ประชาไทบันเทิง: ค่ำคืนหนึ่งกับชายสองคน

หลิ่มหลีเองก็เป็นแต่แฟนเกิลส์ที่ไปวิ่งตามดารานักร้อง สมัยอายุ14ก็ไปรับ เหลียงเฉาเหว่ยที่สนามบินดอนเมือง เอ่อ..ก็ 25 ปีที่แล้ว .. ยังจำภาพตัวเองได้เลย วิ่งตาม ลูบไล้ดาราฮ่องกง อีกครั้งก็ตอบอายุ 35 ย่าง 36 ก็วิ่งตามทงบังชิงกิ ไอดอลเกาหลีไปทั่วสยามพารากอน สยามดิสฯ สยามเซนเตอร์ เข่าก็ไม่ค่อยดีตามสังขาร ยังเสือกวิ่งอีก หลิ่มหลีไม่เคยมีประสบการณ์ที่แฟนคลับนักเขียนมาพบปะนักเขียนที่ตนเองชื่นชอบ เพราะอ่านหนังสือน้อย จะให้ไปวิ่งตามหา จามรี พรรณชมพู นภาลัย ไผ่สีทอง ณารา กิ่งฉัตร หลิ่มหลีก็ไม่ได้กรี๊ดนักเขียนขนาดนั้น ทั้งๆที่ชอบหนังสือของทุกท่านที่กล่าวมามากๆ จิ้นตัวเองเป็นนางเอกทุกเรื่อง ส่วนพระเอก ก็แล้วแต่ จิ้นเป็น พี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์บ้าง โดมบ้าง โน๊ต อุดม ก็เคย (เอ่อ อันนี้ มุข เด๋วมาถามว่าเรื่องไหน หลิ่มหลีเอาขำนะคะ แต่ถ้าให้ตอบเอาขำ ก็เรื่อง ดั่งดวงหฤทัย ฮ่าๆๆๆๆ) เมื่อวันที่18 มิถุนายน เวลาเดียวกับที่มีข่าวการชุมนุมใหญ่ของชาวเสื้อแดง ฯ ที่วงเวียนใหญ่ผ่านทางทวิตเตอร์ หลังเหตุการณ์ฆ่ากันตายเพราะแค่มาขอยุบสภา (จริงๆแล้ว เป็นประชาชนที่มารอฟังการปราศรัยครั้งใหญ่ของพรรคเพื่อไทย) หลิ่มหลีมีนัดเป็นพิธีกรให้กับงานเสวนา “สื่ออิสระในสถานการณ์ฉุกเฉิน” ซึ่งมีพี่หนึ่ง วรพจน์ พันธุ์พงศ์ เจ้าของหนังสือ มีตำหนิ, ที่เกิดเหตุ, เรามีแสงสว่างในตัวเอง ฯลฯ และ พี่โจ้ ยุทธนา อัจฉริยวิญญู ช่างภาพชื่อดัง อดีต บอกอ ภาพของ National Geographic หนังสือสารคดีระดับโลก พี่แป๊ดเจ้าของร้านก็องดิดเป็นเจ้าภาพ เปิดให้โอกาสหลิ่มหลีเป็นพิธีกรครั้งแรกในโลก โอ้ย ตื่นเต้ล ไม่เค้ย ไม่เคย หลิ่มหลีก็ดีใจ จากที่ปีที่แล้วที่เราได้พบกัน หลิ่มหลีก็เป็นแค่ ลูกค้าจร แวะมาซื้อหนังสือของบุญชิต ฟักมี ตามมาด้วยเป็นลูกค้าประจำ เพราะชอบโกโก้ปั่นของที่นี่ หลิ่มหลีไม่ดื่มกาแฟ เพราะกาแฟทำให้หน้าแก่เร็ว ไม่เหมือนโกโก้ที่เร้าอารมณ์ทางเพศ ต่อมาหลิ่มหลีก็มางานเสวนาของที่นี่เป็นประจำ จนได้เป็นเด็ก (อีแก่) เชียร์เบียร์ ใครจะคิดว่า การไต่เต้ามันมีจริง ได้มาเป็นพิธีกร เป็นให้ใครไม่เป็น ดันมาเป็นให้นักเขียนและช่างภาพชื่อดัง … พี่พี่เขาดังมากนะคะ …ที่แย่คือว่า หลิ่มหลีไม่รู้จักทั้งสองคนนี้ โอเค หลิ่มหลีอาจจะรู้จักคนข้างเคียงของพี่หนึ่งวรพจน์ (ฮา) แต่ไม่ใช่แฟนหนังสือ ไม่เคยอ่านผลงานของพี่เขา อ่ะสารภาพ ได้อ่านแค่สองเล่ม มีตำหนิ กับ สถานการณ์ฉุกเฉินคือสองเล่มที่เตรียมมาเปิดตัวในวันนี้แหละ อร๊ายยยยยยยยยยย น่าเกลียดเนอะ แล้วหลิ่มหลีก็ได้พบแฟนคลับหนังสือพี่วรพจน์เต็มร้าน บวกด้วยแฟนคลับงานภาพงานเพลงของพี่โจ้ล้นร้านจนไปถึงข้ามถนนไปยังฝั่งกระโน้น แฟนคลับไอดอล กับแฟนคลับนักเขียน นี่ต่างกันยังกะฟ้ากะเหว แฟนคลับไอดอลเกาหลีอย่างหลิ่มหลี กรี๊ดดดดดดดดดด สุดเสียว เอ้ย สุดเสียง เมื่อไอดอลโผล่มา แฟนคลับนักเขียน กัดฟัน จิกเข่า กัดเล็บ เขิลอาย หลบหน้า ไม่กล้าคุย อันนี้เห็นได้จาก บุญชิต ฟักมี ได้พบกับปราบดา หยุ่นในงานนี้ (บุญชิตเป็นแฟนหนังสือปราบดาขั้นโคม่า) หลิ่มหลีบอกว่า ทำไมไม่เข้าไปคุย บุญชิตเอาฟันกัดเล็บแล้วทำหน้าเอียงอายไม่กล้าไปคุย ปราบดา หยุ่น ส่วนสาวอีกนางที่นั่งติดปราบดา เอามือจิกเข่าได้ ไม่กล้าไปคุย แล้วมาแอบคุยทีหลังว่า ปราบดาจับแขน เขิลอายเป็นที่สุด น่ารัก … ไม่หื่นกาม เหมือนหลิ่มหลีตอนวิ่งตามทงบังชิงกิเลย ถ้าปราบดาเป็นทงบังชิงกิ หลิ่มหลีเป็นสาวนางนั้นกระโดดหอมแก้มไปแล้นนนนน อ้าว ไหนจะแฟนคลับพี่วรพจน์ ไหนจะเพื่อนพี่เขา อ่อ… โน่น นักเขียนชื่อดังผู้ไม่มีสีแต่มีแสงสว่าง นิ้วกลมหน้าอ่อน หลิ่มหลีก็นึกว่า ตัวจริงนิ้วกลมจะอายุประมาณ สี่สิบถึงห้าสิบ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ หันซ้ายหันขวา แฟนคลับนับหมื่นของนิ้วกลมอาจจะตั้งเพชในเฟสบุ๊ค “มั่นใจว่าคนไทยนับล้านมองว่าหลิ่มหลีแม่งโง่ไม่รู้จักนิ้วกลม” ฮ่าๆๆๆๆๆ หลิ่มหลีสารภาพว่าที่อ่านชื่อพี่เขาผิดตอนเริ่มรายการ เนื่องมาจากตื่นเต้ลมากๆๆๆ เพราะคนเต็มร้านจริงๆค่ะ แล้วถามคำถามเร็วในช่วงแรก เพราะตื่นเต้นสุดๆ คนมันไม่เคย ขออภัยจริงๆค่ะ แต่จำได้ ตอนอ่านนามสกุลพี่หนึ่งผิด คนแก้ให้ทั้งร้านเลย แฮ่ ……. ขอโต๊ดพี่หนึ่งค่ะ ขอโต๊ดพี่โจ้ดวยค่ะ เราคุยกันเรื่องซีเรียส ไม่ว่าจะเป็นการไปทำงานในฐานะสื่ออิสระของพี่หนึ่งที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลิ่มหลีถามว่า กลัวไหม “กลัว” อ้าว ..แต่ก็ต้องไป เพราะไม่เชื่อในสิ่งที่ฟังสิ่งที่อ่าน อยากเห็นทั้งๆที่ “กลัว” แล้วก็ไปอยู่เป็น “ปี” พี่หนึ่งเล่าให้ฟังว่า การอาศัยอยู่ที่สามจังหวัดนั้น พี่หนึ่งอยู่ปัตตานีเป็นหลัก แต่ก็เดินทางไปเรื่อยๆในสามจังหวัด มันไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวที่เราๆได้อ่านได้รับรู้ มันไม่ได้มีแค่เสียงระเบิด จริงอยู่ร้านบางร้านพี่หนึ่งแวะไป แล้ววันรุ่งขึ้นก็เกิดระเบิด แต่ที่นั่นมันมีเรื่องของวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ชีวิต จิตใจของคนพื้นที่ ที่สื่อควรจะนำเสนอต่อประชาชนที่อยู่ห่างไกลได้เข้าใจพวกเขาให้มากกว่าที่เป็นอยู่ พี่หนึ่งใช้ชีวิตอย่างปกติของตนเอง ไม่ได้ปกติเยี่ยงคนพื้นที่ อย่างที่พี่หนึ่งคิดไว้ไม่ผิด สิ่งที่รับรู้ก่อนเดินทางมา มันเชื่อถือไม่ได้ ข้อมูลมันด้านเดียวเกินไป และพี่เขาคือสื่ออิสระที่ได้มีโอกาสนำเสนออีกด้านหนึ่ง ถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือ “ที่เกิดเหตุ” พี่เขาบอกว่า เขาอาจจะบอกไม่หมด เพราะการใช้ชีวิตเพียงแค่หนึ่งปี มันไม่ได้รับรู้ไปทุกส่วนของเรื่องราวที่นั่น การไต่ถามเป็นไปอย่างเคร่งเครียดจนพี่หนึ่งเองต้องเอ่ยปากว่า “หลิ่มหลีเป็นคนซีเรียสขนาดนี้เลยหรือ” “ค่ะ หลิ่มหลีเป็นคนซีเรียสค่ะ ถ้าหลิ่มหลีไม่ซีเรียส หลิ่มหลีไม่ด่าคนหรอกค่ะ ด่าทำไมให้ตัวเองดูไม่ดี เหมือนอีตลาดปากจัด ด่าคนไปทั่ว ด่าเมื่อเห็นความไม่ถูกต้อง ด่าเมื่อรับรู้ถึงความไม่ยุติธรรม สลิ่มที่ไหนอยากเป็นคนปากตลาด ใครๆก็สร้างภาพสวยหรูทั้งนั้นแหละค่ะ คิกๆๆๆๆ” การเล่าถึงเรื่องราวที่พูดคุยกันระหว่างหลิ่มหลีกับสองหนุ่ม เอ่อ สองชั่วโมงเชียวนะคะ จะให้มาอธิบายโดยละเอียด หลิ่มหลีก็หยักสมองน้อย จำได้ไม่หมด เอาที่เน้นๆแสบๆดีกว่า หลิ่มหลี (แอบเสี้ยม) ถามเรื่องที่เคยทำงานในฐานะสื่อที่ผู้จัดการ กับสิ่งที่พี่หนึ่งพูดในหนังสือ “มีตำหนิ” ซึ่งกล่าวถึงคำสอนของ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล “อย่าด่วนตัดสินคน หาข้อมูลให้รอบด้านก่อน” พี่หนึ่งตอบเสียงเรียบๆสีหน้าไร้อารมณ์ว่า ณ ตอนนั้น คุณสนธิ สอนโดยรวม ไม่ได้สอนเฉพาะเจาะจง แต่สื่อก็ควรทำเช่นนั้นอยู่แล้ว ไม่ใช่หรอ ? คำถามนี้ พี่หนึ่งย้อนกลับมาถามใคร? หลิ่มหลีเสียบต่อ “ในทำเนียบตอนที่ พธม เข้าไปปลูกข้าวเลี้ยงควาย พี่หนึ่งเดินออกมาจากชายคาสื่อแห่งนั้นทำไม ทั้งๆที่ วิวก็สวย อาหารก็อร่อย ดนตรีไพเราะ” พี่หนึ่งก็ขำๆว่า “อาหารอร่อยจริง ดนตรีเพราะจริงๆ แต่ ณ ตอนนั้น สื่อทุกสายทำข่าวให้แต่ พธม ทำให้พี่หนึ่งมีความรู้สึกว่า ข่าวออกมาด้านเดียว แล้วการชุมนุมอีกที่หนึ่งที่สนามหลวง ทำไมไม่มีใครทำข่าวบ้าง ณ ตอนนั้น นปก ยังไม่มีด้วยซ้ำ สีแดงยังไม่มีด้วยซ้ำ แต่ก็มีการชุมนุมนะ” นั่นเป็นที่มาของการที่พี่หนึ่งตัดสินใจทำข่าวให้กับคนที่ไม่มีโอกาสได้เป็นข่าว ในเมื่อฝ่ายหนึ่งเต็มไปด้วยคนและเครื่องมือที่พร้อมจะให้ข่าวสารซะเต็มเปี่ยมจนแทบอ้วก พวกเขาก็พร้อมจะเป็นคนและเครื่องมือที่จะหาข่าวจากอีกฝ่ายที่ขาดแคลนสุดฤทธิ์ มาให้ “คนที่พร้อมจะศึกษาหาข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” ความยากลำบาก ความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย การโดนครหานินทา การโดนตำหนิติเตียน การโดนกีดกันในอาชีพและที่ยืนในสังคม เป็นสิ่งที่เราอาจจะพูดกันน้อยนิด แต่มันก็แทรกอยู่ในสีหน้าและคำพูดที่ปลอบโยนให้กับตัวเองที่อยู่ระหว่างบรรทัดนั้นๆ ของทั้งสองคนระหว่างที่เราคุยกัน ความผิดหวังของคนในสังคม ผิดหวังในการหาเหตุผลของคนในสังคม ผิดหวังในคนรอบข้างของเขาทั้งสอง มันแอบซ่อนอยู่ในคำพูดที่ขอร้องว่าให้ศึกษากันก่อน รวมทั้งการเจอคำถามของการที่สื่อต้องเป็นกลางที่แทนที่จะโหมโจมตีสื่อกระแสหลักที่ควรจะสำนึกได้แล้ว คำถามของความเป็นกลางกลับย้อนมาหาพวกเขาแทน!!!! พี่หนึ่งได้อธิบายว่า “สื่อโดยรวมก็เหมือนกับกระดานหก ที่สื่อหลักๆกว่า80% อยู่ด้านหนึ่ง อีก 20%เช่นพวกเขาจะอยู่อีกข้าง มันหนักมากไปข้างหนึ่งแล้ว และอยากจะให้ 80% นั้น แบ่งมาอยู่อีกข้าง เพื่อให้มันบาลานซ์กันบ้าง จะดีกว่าการถามหาความเป็นกลางของสื่อไหม” คำถามสุดท้าย “วรพจน์เปลี่ยนไปไหม” หลิ่มหลีได้รับคำตอบว่า “นี่คือคำชมยกย่อง ดีใจที่ผมเปลี่ยนไป” (กระซิกๆๆๆๆ หลิ่มหลีซึ้ง T_T) พี่โจ้ช่างภาพอิสระอารมณ์ดีตลกหน้าตายกับการเล่าถึงความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายของช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีทั้งความหวาดกลัว มีทั้งคำถาม มีทั้งการหนีเมียแอบไปถ่ายรูป การฝ่ากฏเคอร์ฟิว ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากพวกเราผู้ฟัง พี่โจ้คงไม่ขำ แต่ก็ทำให้หลิ่มหลีซึ่งหัวเราะในตอนนั้น กลับนำสิ่งที่พี่เขาพูดมานั่งนึกวิเคราะห์ในเช้าวันนี้ ณ ขณะที่เขียนโน๊ตฉบับนี้ ได้สะอึก และสะเทือนใจ หลิ่มหลีบอกกับตัวเองว่า “เรายิ้มและหัวเราะง่ายเกินไป” พี่โจ้บอกกับพวกเราว่า จริงอยู่การตายไม่ได้เพียงแค่คนเสื้อแดง แต่มีทั้งฝ่ายทหารและผู้สื่อข่าว ถ้าถามว่ากลัวไหม พี่โจ้ตอบว่าความต้องการรู้ในความจริงมันสูงกว่าความกลัว พี่เขาอยากบอกว่า การเป็นตัวตนของคนเสื้อแดงมันแท้จริง ใจของคนเหล่านั้นยิ่งใหญ่มากที่กล้าแสดงออกซึ่งความมีตัวตนของพวกเขา พี่โจ้ยังเล่าถึงหญิงสาวร่างไร้วิญญาณคนหนึ่งที่พี่โจ้ได้บังเอิญพบเจอและทราบชื่อ ร่างของเธอหายไปกับรถคันหนึ่ง หลังจากนั้นพี่โจ้ตามหาชื่อที่จำไว้ในสมอง ณ ขณะนั้น ว่า ชื่อของเธอมีอยู่ในรายชื่อผู้เสียชีวิตหรือไม่หรือในรายชื่อผู้สูญหายไปหรือไม่ และ จนถึงทุกวันนี้พี่โจ้ยังไม่พบ เรานิ่งอึ้งกับสิ่งที่พี่โจ้เล่า วันนั้น จบด้วยเพลง นกสีแดงของพี่โจ้ และ และบทกวีอันร้อนแรงของพี่หนึ่ง เต็มไปด้วยอารมณ์ของสื่อและศิลปินที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ จิตแห่งความเป็นธรรม จิตแห่งประชาชนผู้เป็นเจ้าของแผ่นดิน จิตของสื่ออิสระที่หาที่ยืนแทบไม่ได้บนแผ่นดินที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยไทย” ............................... หลิ่มหลีสิ้นสุดคืนที่ดื่มด่ำในจิตแห่งสื่ออิสระนั้นด้วยการนึกขึ้นได้ … ชิบหอย .. หลิ่มหลียังไม่ได้จ่ายค่าน้ำให้ร้านก็องดิด แฮ่

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท