วิกฤติการเมืองที่ต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี อาจจะกำลังถึงจุดเดือดอีกครั้ง เป็นอีกครั้งที่สังคมจะกลับเข้าสู่ความตึงเครียดและต้องเผชิญหน้ากับทางเลือก ว่าเราจะเลือกอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบใด ท่ามกลางวิกฤติที่เป็นอยู่นี้เราไม่มีทางเลี่ยงการตอบปัญหาดังกล่าว
เพราะการระบุออกมาว่า "ถ้ายังไม่เห็นความจริงก็ต้องไปให้ถึงที่สุดก่อน" แท้แล้วมันก็คือการประมวลข้อมูลและผลิตความจริงซ้อนขึ้นมาเท่านั้นเอง ที่จริง... น่าจะถามต่อด้วยว่า ความจริงที่ว่า มันเป็นความจริงระดับไหน ? การไปถึงที่สุดของความจริง คือการถือครองและขีดฆ่าความจริงชนิดอื่นออกไปทั้งหมดใช่มั้ย
ผมไม่ได้ตั้งใจมาพูดอะไรที่มันดูเป็นโพสท์โมเดิร์น แต่ผมเชื่อว่าวาด รวี ติด "กับดัก" ของตัวเองแค่นั้นเอง
ตรงนี้ ข้ามไป
ข้อความหลายๆ พารากราฟของ คุณวาด รวี เชื้อเชิญให้สงสัยเหลือเกินว่า แล้วนักเขียนหัวก้าวหน้าแบบไหนกันที่เชื่อในวาทกรรมว่าด้วยความเหมือนคล้ายระหว่าง ป๋วย อึ๊งภากรณ์ กับ ทักษิณ ชินวัตร ? แล้วนักเขียนหัวก้าวหน้าแบบไหนกันที่เลือกข้างยุคสมัยแห่งกระบวนการยุติธรรมที่ถูกแทรกแซง แล้วนักเขียนหัวก้าวหน้าแบบไหนกันที่เชื่อว่าการสังหารผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดโดยไม่ต้องขึ้นศาลเป็นสิ่งที่ถูก
โดยส่วนตัว ผมเชื่อมีนักคิดนักเขียนอีกมากเหมือนกันที่ไม่เชื่อในระบอบปูนซีเมนต์ แต่ก็ไม่เชื่อในระบอบทักษิณ
ยิ่งพูดมากๆ ผมกลับคิดว่า วิธีที่คนเหล่านี้อ้างเหตุผลแบบ "ดูเหมือน" ข้ามพ้นกับดัก นั่นแหละคือ วิธีคิดแบบเป็นแพทเทิร์น หรือระบอบปูนซีเมนต์รูปแบบหนึ่ง ...เพียงแต่ว่ามันเป็นแฟชั่นของยุคสมัยนี้เท่านั้นเอง
การพูดประเด็นขัดแย้งทางการเมืองถ้าจะให้ชัดก็ต้องพูดถึง "รูปธรรม" โดยรูปธรรม คุณอยากจะพูดถึงนโยบาย "ยาเสพติด" ของไทยรักไทย ก็ควรจะต้องลงรายละเอียดเรื่องนี้โดยตรงว่าผิด/ถูกอย่างไร เป็นความผิดพลาดของนโยบาย, หน่วยราชการ, การปฏิบัติการของรัฐ หรือเป็นความกระหายเลือดของทักษิณ ..ก็ว่ากันไป
การอาศัยวาทกรรมที่ฝ่ายต่อต้านมาใช้ โยงแบบมั่วๆ ที่พูดกันแบบปากต่อปาก จำนวนการตาย การใช้อำนาจรัฐ และอื่นๆ ก็ไม่ได้ชัดเจน เพื่อเป็นปฏิกิริยากับความขัดแย้งทางการเมืองในการต่อสู้ของพลังฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายก้าวหน้าแบบนี้ ผมคิดว่าเป็นการเปรียบเทียบคนละเรื่องกันว่ะ
ความก้าวหน้าไม่ได้ดูที่ตัวบุคคล แต่ต้องดูที่พลังทางสังคม การพัฒนาพลังทางวัตถุ และจิตสำนึกทางการเมืองที่ตื่นตัวของฝ่ายประชาชนเป็นสำคัญ
นัยยะของการอยู่เหนือขั้วตรงข้าม แทบไม่มีผลทางการเมืองใดๆ และอันที่จริงก็เป็นสิ่งที่ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย อย่างขบวนการพันธมิตรวางเกมนี้เอาไว้แล้ว เพราะรู้ดีว่าบรรดาปัญญาชนไทย หากไม่อยู่ข้างพวกเขา ก็ต้องขีดวงให้อยู่ตรงพื้นที่กลางๆ ไม่มายุ่งเกมนี้ ซึ่งเท่ากับว่าพวกเขาชนะได้อยู่แล้ว เพราะมีกลไกรัฐและอำนาจจารีตสนับสนุน ...พันธมิตร ยิ้มระรื่นที่มีปัญญาชนดัดจริตเป็นกลางในประเทศอยู่เยอะ เพราะมันง่ายที่พวกเขาจะชิงการนำในเกมนี้
หรือ ถ้ามีสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งจะมีไม่ได้?
หรือจะพูดให้ชัดๆ ผมคิดว่า ความหลากหลายจะเป็นจริงได้ สังคมนั้นต้องเป็น "ประชาธิปไตย" อย่างแท้จริงเท่านั้น
การที่บางคนมอง "ประชาธิปไตย" อย่างดูแคลนนั้น ผมจึงเห็นว่าเป็นเรื่องอันตรายและผิดพลาดอย่างมาก ในขณะที่เรายังสามารถพูดคุย/ถกเถียงกันได้นี้ ไม่ใช่เพราะเราอยู่ในระบอบประชาธิปไตยหรอกหรือ??? ขณะที่เรายังสามารถแสดงความเห็นต่อต้านรัฐได้ในบางระดับ กวีที่แหวกแนว เที่ยวออกไปอ่านกวีเพื่อสันติภาพในที่สาธารณะด่ารัฐบาล ด่าจักรวรรดิยม ฯลฯ ที่ทำได้นั้นไม่ใช่เพราะคุณได้ถูกปกป้องโดยกฎหมายของรัฐ หรือกระทำได้ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยหรอกหรือ??? ...คุณลองข้ามพรมแดนไปอ่านบทกวีแบบนี้ในพม่าดูสิจะทำได้ไหม???
การที่ปฏิเสธประชาธิปไตยอย่างไม่ลืมหูลืมตาว่า เป็นเพียงวาทกรรมอภิมหาอรรถาธิบาย จึงเป็นการกระทำที่มืดบอดสำหรับผม
แน่นอน เราคงไม่ได้พูดแบบคิดฝันยูโทเปียที่คนมันเท่ากันหมด และคงไม่มีใครโง่เชื่อว่า "ระบอบการเมือง" มันคือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต แต่ผมเชื่อว่าพื้นที่ของระบอบประชาธิปไตย เป็นพื้นที่เดียวที่เปิดให้คนมันสามารถดำรงความหลากหลาย ความแตกต่าง อัตลักษณ์ ฯลฯ ของตนได้มากที่สุดแล้ว ...ส่วนที่สังคมไหนจะมีลักษณะเท่าเทียมมาก-น้อย ก็ต้องต่อสู้ ปะทะ/ต่อรองกันไป (ไม่มีอะไรในโลกได้มาฟรีๆ)
แน่นอนสังคมไทย เป็นสังคมที่อ้างว่าประชาธิปไตยแต่ปาก แต่โดยวาทกรรม/อุดมการณ์ชาตินิยมที่ครอบงำ คุณจะมีเสรีภาพได้ก็ต่อเมื่อสิ่งที่คุณคิด/กระทำ ไม่ขัดกับอุดมการณ์หลักของชนชั้นปกครอง ซึ่งมันเป็นประชาธิปไตยตอแหล ประชาธิปไตยแบบไทยๆ เป็นหลุมดำของคนที่ชอบพูด/อ้างถึงเสรีภาพ โดยที่คุณปิดตาข้างหนึ่งพูดถึงมัน
โดยสรุป หากคุณปฏิเสธประชาธิปไตยเมื่อไหร่ รับรองไอ้ที่พร่ำพูดถึงความหลากหลาย เสรีภาพ โลกฝันโรแมนติก ฯลฯ ไม่มีอะไรเหลืออยู่แน่ครับ ในทางตรงกันข้าม หากต้องการเรียกร้องความหลากหลายจริง สิ่งที่ควรทำคือ ต้องทำให้เกิดประชาธิปไตยแบบเข้มข้น...
ทุกวันนี้ที่พวกเขายังต้องทำทีเป็นมี ประชาธิไตย อยู่ ก็เพราะ โลกาภิวัตน์
สิ่งที่เขาทำก็เพียงแต่ตบตาโลกาภิวัตน์ ด้วยการรักษาประชาธิปไตยไว้เพียงแต่ประเพณีเท่านั้น
เขาไม่สามารถเปิดเผยระบอบที่เป็นอยู่จริงๆ ออกมาได้ก็เพราะว่าเขารู้ตัวว่าไม่สามารถต้าน "โลกาภิวัตน์" ได้ (ส่วนกระแสประชาธิปไตยภายในประเทศ ผมไม่คิดว่าพวกเขากลัว)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมคิดว่า อุดมการณ์ของ "ระบอบนี้" ชนชั้นกลางมีส่วนแชร์ด้วยพร้อมๆ กับ "แชร์อำนาจ" ด้วย พวกเขาพอใจกับระบอบนี้ มากกว่า "ประชาธิปไตยจริงๆ" เพราะในระบอบนี้พวกเขาเองก็มีอำนาจไม่น้อย (อย่างน้อยกว่ามากกว่าอำนาจของคนส่วนใหญ่ในประเทศ- พูดจริงๆ แล้วระบอบนี้สาระสำคัญของมันก็คือเสียงส่วนน้อยปกครองเสียงส่วนใหญ่)
เรื่องของเรื่องก็คือ ผมคิดว่าไม่ง่ายนักที่จะชี้ว่าพวกเขา "ไม่เท่าทัน" หรือจริงๆ แล้ว "นี่คืออุดมคติของพวกเขา"
อีกประการหนึ่ง
โดยเงื่อนไขทางการเมืองขณะนี้ที่วัฒนธรรมของชนชั้นกลางมีบทบาทนำ มันพูดยากว่าระบอบอำมาตย์ขาดชนชั้นกลางได้
ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาขาดกันและกันได้ไหม เพราะจริงๆ ที่พวกเขาสามารถใช้อำนาจได้ขนาดนี้ก็เพราะมีกันและกัน
หลายครั้งคุณ wad rawee แสดงให้เห็นว่าตาชั่งของคุณ "เอียง"
คุณ wad rawee ถึงกับระบุว่า "ถูกต้อง ณ วันนี้ ผมเห็นแล้วพวกเขา (ม็อบเสื้อเหลือง) ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ไม่ว่า ระบอบประชาธิปไตย หรือ ชนชั้น ทุกวันนี้ที่พวกเขายังต้องทำทีเป็นมี ประชาธิไตย อยู่ ก็เพราะ โลกาภิวัตน์ สิ่งที่เขาทำก็เพียงแต่ตบตาโลกาภิวัตน์ ด้วยการรักษาประชาธิปไตยไว้เพียงแต่ประเพณีเท่านั้น"
ถ้าผมใช้ตรรกะเดียวกับที่คุณวาดระบุไว้มันจะเป็นดังนี้ครับ "ณ วันนี้ ผมเห็นแล้วพวกเขา (ม็อบเสื้อแดง) ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ไม่ว่า ระบอบประชาธิปไตย หรือ ชนชั้น ทุกวันนี้ที่พวกเขายังต้องทำทีเป็นคนรัก ประชาธิไตย อยู่ ก็เพราะทักษิณคนเดียวไม่ได้มีอุดมการณ์เรื่องชนชั้นอะไรทั้งสิ้น การลงชื่อกว่าสามล้านรายชื่อมันก็เป็นคำตอบชัดเจนอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว
ก่อนที่ผมจะพูดอย่างนี้ ไม่ใช่อยู่ๆ ก็พูดนะครับ ผมพูดหลังจากเกิดกรณีต่อไปนี้ครับ
1. คดียุบพรรคไทยรักไทย ใช้กฎหมายย้อนหลัง
2. คดีที่ดินรัชดา ศาลอ้างว่านายกฯ มีอำนาจกำกับกองทุนฯ ทั้งที่พยานที่เป็นอดีตนายกฯ 2 คน (บรรหาร, ชวลิต) และอดีตประธานธนาคารแห่งประเทศไทย (พ่อคุณปลื้ม) ต่างยืนยันว่านายกฯ ไม่มีอำนาจกำกับกองทุนฯ
3. ศาลปกครองบอกว่าไม่มีอำนาจตัดสินเรื่องระหว่างประเทศกรณี JTEPA แต่พอกรณีมติ ครม.เรื่องร่างแถลงการณ์ร่วมไทยกัมพูชา ศาลกลับความเห็นตัวเอง บอกว่ามีสิทธิตัดสิน และสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน
4. ตัดสินสมัครมีความผิดคดีชิมไปบ่นไปโดยใช้พจนานุกรม ทั้งที่ในประมวลกฎหมายรัษฎากรก็มีระบุความหมายของคำว่าลูกจ้าง
5. คณะกรรมการสิทธิฯไล่บี้เอาผิดตำรวจกรณี 7 ตุลา แต่แทบไม่ขยับ กรณีสงกรานต์
6. สื่อ ทหาร ปัญญาชน องค์กรต่างๆ มีความอดทนอดกลั้นเป็นอย่างสูงตั้งแต่ พันธมิตรยึดทำเนียบ รัฐสภา ดอนเมือง สุวรรณภูมิ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายเดือนต่อเนื่องจนพันธมิตรเอามาโฆษณาว่า เป็นการประท้วงที่ยาวนานที่สุด แต่คนกลุ่มเดียวกัน "ทนไม่ได้" กับกรณีสงกรานต์ซึ่งปิดถนนในช่วงวันหยุดเพียงไม่กี่วัน
7. อ้างการล้มการประชุมอาเซียน แต่ไม่มีการพูดถึง หรือเอาผิด กรณี "เสื้อน้ำเงิน"
8. ผบ.ทบ.เดินเกมล็อบบี้จัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ในค่ายทหาร ทุกคนก็รู้ สื่อก็รู้
9. ศาลตัดสินให้เนวินหลุด (หลังจากเปลี่ยนข้าง)
ฯลฯ
นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ผมนึกได้ และทุกตัวอย่าง คุณลองสละเวลาไปดูรายละเอียดของแต่ละเคสจริงๆ จังๆ ดูคำตัดสิน ฟังเสียงของผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย ฟังเสียงของนักกฎหมายมหาชนที่ได้รับความเชื่อถือ
ทั้งหมดนี้ ถ้ามองไม่เห็นความผิดปรกติของอำนาจบริหาร (กลไกรัฐเช่นทหาร) อำนาจตุลาการ และสื่อกับปัญญาชนที่มีอำนาจชี้นำสังคม ก็ตาถั่วสิ้นดีแล้วละครับ
การพยายามเป็นกลางในเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระ ผมเลือกความถูกต้อง (ทุกกรณีอธิบายได้ตามหลักวิชากฎหมายและสามัญสำนึกประชาธิปไตยได้หมด)
ทุกวันนี้ที่พวกเขายังต้องทำทีเป็นคนรัก ประชาธิไตย อยู่ ก็เพราะ ทักษิณคนเดียวไม่ได้มีอุดมการณ์เรื่องชนชั้นอะไรทั้งสิ้น การลงชื่อกว่าสามล้านรายชื่อมันก็เป็นคำตอบชัดเจนอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว
การพูดถึง "เลนิน" "มาร์กซิสต์" เป็นเพียงข้ออ้างไร้เดียงสา สิ่งที่พวกเขาทำก็เพียงแต่ตบตาโลกาภิวัตน์ ด้วยการอ้างเสียงของประชาชนที่เคยเลือกเขาเข้าสภา ทั้งๆ ที่มันคือการดูดสส.ครั้งมโหฬารของประเทศ
บนตรรกะเดียวกันนี้ของคุณ ผมถามว่า มีอำนาจรัฐ (กลไกราชการ) อำนาจศาล (ตุลาการภิวัฒน์) อำนาจสื่อ (กระแสหลัก) เข้ามาสนับสนุนไหมละครับ
ถ้ามี ผมสนับสนุนคุณ demalnshu เต็มที่ ถ้าเกิดเงื่อนไขเดียวกันนี้แล้วคุณต้องไปเถียงกับคุณ Homo erectus ผมจะไปช่วยคุณโต้กับเขาเอง
วันนั้นที่ทักษิณติดคดีซุกหุ้น ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย ก็ไปกดดัน กกต. ให้ทักษิณหลุด (ย้อนกลับไปดูข่าวและข้อกฎหมายได้)
แต่วันนี้เหม็นหน้าทักษิณขึ้นมา ก็ไปสนับสนุนศาล ให้ทักษิณผิดด้วยข้อกฎหมายข้างๆ คูๆ
มันไม่เอา "หลักการ" หรือ "วิธีการที่ดี" อะไรเลยครับ
เอาทักษิณลงด้วยรัฐประหารมันก็เอา
แล้วจะปล่อยให้ "คนดี" ที่ไม่เคยเคารพ "วิธีการที่ดี" เหล่านี้ชี้นำประเทศต่อไปหรือ?
ที่คุณ wad rawee ตอบมา ผมก็ยังเห็นว่า คุณ wad rawee เลือกที่จะเอ่ยและเลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรอีกหลายๆอย่างอยู่ดี แต่เอาเถอะ ผมไม่มีประเด็นแย้งขัดอะไร นอกจากสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่า ตรรกะของคุณ wad rawee แปลก แปลกแบบเดียวกับที่สื่อกระแสหลักอย่าง มติชนสุดสัปดาห์พยายามนำเสนอ (ฮา)
อ้อ...ทีวีช่อง 3 นับเป็นสื่อกระแสหลักมั้ยครับ ผู้บริหารคือใครครับ ?
เวลาคุณมองปรากฏการณ์สังคม คุณดูเฉพาะใครเป็นผู้บริหารฯเหรอครับ??? ในภาวะปกติ อาจจะมองอย่างนั้นได้ แต่ภายใต้ท็อปบูททหาร เอาปืนจ่อคุมห้องส่ง และกระแสสังคมที่บีบให้คนกลุ่มหนึ่งที่มีอุดมการณ์การเมืองแตกต่างอยู่ในสภาพชายขอบ มันไม่เหมือนกัน
แต่เอาเหอะขี้เกียจที่จะพูด เพราะคำถามนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยลืมตาดูเอาเลยว่าสื่อบ้านเรามันเป็นยังไงนะ พูดไปไร้ยาตรา ...เอ รสนิยมผมคงจะไม่ดีเท่าไหร่ เพราะไม่เข้าใจว่า "คม" ยังไง???
แต่สุดท้ายถูกสรุป 1 บรรทัด.... "ตรรกะแปลกเหมือนอ่านมติชนสุดฯ" ...หึหึ.. แหม ไม่ค่อยอายเลยนะครับ "คม" จริงๆ
บทวิเคราะห์ ความเห็นอะไรที่ต่างไปจากในใจท่าน (โดยไม่ต้องแสดงเหตุผล) เป็นอันว่า "ตรรกะแปลก"
ช่อง 3 ตรรกะแปลก เพราะมีคนอย่าง กิตติ สิงหาปัด
มติชนตรรกะแปลก เพราะคงมีคนอย่างเสถียรฯ (แต่ไอ้ตรรกะเหลืองๆ ในมติชนน่ะ ตรรกะปกติดีนะ ...หิหิ)
โลกเรามันเป็นอย่างนี้สินะ เสียเวลาเขียนเสียเวลาพูด จับสรุปยัดปากบรรทัดเดียวจบ ....เป็นวาทะที่ "คมม้ากมาก" (ฮา)
ใครไม่เห็นด้วย อยากถกเถียง
คงเหนื่อย และเวียนหัวเอาการ
โอ..เป็ด อ่านแล้ว
เห็นว่าท่าเยอะ (จอดบ่อย)
และ "ท่าดี" ครับ
แต่ยังไม่ "คม"
ลักษณ์อย่างนี้เรียกว่า "ทู่" และ "ทื่อ"
ยังไม่โดนจาย "บ่าง" แหะๆ
เอาใหม่ๆ
เอาให้ศิลปินหย่าย ชนชั้นกลวง ? แบบโอ...เป็ด บรรลุเลยนะ
โอ๊ยเหนื่อย เป็นหลายอย่าง อิอิ
ความเห็นที่แล้วโอ...เป็ด ปกปิดความจริงพูดไม่หมด บอกแค่ว่าขี้เกียจพิมพ์
เลยทำให้ดูเหมือนไม่ได้ใช้เหตุผลเข้าสู่ประเด็นตามที่คุณวาด รวี ฯลฯ คาดหวัง
จริงๆ นอกจากขี้เกียจแล้ว ก็คงเรื่องของความด้อยข้อมูลและสติปัญญาด้วยแหละ
อันนี้คุณวาด รวีและคณะคงเห็นได้เองอยู่แล้ว
อิอิ แต่โอ..เป็ดอ้อมแอ้มไม่พูดตรงๆ คงเพราะเขิลลลล
ชักจะพิมพ์ (จิ้มดีด) มากไปแล้ว
ไหนๆ ก็ไหนๆ มีเรื่องสงสัยที่คุณวาด รวี บอกว่า (เน้นสีแดง)
หนึ่ง กดดันฝ่ายอำมาตย์โดยสร้างภาพเปรียบกับครั้งเหตุการณ์พฤษภาฯ
สอง กดดันฝ่ายตรงข้ามที่ยังคงเดินเกมยื่นฎีกาเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องขอรัฐบาลพระราชทาน ภาพเปรียบที่เกิดขึ้นชัดก็คือ 3 ล้านเสียงเป็นความชอบธรรมที่สูงกว่าฝ่ายตรงข้ามแบบเปรียบกันไม่ได้
อันนี้คือเท่าที่จำได้เลาๆ นะครับ พวกกลยุทธ์ในระดับแทคติกพวกนี้มีเยอะมากและผมจำรายละเอียดไม่ได้ทั้งหมด แต่มันล้วนเป็นชั้นเชิงในการสู้กันทางการเมืองที่ไม่ได้มีอุดมคติอุดมการณ์อะไรหรอก
ถ้าคุณอยากให้ผมด่าเสื้อแดงมากผมด่าให้เรื่องหนึ่งก็ได้เรื่องที่งี่เง่าที่สุดเรื่องหนึ่งของพวกสามเกลอก็คือเรื่องตัดต่อเทปอภิสิทธิ์
เป็นทั้งความโง่ และความชั่วร้าย
ประเด็นนี้สำคัญครับ
ถ้าสามเกลอผู้นำมวลชนคนเสื้อแดง "โง่" และ "ชั่วร้าย"
ขนาดที่คุณเองซึ่งถือว่าเป็นแนวร่วมยังต้องประณาม
การไปสนับสนุนกลุ่มเสื้อแดง ที่มีผู้นำมีพฤติการณ์ "โง่" และ "ชั่วร้าย" เช่นนี้
ของปัญญาชน นักคิดนักเขียน ชาวบ้าน (รากหญ้า) ให้เขานำพาต่อ จะสื่อนัยอะไร
และการที่มวลชนคนเสื้อแดงเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่ "เชื่อ"
อย่างที่ผู้นำสามเกลอของเขาโน้มนำ หรือชวนให้คิดไปในตรรกะทำนองนั้น
แปลว่าพวกเขาไม่ได้ "โง่" และ "ชั่วร้าย" ตามผู้นำของเขาไปด้วยใช่ไหม
หรืออย่างไร...
ต่อประเด็นอื่นๆ ล่ะ
ความชั่วร้าย (ในทัศนะของคุณ) ต้องบ่งด้วยความชั่วร้าย (ด้วยวิธีการของแกนนำคนเสื้อแดง)
และความชั่วร้ายเหล่านี้มวลชน ปัญญาชน ผู้สนับสนุนยอมหลับหูหลับตาได้ เพราะคิดว่ามีเป้าหมายที่ใหญ่กว่า (วิธีการที่เลวเพื่อเป้าหมายที่ดีเป็นเรื่องเล็กจ้อย)
ประเด็นสำคัญของคุณ demalnshu มีอยู่ 3 เรื่อง ผมจะว่าทีละเรื่อง |
แสดงว่าคุณ วาด รวี ไปจนถึงที่สุดแล้วของความจริงแล้วสินะ ?
อันนี้คุณ demalnshu ตั้งคำถามตอนที่ผมแนะนำให้นักเขียนกวีก่อนจะเลือกควรไปให้ถึงที่สุดของความจริงก่อน
อันที่จริงคำว่า "ความจริง" ที่ผมพูดในบริบทของ rep ดังกล่าวนั้น ผมพูดในความหมายของ "ข้อเท็จจริง" ซึ่งผมก็ได้ยกตัวอย่างประกอบว่ากรณีที่ผมเซ็ง (ฉิบหาย) เลยก็คือ กรณี ปราสาทพระวิหาร แต่ "ความจริง" ที่คุณ demalnshu ตั้งมานี่เป็นความจริงในทางปรัชญา ซึ่งการถกเถียงให้ถึงที่สุดเป็นปัญหาโลกแตก
ผมเห็นด้วยว่า ความจริง ในทางปรัชญานั้นเถียงกันไม่จบ แต่ความจริงในความหมายของ "ข้อเท็จจริง" เป็นรายกรณีไปนั้นมีความ "ถึงที่สุด" อย่างแน่นอน เพราะถ้าไม่เป็นดังนั้นแล้ว เราจะมีกระบวนการยุติธรรมไปเพื่ออะไร
3-4 ปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์เกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย เหตุการณ์จำนวนมากมีเอกสารและข้อโต้แย้งให้ศึกษาจน "ถึงที่สุด" ได้โดยไม่ต้องตั้งคำถามทางปรัชญา นักเขียนหรือกวีก่อนจะเลือกหยิบเหตุการณ์ใดมาพูด หรือแสดงทัศนะทางการเมือง อย่างน้อยก็ควรจะ "ถึงที่สุด" ในแง่ของข้อเท็จจริงพื้นฐานให้ได้ก่อน เช่นที่ผมยกตัวอย่างกรณี ปราสาทพระวิหาร ก่อนจะเขียนบทกวีด่าทักษิณ หรือ นพดล เรื่องแถลงการณ์ร่วมไทยกัมพูชายูเนสโก นั้น ก็ควรจะเข้าถึงข้อเท็จจริงพื้นฐานที่ควรจะรู้ในกรณีนี้เสียก่อน ไม่ใช่ฟังแกนนำม็อบไม่กี่คน ปัญญาชนไม่กี่คน ที่ "มั่ว" เรื่องนี้ขึ้นมา แล้วเอาไปใช้ในการต่อสู้ทางการเมือง
แต่ผมเชื่อว่าวาด รวี ติด "กับดัก" ของตัวเองแค่นั้นเอง |
ผมไม่เห็นว่าการไปให้ถึงที่สุดในความจริงหรือข้อเท็จจริงพื้นฐานของแต่ละกรณีจะเป็น "กับดัก" ไปได้อย่างไร จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของการที่เราควรจะพูดในสิ่งที่เรารู้ และงดเว้นการพูดในสิ่งที่เรายังไม่รู้จริงมากกว่า
"กับดัก" นั้นมีอยู่จริงในวิธีคิดของแวดวงปัญญาชน แต่ผมเห็นว่าเป็นกับดักในเรื่อง "จริยวิบัติ" เสียมากกว่า เรื่องปัญหา "จริยวิบัติ" ของปัญญาชนผมได้อภิปรายไปบ้างแล้ว ตรงนี้จะขอขยายความเพิ่มก็คือ
จริงๆ แล้วอุปสรรคที่ขัดขวางปัญญาชนนักคิด และรวมถึงนักเขียนและกวีเหล่านี้ในการเข้ามาถือข้างความถูกต้องและประณามความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีมานี้ก็คือคำว่า "ระบอบทักษิณ" เพราะพวกเขาเกรงว่าการทำเช่นนั้นจะเท่ากับเป็นการไปสนับสนุนระบอบทักษิณที่เขาประณาม
ในแวดวงวรรณกรรมเองก็มีคุณธรรมหนึ่งที่ทำหน้าที่ให้เกิดวงจรจริยวิบัติดังที่ผมได้อภิปรายไปแล้ว (ย้อนดู rep เก่า) สิ่งนี้เป็นประเด็นสำคัญที่สุดในงานชิ้นใหม่ที่ผมกำลังจะเสนอกับแวดวงวรรณกรรม เป็นสิ่งที่ผมครุ่นคิดมาเป็นเวลาหนึ่งแล้ว สิ่งนั้นก็คือคุณธรรมแบบปัจเจกนิยมที่กล่าวว่า "อย่าเทศนาในสิ่งที่ตนเองไม่เชื่อ"
ประเด็นนี้ต้องใช้พื้นที่พอสมควร ซึ่งผมจะรอจังหวะใหม่ในการอภิปรายข้างหน้า แต่ตอนนี้ขอเอาเรื่องเดิมให้จบก่อน
ถ้าทุกอย่างเป็นไปอย่างปรกติแล้ว ปัญญาชน นักเขียน กวี ไม่ควรจะลังเลในการประณามรัฐประหาร และความไม่ยุติธรรมในอีกหลายเรื่องที่ตามมา แต่ความไม่ปรกติก็คือ วงจรของจริยวิบัติได้ทำหน้าที่สะกัดกั้นพวกเขาไว้จากการทำสิ่งเหล่านั้นเพียงเพราะคำว่า "ระบอบทักษิณ" พวกเขาเกรงว่าการเข้าไปต่อต้านการรัฐประหารและความไม่ยุติธรรมจะทำลายอุดมคติของการโค่นล้มระบอบทักษิณ และทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่ "เทศนาในสิ่งที่ตนเองไม่เชื่อ" ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเรื่องเหลวไหล เพราะ...
หนึ่ง การไม่สนับสนุนความถูกต้องในกรณีรัฐประหารและความไม่ยุติธรรม (ดังที่ผมยกตัวอย่าง 9 ข้อ) เพราะเกรงว่าจะเป็นการไปสนับสนุนระบอบทักษิณนั้น แท้จริงแล้วเป็นการทำลายหลักการดั้งเดิมของพวกเขาที่มีมาก่อนเกิดระบอบทักษิณ เหตุที่พวกเขาคัดค้านระบอบทักษิณตั้งแต่แรกนั้น ก็เพราะพวกเขาต้องการยืนอยู่ข้าง "ความถูกต้อง" ดังนั้น "การยืนอยู่ข้างความถูกต้อง" จึงเป็นหลักการดั้งเดิมที่ทำให้พวกเขาต่อต้านระบอบทักษิณซึ่งเป็นจุดยืนที่แท้ของตนเอง จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่พวกเขาจะ "ไม่ยืนอยู่ข้างความถูกต้อง" เพียงเพราะเกรงว่าจะเป็นการไปสนับสนุนระบอบทักษิณ
สอง การตกอยู่ภายใต้วรจรของจริยวิบัตินั้น แท้แล้วก็คือการ "ติดกับดัก" ตัวเองของพวกเขาที่หมกมุ่นอยู่กับคำว่า "ระบอบทักษิณ" ซึ่งเป็น มหาอรรถาธิบาย ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง
ประเด็นนี้สำคัญครับ
ถ้าสามเกลอผู้นำมวลชนคนเสื้อแดง "โง่" และ "ชั่วร้าย"
ขนาดที่คุณเองซึ่งถือว่าเป็นแนวร่วมยังต้องประณาม
การไปสนับสนุนกลุ่มเสื้อแดง ที่มีผู้นำมีพฤติการณ์ "โง่" และ "ชั่วร้าย" เช่นนี้
ของปัญญาชน นักคิดนักเขียน ชาวบ้าน (รากหญ้า) ให้เขานำพาต่อ จะสื่อนัยอะไร
และการที่มวลชนคนเสื้อแดงเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่ "เชื่อ"
อย่างที่ผู้นำสามเกลอของเขาโน้มนำ หรือชวนให้คิดไปในตรรกะทำนองนั้น
แปลว่าพวกเขาไม่ได้ "โง่" และ "ชั่วร้าย" ตามผู้นำของเขาไปด้วยใช่ไหม
หรืออย่างไร...
ต่อประเด็นอื่นๆ ล่ะ
เพราะจริงๆ แล้ว การเข้าร่วมในขบวนการเรียกร้องทางสังคมการเมืองใดๆ ก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ตรงที่ "คุณเห็นด้วยกับสาระสำคัญ" ของข้อเรียกร้องนั้นหรือเปล่า ไม่ใช่ "คนเรียกร้องคนนั้นเป็นคนดี" หรือเปล่า เพราะ "การเป็นคนดี" นี้ จริงๆ แล้ว "ใคร" จะเป็นคนตัดสิน ผมเป็นใคร คุณเป็นใคร จึงสามารถตัดสินได้อย่าง "ถึงที่สุด" ว่าแท้จริงแล้ว "ใคร" คือคนดี อันนี้เป็นประเด็นของอภิปรัชญาที่มนุษย์ถกเถียงมาเป็นพันปีแล้วไม่สามารถสรุปได้ คนตะวันตกจึงได้ยกให้ปัญหาที่ว่าใครคือคนดีนั้นเป็นปัญหาของ "พระเจ้า" ไม่ใช่มนุษย์ การที่ผมมีความเห็นต่อสามเกลอในประเด็นเทปอภิสิทธิ์ว่า "โง่" และ "ชั่วร้าย" นั้น คือการแสดงความเห็นแย้งพฤติกรรมของพวกเขาในกรณีนั้น แต่ผมไม่สามารถไปตัดสินเขาแทนพระเจ้าได้ว่าพวกเขาคือสิ่งที่ "ชั่วร้าย" ทุกกระเบียดนิ้ว แต่วิธีการของสังคมสมัยใหม่ในการควบคุมความชั่วของคนก็คือ กฎหมาย และ กระบวนการยุติธรรม ถ้าพวกเขา "ทำชั่ว" ในเรื่องใดกฎหมายก็ต้องจัดการในเรื่องนั้นอย่างยุติธรรม
แล้วนักเขียนหัวก้าวหน้าแบบไหนกันที่เชื่อในวาทกรรมว่าด้วยความเหมือนคล้ายระหว่าง ป๋วย อึ๊งภากรณ์ กับ ทักษิณ ชินวัตร ?
แล้วนักเขียนหัวก้าวหน้าแบบไหนกันที่เลือกข้างยุคสมัยแห่งกระบวนการยุติธรรมที่ถูกแทรกแซง แล้วนักเขียนหัวก้าวหน้าแบบไหนกันที่เชื่อว่าการสังหารผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดโดยไม่ต้องขึ้นศาลเป็นสิ่งที่ถูก
สิ่งที่ demalnshu พูดมาทั้งหมดนี่คือ มหาอรรถาธิบาย เกี่ยวกับระบอบทักษิณที่ปัญญาชน นักเขียน กวีกลุ่มนี้หลงวนติดอยู่
คงไม่มีฝ่ายก้าวหน้าคนไหนที่จะเชื่อว่า ทักษิณ มีจิตใจหรือจิตวิญญาณเหมือนกับ ป๋วย หรือ ปรีดี การเชื่อแบบนั้นไม่มีมูลใดๆ เลย แต่ถ้าจะตั้งข้อสังเกตในเรื่อง "ความเหมือน" ของกรณี ปรีดี ป๋วย และทักษิณ นั้น ก็มีความเหมือนอยู่เรื่องหนึ่ง ก็คือ ทั้ง ปรีดี ป๋วย และทักษิณ ต้องระเห็จออกไปจากประเทศไทยก็ด้วย "อำนาจ" และ "กระบวนการ" ที่เหมือนกัน
กล่าวคือ ไม่ใช่ว่า ปรีดี ป๋วย และ ทักษิณ มีความคล้ายหรือเหมือนกันในเรื่องความคิดความเชื่อ จิตวิญญาณ หรืออุดมการณ์แต่อย่างใด แต่สิ่งที่เหมือนคือ "อำนาจกระทำ" หรือ "ศัตรู" หรือ "ผู้กระทำ" นั่นต่างหากที่ "เหมือน" พูดง่ายๆ ว่า "อำนาจ" หรือ "คนที่อยู่เบื้องหลังอำนาจ" และ "ลักษณะการใช้อำนาจ" ที่กระทำต่อกรณีของ ป๋วย และ ต่อกรณีของ ทักษิณ นั้น คือสิ่งเดียวกัน และถ้าหากว่าเราไม่เห็นด้วยกับ "ลักษณะการใช้อำนาจกระทำ" ในกรณีของป๋วยแล้ว เหตุใดเราจึงควรเห็นด้วยกับ "ลักษณะการใช้อำนาจกระทำ" ในกรณีของ ทักษิณ?
แล้วนักเขียนหัวก้าวหน้าแบบไหนกันที่เลือกข้างยุคสมัยแห่งกระบวนการยุติธรรมที่ถูกแทรกแซง
ต้องถามกลับว่า "ใคร" แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในคดีซุกหุ้น "ใคร"?
คนกลุ่มนั้นเป็นคนกลุ่มเดียวกันที่กำลังแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอยู่ในปัจจุบัน
การสังหารผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดโดยไม่ต้องขึ้นศาล
อันนี้เป็น "ข้อกล่าวหา" ต้องผ่าน "กระบวนการพิสูจน์ความผิด" ด้วย ผมถามว่า คมช. ยึดอำนาจทักษิณ และมีอำนาจเต็มในฐานะ "องค์รัฏฐาธิปัตย์" พร้อมกับรัฐบาลสุรยุทธ์ อยู่ถึงปีกว่า ถ้าทักษิณมีความผิดจริง เหตุใดเมื่อผ่านกระบวนการศาล (ที่เต็มไปด้วยความเห็นโต้แย้งมากมาย) แล้ว จึงมีคดีที่ดินรัชดาคดีเดียว?
เวลานี้ผมยังไม่มีคำอธิบายอื่น นอกจากข้อกล่าวหาต่างๆ เกี่ยวกับระบอบทักษิณจนถึงวันนี้ เป็นเพียง "มหาอรรถาธิบาย" ที่ยังไม่สามารถผ่านกระบวนการพิสูจน์ความผิดจนเป็นที่กระจ่างแจ้งว่าเป็นไปตามนั้น
เห็นว่าตัวอย่างที่ยกขึ้นเป็นแนวเทียบ (กรณีนักเขียน) ไม่สอดคล้อง ขาดความสมนัย (correspondence)
แท้จริงแล้วประเด็นอันเป็นคำถามของผม ซึ่งดึงมาจากการตอบของคุณวาดฯ เรื่องเทปตัดต่อนั้น
ผมมุ่งถึงเรื่อง "วิธีการ" กับ "เป้าหมาย" ต่างหาก ว่าจำต้องสอดคล้องหรือไม่ อย่างไร ส่วนคำถามทำนองนี้จะตกอยู่ในกับดักทางจริยธรรมหรือไม่ สุดแท้แต่จะคิด ซึ่งผมไม่ขอนั่งลงถกเถียงให้ยืดยาว เพราะยังไงก็ไม่จบแน่...
เมื่อคุณวาด รวี บอกเองว่า แกนนำเสื้อแดง "โง่" (และชั่วร้ายด้วย) จะให้เราประเมินชาวบ้าน นักคิด นักวิชาการ กวี ปัญญาชน ที่อยู่ภายใต้การนำของสามแกนนำเสื้อแดงอย่างไร
พวกเขาหลงเชื่อในอะเจนด้าที่แกนนำยกขึ้นมาจริงๆ หรือ แท้จริง "แสร้งโง่" ในบางครั้งเท่านั้น (คุณวาดฯ ไม่เคยขึ้นเวทีและไม่เคยเคลื่อนไหวร่วม จึงเป็น "ตัวแทนที่ดีในการตอบคำถามนี้ไม่ได้-แต่ไม่เป็นไร)
หรือมันเป็นแค่เรื่อง "แท็กติก" เพื่อไปสู่ "เป้าหมาย" ที่ยิ่งใหญ่สุดยอดกว่า หรือว่าอะไรแน่
เมื่อสามเกลอแกนนำคนเสื้อแดง เป็นอย่างที่คุณวาดฯว่า คือมี เชื้อ "โง่" อยู่ขนาดนี้ มวลชนคนเสื้อแดงภายใต้การนำของคนเหล่านี้จะประเมินอย่างมั่นใจได้อย่างไรว่าการนำตั้งแต่ต้น หรือการนำในครั้งไหนเป็นเรื่องที่ "ฉลาด" แล้ว และเป็นเรื่อง "ดีงาม" ไม่ชั่วร้าย กระทั่งสามารถยอมตนอยู่ภายใต้อาณัติ/การนำของแกนนำอย่าง "เชื่องๆ" ได้อีกต่อไป
หรือเราไม่จำต้องสนใจกับอะไรทั้งนั้น
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)