1 มี.ค. 54 - เครือข่ายนักกฎหมาย นักวิชาการและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์สนับสนุนขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส. หรือ P move) โดยมีรายละเอียดดังนี้
แถลงการณ์เครือข่ายนักกฎหมาย นักวิชาการและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน
ตามที่ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส. หรือ P move) ซึ่งเป็นการรวมตัวของเกษตรกรและคนจนเมืองที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมและได้รับ ผลกระทบจากนโยบายการจัดการทรัพยากรและทิศทางการพัฒนาประเทศของรัฐที่ละเลย ต่อสิทธิของชุมชนตามรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยกลุ่มคนจน 4 เครือข่าย 3 กรณีปัญหา คือ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย, เครือข่ายสลัม 4 ภาค, สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล, และเครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง ชมรมประมงพื้นบ้านจังหวัดตรัง กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้พิบูลมังสาหาร อุบลราชธานี กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าชีวมวลและคัดค้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ อุบลราชธานี ได้ปักหลักชุมนุมเรียกร้องต่อรัฐบาลเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหา ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางสังคม
เครือ ข่ายนักกฎหมาย นักวิชาการและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน เห็นว่าการละเมิดสิทธิของเกษตรกรและคนจนเมืองเป็นปัญหาที่เกิดจากนโยบายและ กฎหมายที่ให้อำนาจหน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐอยู่เหนือสิทธิมนุษยชนและ สิทธิชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนเพื่อ ประโยชน์ของชุมชนและประโยชน์สาธารณะร่วมกัน จึงมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมกับคนจน ก่อให้เกิดการฟ้องคนจนเป็นจำเลยมากมาย เป็นการตอกย้ำให้เห็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ถึงขั้นวิกฤติในปัจจุบัน ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าวกระบวนการยุติธรรมนอกจากไม่สามารถเป็นพื้นที่ให้คนจนต่อสู้คดีได้อย่างเสมอภาคกันในทางกฎหมายแล้ว ยังเป็นกลไกหนึ่งที่สนับสนุนการแย่งชิงทรัพยากรของชาวบ้านมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
บันเยียวยาวามสิทธิมนุษยชนเครือข่ายนักกฎหมาย นักวิชาการและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน จึงมีข้อเสนอต่อการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ดังนี้
๑. เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิชุมชนและมีผลบังคับใช้โดยทันที ย่อมส่งผลให้กฎหมาย ระเบียบหรือข้อบังคับใดที่ขัดต่อหลักการสิทธิชุมชนไม่มีผลบังคับใช้เพราะขัดรัฐธรรมนูญ ดัง นั้น รัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงการกำหนดแนวนโยบายในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลควรสอดคล้องเป็นไปตามข้อ เสนอของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม มีเอกภาพและมีประสิทธิภาพในการนำแนวนโยบายไปปฏิบัติจริงโดยเจ้าหน้าที่ กระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
๒. การฟ้องคดีประชาชนที่อยู่อาศัยและทำกินในที่ดินของรัฐ ในข้อหาต่างๆ ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา เช่น บุกรุกทำลายป่า เรียกค่าเสียหายทำให้โลกร้อน ชุมนุมมั่วสุมก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ฯลฯ เป็นจำเลยจำนวนมากเหล่านี้ ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างสำคัญ และเป็นการมองข้ามเจตนาและศักยภาพของชุมชนในการปกป้องทรัพยากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการ สภา ทนายความ รวมทั้งบุคคลากรในกระบวนการยุติธรรม ควรทบทวนบทบาทการทำหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายและการพิจารณาคดีความด้าน ที่ดินและทรัพยากร ที่มีลักษณะแตกต่างจากคดีความทั่วไปให้ เป็นไปในทางที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพื้นที่และคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและ สิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญอย่างเป็นอิสระ อันเป็นบทบาทสำคัญของกระบวนการยุติธรรมในการคุ้มครองปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่ติดอยู่ในความยุติธรรมตามกรอบกฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ แต่เพื่อสร้างความยุติธรรมทางสังคมให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
เครือ ข่ายนักกฎหมาย นักวิชาการและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนจะติดตามการแก้ไขปัญหาของภาครัฐและ ดำเนินการเข้าไปมีส่วนร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ของสังคมในการแก้ไขปัญหาเพื่อยืนยันถึงความชอบธรรมของชุมชนที่จะต้องมีสิทธิ มีอำนาจในการกำหนดทิศทางการจัดการทรัพยากรของตนเอง และจะเป็นส่วนหนึ่งในการก่อให้เกิดการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้คนจนสามารถ เข้าถึงและให้ความเป็นธรรมแก่คนจนมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันต่อไป
ด้วยความเคารพในสิทธิเสรีภาพของประชาชน
เครือข่ายนักกฎหมายและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน
๑ มีนาคม ๒๕๕๔
เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน
ศูนย์ข้อมูลชมชน
โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)
ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ
วสันต์ พานิช ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนานักกฎหมายและสิทธิมนุษยชน
ศ.ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลับเชียงใหม่
ดร. ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทศพล ทรรศนกุลพันธ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
|
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)