Skip to main content
sharethis

ชีวิตคนจนบ้านบานา ปัตตานี ยึดที่สาธารณะใช้อาศัยทำกิน แต่ฉะไหนกลายเป็นที่ดินมีโฉนด จนถูกจับกุมดำเนินคดี กำนันยืนยันเป็นที่สาธารณะชาวบ้านใช้ประโยชน์ร่วมกัน เจ้าสู้ร้องขอความเป็นธรรม

 


บุกรุก? - นายรอฮิง ราเดง อายุ 61 ปี กับขนำหลังเล็กบนที่ดินสาธารณะบ้านบานา ตำบลบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี แต่บัดนี้มีการออกโฉนดทับที่ดินแปลงนี้แล้ว ทำให้นายราฮิง ถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหาบุกรุก

ชายแดนใต้วันนี้ ไม่ได้มีแค่ปัญหาความมั่นคงเท่านั้น ความทุกข์ยากลำบากของคนเล็กคนน้อยในพื้นที่ยังมีอีกมากมาย เช่น ปัญหาเรื่องความมั่นคงในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย

อย่างกรณี ของนายรอฮิง ราเดง อายุ 61 ปี อยู่บ้านเลขที่ 42 หมู่ที่ 3 ตำบลบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี คนจนดักดานที่มีอาชีพรับจ้างเข็นรถเข็นขนของตามตลาดนัด ที่ยอมทำผิดกฎหมาย โดยเข้าไปบุกรุกที่สาธารณะใกล้ทะเลบ้านบานาสร้างขนำหลังเล็กใช้อยู่อาศัยหลับนอนกับลูกชายหนึ่งคน

บริเวณที่นายรอฮิงสร้างขนำตั้งอยู่บนคันนากุ้งร้าง พร้อมกับปลูกมะพร้าวสิบกว่าต้นตามขอบนากุ้งร้าง อายุ 4 – 5 ปี ใกล้กันมีการขึ้นโครงขนำอีกหลัง แต่ยังสร้างไม่เสร็จ นอกจากนี้ยังมีบ้านอีกหลายหลังในบริเวณเดียวกันที่ปลูกสร้างบนที่ดินสาธารณะ

นายรอฮิงเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินบริเวณนี้มา 15 ปีแล้ว หลังจากนากุ้งในบริเวณนั้นถูกทิ้งร้างได้ไม่นาน โดยเริ่มจากการปลูกพืชผักสวนครัว จากนั้น 7 ปีให้หลัง จึงเริ่มสร้างขนำแล้วย้ายเข้ามาใช้เป็นที่หลับนอน

แต่แล้วจู่ๆ ที่ดินสาธารณะที่เขาอาศัยอยู่นั้น กลายเป็นที่ดินมีโฉนด มีคนถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของมาเกือบ 10 ปีแล้ว โดยที่นายรอฮิงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

วันที่ 14 ตุลาคม 2553 ตำรวจจากสถานีตำรวจภูธร(สภ.) เมืองปัตตานีเข้าจับกุมนายรอฮิง ตามหมายจับของศาลจังหวัดปัตตานี ที่ออกมาตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2552 ข้อหา บุกรุกที่ดิน ของ ร.ต.ต.หญิง บุญใจ บุตรดี อดีตข้าราชการตำรวจเกษียณอายุราชการ

เป็นที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 44118 ซึ่งมีเนื้อที่ 6 ไร่ 1 งาน ออก ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2544

หลังจากนั้น ตำรวจพานายรอฮิงไปที่สอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี โดยนายรอฮิงยอมรับสารภาพ พนักงานสอบสวนจึงส่งฟ้องศาลทันที

วันรุ่งขึ้น ศาลจังหวัดปัตตานีได้พิจารณาคดีนี้ โดยพิเคราะห์ว่า จำเลยคือนายรอฮิงมีความผิดฐานบุกรุกจริง พิพากษาให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 2,000 บาท แต่จำเลยรับสารภาพ จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 3 เดือน ปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี

นอกจากนี้ ศาลจังหวัดปัตตานี ยังมีคำสั่งให้รื้อถอนขนำภายใน 10 วัน เมื่อจ่ายค่าปรับเสร็จ จึงเดินทางกลับขนำหลังเดิมทันที

เมื่อนายรอฮิงถูกจับกุมดำเนินคดี เพื่อนบ้านอีกคนที่กำลังขึ้นโครงสร้างขนำหลังใหม่ใกล้ๆกัน ก็หายหน้าไป ไม่กล้าที่จะเข้ามาสร้างต่อให้เสร็จ

นายรอฮิง เล่าว่า ตนได้ปลูกสร้างขนำหลังนี้มากว่า 7 ปีแล้ว เพราะคิดว่ายังเป็นที่ดินสาธารณะอยู่ ตั้งแต่สมัยก่อน ที่ดินบริเวณนี้ชาวบ้านใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่รู้มาก่อนว่าที่ดินบริเวณนี้มีการออกโฉนดแล้ว และออกตั้งแต่เมื่อไหร่

“ผมทราบเพียงแต่ว่า ก่อนหน้านี้มีนายทุนมาเช่าที่ดินบริเวณนี้ทำนากุ้ง ทำได้ 5 – 6 ปีก็เจ๊ง นากุ้งก็เลยถูกทิ้งร้าง และไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรต่อ ผมจึงเข้าไปสร้างขนำ ทำสวนผสมผสาน เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่” นายรอฮิง กล่าว

แม้ก่อนที่นายรอฮิงจะถูกตำรวจจับกุม เคยถูก ร.ต.ต.หญิงบุญใจ ผู้มีรายชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนด เคยมาแจ้งเตือนให้รื้อขนำออกไปจากที่ดินแปลงนี้ พร้อมแสดงโฉนดที่ดินให้เห็นแล้ว แต่นายรอฮิงก็ยังไม่ยอมย้ายออกไป

“ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องอาศัยและทำมาหากินบนที่ดินแปลง เพราะผมยากจน ผมมีลูก 8 คน ไม่รู้จะไปทำมาหากินที่ไหน จึงต้องอยู่ต่อไป ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าผิดกฎหมาย”

แม้นายรอฮิงยังยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ไปไหนทั้งที่เคยถูกจับมาแล้ว แต่นายรอฮิงก็ยังอดสงสัยไมได้ว่า ทำไมที่ดินสาธารณะที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์ร่วมกันจึงตกไปอยู่ในกำมือของอดีตข้าราชการได้

ก่อนหน้านี้ นายรอฮิง ได้ล่ารายชื่อชาวบ้านในหมู่บ้านได้ 77 คน เพื่อเรียกร้องสิทธิในการใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินสาธารณะในพื้นที่หมู่ที่ 3 บ้านบานา ตำบลบานาแห่งนี้

แต่ยังไม่ทันได้ยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานใด เกิดความขัดแย้งระหว่างนายรอฮิงกับชาวบ้านที่ลงชื่อด้วยแต่ไม่ได้ร่วมเคลื่อนไหวกับนายรอฮิง นายรอฮิงจึงหยุดดำเนินการต่อ

แต่นายรอฮิงก็ยังไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น เพราะเขาได้ร้องเรียนไปยังเครือข่ายอาสาสมัครยุติธรรมทางเลือกด้วยวาจา ให้ตรวจสอบการออกโฉนดทับที่ดินสาธารณะที่นายรอฮิงปลูกขนำอยู่ได้อย่างไร ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2553

สำหรับเครือข่ายอาสาสมัครยุติธรรมทางเลือก มีสำนักงานอยู่ที่เดียวกับมูลนิธิฮิลาลอะฮ์มัรจังหวัดปัตตานี ใกล้กับโรงแรมซีเอสปัตตานี

นายลายิ ดอเลาะ อายุ 59 ปี กำนันตำบลบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี บอกว่า ที่ดินสาธารณะบ้านบานาแห่งนี้มีเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ ซึ่งเป็นที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์ร่วมกัน

“ที่ผ่านมา ผมเคยได้รับการร้องขอจากนายเซ็ง การีนา อดีตคนดูแลนากุ้งของ ร.ต.ต.หญิงบุญใจ และนายอาแซ เจ๊ะเอาะ อดีตผู้ใหญ่ หมู่ที่ 3 ตำบลบานา ให้เซ็นรับรอง เพื่อออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับร.ต.ต.หญิง บุญใจ แต่เมื่อพิจารณาจากเดิมที่ดินบริเวณนี้เป็นที่ดินสาธารณะ ประกอบกับหลักฐานการขอออกโฉนดก็ไม่ชัดเจน ผมจึงไม่เซ็นรับรอง เพราะกลัวจะเกิดปัญหาตามมาในภายหลัง” นายลายิ กล่าว

ทั้งนายเซ็ง และนายอาแซ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว

นายลายิ บอกต่ออีกว่า ที่ดินบริเวณนี้ชาวบ้านเคยใช้ร่วมกันมาตั้งแต่ดั้งอดีต ใครจะปลูกพืชอะไรก็ปลูกไป ใครจะเลี้ยงสัตว์ก็ได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

“ส่วนคนที่เข้าไปอยู่อาศัยในที่ดินบริเวณนี้ เพราะต่างก็ยากจน บ้านที่ใช้อาศัยอยู่เดิมก็แออัด บางคนไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง” นายลายิอธิบายถึงสาเหตุของการบุกรุกที่สาธารณะบริเวณนี้

พร้อมกับยืนยันว่า ที่ผ่านมาพบว่า มีการออกโฉนดที่ดินทับที่ดินสาธารณะบริเวณนี้โดยมิชอบตามกฎหมายยังมีอีกหลายแปลง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net