่กินอาหารเหมือนกันหรือไร, หรือถูกสาตราไม่เจ็บไม่บาด, หรือไม่มีโรคาพาท, ไม่รักษาด้วยยาเหมือนท่าน, ไม่ร้อนไม่หนาวเพราะฤดูกาล เหมือนพวกท่านคริสตังละฤาไฉน ? ถ้าแทงเราเข้าไซร้, หรือเลือดไม่มี ? ถ้าแม้ว่าจี้, หรือเราจะไม่หัวเราะ ?...."
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน มีกำเนิดในฐานันดร ภายใต้อธิปไตยของรัฐชาติใด "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ย่อมมีอยู่อย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกันเป็นสากล ดังคำกล่าวที่ว่า "Shylock is a man first and a Jew second. -ไชล็อกเป็นมนุษย์ก่อน แล้วจึงเป็นยิว"
ขอจบด้วยคำกล่าวของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ที่ว่า "เราไม่ควรมีความคิดเรื่องถือผิวหรือเชื้อชาติ แต่ควรยึดมั่นในความคิดที่ชนทุกชาติอยู่ร่วมกันอย่างสันติในโลกได้"
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)