Submitted on Thu, 2012-10-18 21:32
18 ต.ค.55 สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสั งคมแห่งชาติ โดยคณะทำงานเศรษฐกิจภาคบริ การและการท่องเที่ยว จัดแถลงข่าวการเสนอความเห็ นและข้อเสนอแนะ เรื่อง “ยุทธศาสตร์การขนส่งสินค้ าทางอากาศ : กรณีศึกษาสนามบินสุวรรณภูมิเป็ นศูนย์กลางการขนส่งสินค้ าทางอากาศ” ที่ได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีไปแล้ วเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา
นางสุภาพรรณ์ ธนียวัน ที่ปรึกษาคณะทำงานเศรษฐกิ จภาคบริการฯ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการศึ กษาเรื่องดังกล่าวพบข้อเท็จจริ งว่า การดำเนินการด้านการขนส่งต่างๆ ของสนามบินสุวรรณภูมิยังประสบปั ญหาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเมื่อเปรียบกับประเทศเพื ่อนบ้าน ความถี่ของเที่ยวบินของสนามบิ นสุวรรณภูมิลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพั ฒนาการขนส่ง คือ (1) ปัญหาด้านการอำนวยความสะดวกด้ านการขนส่งสินค้า ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการขนส่ งสินค้าค่อนข้างสูง (2) ปัญหาด้านกฎหมาย ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายศุ ลกากรให้สอดคล้องกับอนุสัญญาเกี ยวโตฉบับแก้ไข รวมถึงการจัดเก็บภาษี กรณีมีการโอนสิทธิของสินค้ าในเขตปลอดอากรยังไม่สอดคล้องกั บกฎหมายการจัดตั้ งเขตปลอดอากรของกรมศุลกากร (3) ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน (4) ปัญหาข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งปัจจุบันพื้นที่คลังสินค้ าสามารถรองรับปริมาณสินค้าได้ เพียง 1.7 ล้านตันต่อปี (5) ความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย เนื่องจากบริษัทท่าอากาศยานไทย ได้เปลี่ยนผู้บริ หารเขตปลอดอากรหลายครั้ง ประกอบกับผู้บริ หารเขตปลอดอากรไม่มีความเข้ าใจการดำเนิ นงานภายในเขตปลอดอากร ทำให้การบริหารงานขาดความต่อเนื่อง
นางสุภาพรรณ์ฯ กล่าวต่อว่า นโยบายของรัฐบาลที่มุ่งให้ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่ งทางอากาศในภูมิภาค คณะทำงานเศรษฐกิจภาคบริการฯ จึงได้ดำเนินการศึกษาเรื่องดั งกล่าว ทั้งการลงพื้นที่ศึกษาดูงาน การจัดประชุมสัมมนาโดยเชิญผู้ที ่เกี่ยวข้องจากภาคหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมประชุม จนได้ข้อสรุปเป็นความเห็นและข้ อเสนอแนะเรื่อง “ยุทธศาสตร์การขนส่งสินค้ าทางอากาศ : กรณีศึกษาสนามบินสุวรรณภูมิเป็ นศูนย์กลางการขนส่งสินค้ าทางอากาศ” โดยมีสาระสำคัญ 2 เป้าหมาย 7 ยุทธศาสตร์ คือ
เป้าหมายที่ 1 สามารถกำหนดแผนยุทธศาสตร์ การขนส่งสินค้ าทางอากาศของประเทศไทยอย่างบู รณาการภายในปีงบประมาณ 2556
เป้าหมายที่ 2 เพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้ าทางอากาศให้ได้ 2 ล้านตัน ภายในปี 2558 ด้วยการเพิ่มปริมาณการขนส่งสิ นค้าผ่านประเทศไทยไปยังประเทศอื ่นๆอย่างก้าวกระโดดจาก 26,000 ตัน เป็น 500,000 ตัน อันจะทำให้เกิดรายได้เข้ าประเทศเพิ่มขึ้น 5,000-10,000 ล้านบาทต่อปี
ยุทธศาสตร์ที่ 1 สร้างความทันสมัยและความคล่องตั วของการจัดการธุรกิจการขนส่งสิ นค้าทางอากาศไทยให้ทัดเทียมกั บมาตรฐานสากลและอยู่ในระดั บแนวหน้าของโลก เช่น การนำระบบ IT ใช้บริหารจัดการเขตปลอดอากร อาทิ ระบบการติดตามสินค้า เป็นต้น รวมถึงการจัดตั้งสินคลังสินค้ าทัณฑ์บน
ยุทธศาสตร์ที่ 2 บูรณาการการสื่อสารและการปฏิบั ติงานของหน่วยงานภาครัฐ เพิ่มบทบาทกรมศุลกากรในการเป็ นศูนย์กลางการบูรณาการงานที่เกี ่ยวข้องกับขั้นตอนการนำเข้า-ส่ งออกสินค้า
ยุทธศาสตร์ที่ 3 เพิ่มกำลังการรองรับการขนส่งสิ นค้าทางอากาศอย่างมีกลยุทธ์ เช่น จัดทำประมาณการขนส่งสินค้ าทางอากาศล่วงหน้า 10 ปี ขยายพื้นที่เขตปลอดอากร พิจารณาใช้ท่าอากาศยานดอนเมื องควบคู่กับท่าอากาศยานสุวรรณภู มิ เป็นต้น
ยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนาคุณภาพการให้บริการ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ รับบริการ โดยจัดทำการสำรวจความพึงพอใจปี ละ 2 ครั้ง เป็นประจำทุกปี
ยุทธศาสตร์ที่ 5 การประชาสัมพันธ์ให้ถึงกลุ่มเป้ าหมาย กล่าวคือ การชี้ให้เห็นถึงข้อดีของการใช้ ประโยชน์ในการขนส่งสินค้ าทางอากาศ ทั้งเรื่องความประหยัดและคุ้มค่ า
ยุทธศาสตร์ที่ 6 ส่งเสริมและสนับสนุนให้เพิ่ มจำนวนผู้ประกอบการใช้พื้นที่ เขตปลอดอากร ให้มีการใช้พื้นที่ 100 เปอร์เซ็นต์ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ยุทธศาสตร์ที่ 7 พัฒนาระบบติดตามและประเมินผลที่ มีประสิทธิภาพ โดยกำหนดตัวชี้วัดผลสำเร็จ และกำหนดการบริหารความเสี่ยง โดยจัดให้มีคณะกรรมการที่มี ความรู้ความสามารถเข้ ามาตรวจสอบปฏิบัติงาน รวมถึงเพื่อการพัฒนาการขนส่ งทางอากาศของประเทศไทย และกำหนดนโยบายในการพัฒนาคลังสิ นค้าและอาคารเก็บสินค้ าในเขตปลอดอากร นโยบายและแนวทางการส่งเสริ มการเพิ่มปริมาณสินค้าจากกิ จกรรมเพิ่มมูลค่าสินค้า และปริมาณสินค้าขนถ่ายผ่านลำให้ มีความชัดเจน
นางสุภาพรรณ์ฯ เสริมว่า ความเห็นและข้อเสนอแนะที่เสนอต่ อคณะรัฐมนตรีนั้น สามารถนำไปกำหนดแผนเชิงกลยุทธ์ ได้เลย เพราะมีแผนปฏิบัติงานอย่างละเอี ยดอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกต่ อการทำงานให้เกิดประโยชน์และสร้ างรายได้ให้กับประเทศเพิ่มขึ้น หากมีการดำเนินงานอย่างจริงจัง