Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

กรณีของรุ่งคุณ กิติยากรที่ยกย่องฮิตเลอร์อย่างไม่ลืมหูลืมตาเพียงแค่ผ่านเฟซบุ๊กก็ได้สร้างแรงกระเพื่อมทางความคิดให้กับสังคมไทยอย่างน่าอัศจรรย์ใจ การแก้ต่างฮิตเลอร์เช่นนี้ไม่ใช่การกระทำที่ใหม่ ด้วยมีคนในประเทศอื่นอีกจำนวนมากที่คิดและแสดงออกแบบเดียวก่อนหน้านี้ดังที่เรียกว่านักปฏิเสธการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว (Holocaust denier) ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายในยุโรปหลายประเทศถึงขั้นจำคุกเลยทีเดียว นักประวัติศาสตร์หลายคนถึงกลับเขียนหนังสือเพื่อปฏิเสธการมีอยู่ของค่ายกักกันและการล้างผลาญชีวิตชาวยิวเป็นล้านๆ   ปรากฏการณ์เช่นนี้คล้ายกับการที่นักประวัติศาสตร์และนักการเมืองญี่ปุ่นหลายคนออกมาแก้ต่างว่าการทารุณกรรมทางเพศของกองทัพญี่ปุ่นต่อผู้หญิงชาวจีนและเกาหลีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาดังที่เรียกว่าประวัติศาสตร์แนวแก้ (revisionism)  หรือแม้แต่ก่อนหน้านี้ถ้าใครเข้าไปในเว็บไซต์พันธุ์ทิพย์ห้องประวัติศาสตร์บ่อยๆ ก็พบคนไทยที่มีความคิดแบบรุ่งคุณนี่แหละซึ่งจำนวนไม่น่าจะน้อยหากนับรวมถึงคนที่วาดภาพการ์ตูนฮิตเลอร์ปนกับบรรดาซูเปอร์ฮีโรบนฝาผนังหรือเด็กนักเรียนโรงเรียนสตรีแห่งหนึ่งในเชียงใหม่เดินพาเหรดใส่ชุดนาซีเมื่อหลายปีก่อนเป็นต้น

อย่างไรก็ตามการที่รุ่งคุณมีเชื้อราชนิกุล (มีฐานันดรศักดิ์เป็นหม่อมหลวง)มีคุณแม่เป็นนางงามจักรวาลคนแรกของไทย เป็นไฮโซที่ถ่ายแบบลงนิตยสารผู้หญิงบ่อยครั้ง ก่อนที่เขาจะมาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแบบคนธรรมดาเช่นมีอาชีพเกษตรกร รวมไปถึงการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะหลังการทำรัฐประหารวันที่ 22  พฤษภาคม ความคิดของเขาย่อมโดดเด่นกว่าพวกที่ผู้เขียนได้ยกมาดังจะเห็นได้ว่ามีคนกดสัญลักษณ์แสดงความชื่อชอบบทความนี้ของเขากว่าพันครั้งเช่นเดียวกับเสียงวิจารณ์ของคนไม่เห็นด้วยอีกเป็นจำนวนมากผ่านสื่อต่างๆ  กระนั้นบทความของรุ่งคุณก็กลายเป็นผลดีที่ช่วยให้สังคมไทยหันมาทบทวนความคลั่งไคล้ของชนชั้นกลางที่มีชื่อเสียงในสังคมหรือพวกขวาอำมาตย์นิยมต่อฮิตเลอร์ในช่วงที่ไทยยังถูกครองภายใต้การปกครองแบบเผด็จการไม่มากก็น้อย

สำหรับบทความนี้เป็นการวิเคราะห์ว่าเหตุใดพวกขวาอำมาตย์นิยมอย่างเช่นรุ่งคุณจึงคลั่งไคล้และเทิดทูนฮิตเลอร์


ภาพของฮิตเลอร์ในสายตาของพวกขวาอำมาตย์นิยม

ดังที่ผู้เขียนเคยเขียนลงในบทความที่วิพากษ์นิธิเกี่ยวกับฮิตเลอร์เมื่อหลายปีที่แล้วว่านับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา การศึกษาและการรับรู้เกี่ยวกับตัวตนของฮิตเลอร์นั้นไม่จำเป็นต้องอยู่ในด้านลบอย่างสุดขั้วเหมือนกับความเข้าใจของพวกเราหลายคนเสมอไป หากขึ้นอยู่กับบรรยากาศทางการเมืองของแต่ละประเทศซึ่งมีเป็นจำนวนมากที่ปกครองแบบเผด็จการ ดังนั้นถ้าประเทศที่ใช้วิธีการในการควบคุมประชาชนแบบฮิตเลอร์หรือลัทธินาซี (Nazism) เช่นเน้นลัทธิเชิดชูบุคคล มีตำรวจลับแฝงตัวแบบเกสตาโปในฝูงชน มีค่ายกักกัน เน้นการฆ่าคนมากๆ   ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะให้การศึกษาของตนประณามก่นด่ารูปแบบการปกครองของฮิตเลอร์หรือว่าจะทาสีให้ฮิตเลอร์ดำเหมือนกับประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยเสรีนิยม เว้นแต่ว่าจะนำเอาฮิตเลอร์เป็นเป้าล่อเพื่อทำให้ตัวเองดูดีถึงแม้จะมีรูปแบบการปกครองไม่ต่างกับฮิตเลอร์ดังเช่นสหภาพโซเวียตและรัสเซียในยุคปูติน

สำหรับรัฐไทยนั้นถูกครอบงำโดยอุดมการณ์ชาตินิยมที่เน้นความสำคัญของตัวบุคคลเป็นหลักดังแนวคิดมหาบุรุษ (Great Man theory) บุคคลๆ หนึ่งย่อมได้รับการยกย่องจากพวกชาตินิยมหากเขาหรือเธอมีคุณสมบัติผู้นำที่เข้มแข็ง เด็ดขาดและยอมเสียสละเพื่อประเทศโดยละเว้นด้านไม่ดีเสียไม่ว่าพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต หรือรวมไปถึงผู้นำที่ก้าวมาจากการเป็นสามัญชน ดังเช่นจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์หรือจอมพลถนอม กิติขจรจนมาถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเหมาะสมกับภาพของฮิตเลอร์ในบางแง่มุมถ้าศึกษาประวัติศาสตร์อย่าง  “เลือกสนใจบางเรื่อง” ซึ่งพวกขวาอำมาตย์นิยมหลายคนมีความถนัดเช่นนี้   เมื่อพวกเขามีฮิตเลอร์เป็นต้นแบบแล้ว คำว่า "รักชาติ" ของพวกเขาจึงไม่มีทางที่จะกลายเป็นความเลวได้  เพราะพวกเขาไม่เคยก้าวข้ามคำว่ารักประเทศอื่นหรือการความเป็นสากลนิยม (Internationalism)  โดยปราศจากการเอาประเทศตนเป็นศูนย์กลาง ยิ่งพวกเขาหมกมุ่นกับความยิ่งใหญ่ของบุคคลซึ่งมักจะตั้งอยู่บนเรื่องเชื้อชาติแล้ว (เช่นเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่เพราะมีเชื้อชาติไทย) พวกเขาก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติกับชนชาติอื่นในฐานะที่ด้อยกว่าโดยใช้วิธีการแบบก้าวร้าวดังเช่นพวกพันธมิตรซึ่งเคยกดดันให้รัฐบาลไทยทำสงครามกับกัมพูชาเพราะมีสำนึกอยู่เสมอว่าคนกัมพูชาด้อยกว่าตัวเองเมื่อหลายปีก่อน

ยังเป็นที่น่าสนใจว่าในช่วงทักษิณมีอำนาจอยู่นั้น พวกขวาอำมาตย์นิยมก็นำเอาภาพของฮิตเลอร์มาเกี่ยวข้องหรืออุปมาอุปไมยต่อตัวทักษิณด้วยท่าที่แตกต่างกัน บางคนโจมตีทักษิณโดยเปรียบฮิตเลอร์ซึ่งขึ้นมามีอำนาจเหนือเยอรมันผ่านการเลือกตั้งว่าเหมือนกับทักษิณ โดยเฉพาะนายบรรเจิด   สิงคะเนติถึงกลับพูดเป็นทำนองว่าทักษิณนั้นจะเป็นฮิตเลอร์จากความพยายามในการเพิ่มอำนาจให้กับฝ่ายบริหารและจะนำประเทศไปสู่ความหายนะ ทั้งที่ทักษิณไม่เคยชูลัทธิชาตินิยมผสมกองทัพนิยมและคิดจะรุกรานประเทศอื่นเหมือนฮิตเลอร์ (กระนั้นเมื่อคสช.ยึดอำนาจและปกครองไทยเหมือนกับฮิตเลอร์โดยเฉพาะการใช้มาตรา 44  นายบรรเจิดกลับพูดวิจารณ์รัฐบาลแบบอ้อมแอ้มและไม่เคยยกวาทกรรมเรื่องฮิตเลอร์ขึ้นมาอีกเลยเพราะมัวแต่ยุ่งในการช่วยร่างรัฐธรรมนูญให้กับคสช.) หรือพวกขวาอำมาตย์นิยมบางคนยกย่องฮิตเลอร์ซึ่งไม่ได้มีปูมหลังเป็นนายทุนว่ารักชาติยิ่งกว่าทักษิณแม้ว่าจะพาเยอรมันไปสู่ความพินาศก็ตาม  (อันนี้ผู้เขียนอ่านพบในพันธุ์ทิพย์)   ความคิดหลังนี้มีลักษณะคล้ายกับความคิดของรุ่งคุณอยู่ไม่น้อย  รุ่งคุณนั้นแม้จะอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับทักษิณ แต่เขาก็โจมตีรัฐบาลชุดปัจจุบันผ่านบทความอื่นในเฟซบุ๊กอันเดียวกันเช่นการที่รัฐบาลไม่กระตือรือร้นในนำกิจการเช่นด้านพลังงานให้กลับมาเป็นรัฐเหมือนกับที่รัฐนาซีทำ เขายังมองว่าการที่กองทัพเรือคิดจะซื้อเรือดำน้ำเป็นการฉ้อราษฎรบังหลวง สิ่งนี้ทำให้ผู้เขียนสงสัยว่ารุ่งคุณอาจจะแตกต่างจากพวกขวาอำมาตย์นิยมบางกลุ่มคือกำลังรอคอยบุคคลที่หัวเอียงขวาสุดขั้วยิ่งกว่าคสช.หรือมีความซื่อสัตย์และเสียสละยิ่งกว่าคสช.(ตามที่เขาเชื่อ) ดังเช่นฮิตเลอร์หรือไม่  หากเป็นเช่นนั้นฮิตเลอร์จึงกลายเป็นบุคคลในตำนานหรืออุดมคติที่พวกขวาอำมาตย์นิยมหลายคนคร่ำครวญถึงอันเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนัก เพราะตามประวัติศาสตร์นั้นฮิตเลอร์เข้าสู่หรืออยู่ในอำนาจโดยปราศจากการใช้ความรุนแรงกับประชาชนตัวเองไม่ได้ (แม้จะไม่ทำสงครามก็ตาม) และที่สำคัญรุ่งคุณดูเหมือนไม่จงใจพูดถึงเรื่องนี้นักนอกจากการอ้างถึงชาวยิว


ความตายของชาวยิวกว่า 7-8 ล้านคนเป็นเรื่องปลอม ?

การปฏิเสธไม่เห็นคุณค่าของชีวิตคนอื่นแม้จะมีเป็นจำนวนมากเป็นเรื่องธรรมดาของพวกขวาอนุรักษ์นิยมด้วยลัทธิชาตินิยมที่พวกขวาอำมาตย์นิยมไทยยึดถือมีคุณสมบัติพิเศษคือถึงแม้ตัวเองนั้นจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่คือนับตั้งแต่รัชกาลที่ 6 และจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นต้นมาแต่ก็สามารถทำให้คนที่ตกอยู่ใต้อุดมการณ์นี้คิดว่ามันดำรงมานับเป็นพันๆ ปี นับตั้งแต่คนไทยกินขี้ปี้นอนอยู่บนเทือกเขาอัลไต แน่นอนว่ามายาคติเช่นนี้ย่อมทำให้คำว่าสิทธิมนุษยชนหรือคุณค่าของชีวิตมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายและดูเป็นฝรั่งทั้งที่สิทธิมนุษยชนนั้นเก่าแก่กว่าลัทธิชาตินิยมไทยเป็นพันๆ ปี 

ยิ่งในปัจจุบันกระแสต่อต้านสหรัฐอเมริกาที่ถูกพัดแรงยิ่งขึ้นหลังจากทำการคว่ำบาตรไทยในช่วงนี้ก็ทำให้ใครหลายคนหันมาต่อต้านและมองว่าสิทธิมนุษยชน (เช่นเดียวกับประชาธิปไตย) เป็นสิ่งที่ถูกชาวตะวันตกสร้างขึ้นมาเพื่อกดดันสังคมไทย เท่านั้นยังไม่พอพวกขวาอำมาตย์นิยมซึ่งมักเป็นชนชั้นกลางนั้นมักหมกมุ่นอยู่กับวัฒนธรรมแบบประชานิยมที่ถูกผลิตซ้ำผ่านสื่อต่างๆ เช่นภาพยนตร์  เพลง อินเทอร์เน็ต ฯลฯ สื่อเหล่านั้นเป็นช่องทางอันดีในการผลิตซ้ำทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy theory) เกี่ยวกับชาวยิวครองสหรัฐอเมริกาหรือครองโลกโดยเฉพาะเศรษฐีหรือนายทุนเชื้อสายยิวซึ่งถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายๆ ไม่ว่าการลอบสังหารจอห์น เอฟ เคนนาดีหรือการก่อวินาศกรรมตึกเวิร์ดเทรดในปี 2001 โดยที่พวกขวาอำมาตย์นิยมเหล่านั้นซึ่งมีการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ทั้งในโรงเรียนและระดับมหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่วิชาย่อมไม่เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างประวัติศาสตร์ในฐานะเป็นวิทยาศาสตร์ กับทฤษฎีสมคบคิดที่ถูกถ่ายทอดกันไม่ต่างอะไรกับการเล่าเรื่องภูตผีปีศาจหรือมนุษย์ต่างดาวกับข้อมูลที่พิสูจน์ไม่ได้ในฐานะเป็นศาสตร์กำมะลอ

การไม่สนใจชีวิตมนุษย์ด้วยกันเท่าชาติอันเป็นรักของตนผสมกับทฤษฎีสมคบคิดที่ต่อต้านยิว ย่อมทำให้พวกขวาอำมาตย์นิยมไม่รู้สึกสะเทือนใจอะไรกับการฆ่าคนจำนวนมากของฮิตเลอร์ โดยเฉพาะชาวยิวซึ่งถือได้ว่าเป็น Untermenschen หรือเดนมนุษย์ที่สมควรต้องถูกกำจัดออกไป แนวคิดนี้อยู่ในกมลสันดานของพวกขวาอำมาตย์นิยมที่อยู่เป็นชนชั้นปกครองของไทย ดังจะเห็นได้ถึงการฆ่าประชาชนในกรณี 14 ตุลาคม 2516 หรือ 6  ตุลาคม 2519 ก่อนที่สื่อประชานิยมที่เน้นการโจมตีชาวยิวอย่างรุนแรงจะแพร่หลายเสียด้วยซ้ำ  กระนั้นความรู้สึกต่อต้านชาวยิวของคนไทยที่มีแนวคิดชาตินิยมเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมภายหลังจากนายจอร์จ โซรอสเศรษฐีชาวฮังการีเชื้อสายยิวโจมตีค่าเงินบาทไทยในปี 2547 หรือตอนสหรัฐอเมริกาซึ่งเชื่อกันว่าถูกพวกยิวบงการให้ก่อกรรมทำเข็ญกับพวกประเทศโลกที่ 3 เช่นทำสงครามบุกอัฟกานิสถานและอิรัก และหลายคนยังมองไปถึงว่าทักษิณถูกมองว่าเป็นหุ่นเชิดให้กับสหรัฐฯ ซึ่งต้องการขายประเทศชาติให้กับสหรัฐฯและนายทุนยิว  (แต่คนเหล่านั้นก็มักจะมองข้ามว่านโยบายเศรษฐกิจโดยภาพรวมของคสช.ก็ไม่ต่างอะไรกับทักษิณนัก)   ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องแปลกอะไรที่รุ่งคุณจะคิดว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของฮิตเลอร์เป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยชาวยิวถึงแม้จะมีหลักฐานที่บ่งชัดอยู่เป็นจำนวนมาก (สมมติว่ารุ่งคุณยอมรับว่าฮิตเลอร์ฆ่าชาวยิวจริง ผู้เขียนก็สงสัยว่าเขาก็คงจะหาเหตุผลอื่นมาแก้ต่างแทนฮิตเลอร์อยู่นั้นเองถ้าเขายังคงยึดมั่นอยู่กับอุดมการณ์เช่นนี้) มุมมองเช่นนี้ยังสะท้อนว่าพวกขวาอำมาตย์นิยมนั้นพร้อมจะใช้ความเชื่อของตนในการเอาชนะข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นจำนวนมากอันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขามองการเมืองไทยในยุคปัจจุบันไม่ออกเลย 

ตัวอย่างที่สะท้อนเรื่องนี้ได้ดีก็คือรุ่งคุณใช้ทฤษฎีสมคบคิดมาอธิบายประวัติศาสตร์อันถือได้ว่าเป็นบาปมหันต์ทางวงวิชาการที่ว่ารัฐบาลอังกฤษสัญญากับนักธุรกิจเชื้อสายยิวตระกูลหนึ่งว่าถ้าพวกเขานำสหรัฐฯมาร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรในการรบกับเยอรมันแล้ว อังกฤษจะยกพื้นที่ในปาเลสไตน์ให้แก่ชาวยิว ทั้งที่ความจริงแล้วสาเหตุที่ทำให้สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้นมีอยู่หลายปัจจัยเช่นภัยคุกคามจากเรือดำน้ำเยอรมันต่อเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรและสหรัฐฯเช่นทางเยอรมันได้จมเรือโดยสารของอังกฤษที่ชื่อลูซิทาเนียและผู้โดยสารสัญชาติอเมริกันเสียชีวิตกว่าร้อยศพในปี 1915 แม้ว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีวูดโร วิลสันจะพยายามกดดันให้ทางเยอรมันจำกัดการใช้เรือดำน้ำแต่ก็ได้ผลเพียงชั่วเวลาหนึ่ง นอกจากนี้การที่เยอรมันแอบสัญญากับเม็กซิโกว่าจะยกพื้นที่ในสหรัฐฯ ให้หากเม็กซิโกเข้าเป็นพันธมิตรกับเยอรมัน (ดังที่เรียกว่าเหตุการณ์ Zimmermann Telegram) ก็กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายให้สหรัฐฯเข้าร่วมสงครามทั้งที่เคยประกาศการเป็นกลางอย่างเคร่งครัดมาตลอด (1)  จึงไม่น่าเชื่อว่าแค่นักธุรกิจตระกูลๆ เดียวจะสามารถสั่งการให้ชาติอย่างเช่นสหรัฐฯ เข้าสู่สงครามได้ แต่ทฤษฎีนี้ก็ได้สร้างภาพที่ยิ่งใหญ่เกินจริงแก่ชาวยิว เช่นเดียวกับการที่รุ่งคุณอ้างว่าประวัติศาสตร์ถูกเขียนขึ้นมาโดยผู้ชนะนั้นคือราวกับว่าเขาเห็นว่ายิวชนะทั้งที่ชาวยิวจำนวนมากในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชีวิตก็ไม่ได้ดีเท่าไรนักอย่างเช่นถูกกดขี่ข่มเหงในสหภาพโซเวียตและประเทศอื่นๆ ถึงแม้เยอรมันนาซีจะล่มสลายไปก็ตามจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปรวมตัวกันเป็นรัฐอิสราเอลในตะวันออกกลางในอีก 2- 3 ปีต่อมา

นอกจากนี้ยังเกิดคำถามว่าถ้ายิวมีอิทธิพลเหนือสื่อมวลชนจนสามารถปลอมเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ให้คนทั้งโลกเกลียดชังฮิตเลอร์ดังรุ่งคุณเชื่อ เช่น สร้างค่ายกักกันจำลองพร้อมตัวละครที่น่าสงสาร การสร้างภาพข่าวปลอม  (เหมือนกับหนังเรื่อง Good Bye Lenin) รวมไปถึงการจ้างให้นักประวัติศาสตร์ทั่วโลกเขียนหนังสือสร้างเรื่องขึ้นมา ฯลฯ เหตุใดอิสราเอลหรือชาวยิวจึงไม่สามารถสร้างเรื่องปกปิดความโหดร้ายของกองทัพอิสราเอลต่อปาเลสไตน์ในเวลาที่ผ่านมาได้ สิ่งนี้เป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งทำให้เกิดกระแสต่อต้านยิวในยุโรปที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะตอนที่อิสราเอลทำสงครามกับกลุ่มฮามัสเมื่อปี 2014 (2) เป็นเรื่องจริงที่ว่าสื่อกระแสหลักของตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกามีอคติและมักเสนอข่าวที่ค่อนข้างทาสีดำมืดให้กับชาวปาเลสไตน์และชาวตะวันออกกลางอื่นๆ แต่ปัจจุบันสื่อกระแสหลักหรือทางเลือกก็เข้ามามีอิทธิพลต่อมวลชนมากขึ้นจนไม่น่าจะกล่าวได้ว่าถูกพวกเศรษฐีเชื้อสายยิวครอบงำอีกต่อไป

คำถามอื่นๆ ที่ตามมาได้แก่ถ้ารุ่งคุณเชื่อตามคำพูดที่กล่าวเป็นนัยว่าพวกยิวมีอิทธิพลต่อการเมืองโลกมาก แล้วเหตุใดสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ให้การรับรองความเป็นรัฐสังเกตการณ์ที่ไม่ใช่สมาชิก (non-member observer state)  แก่ปาเลสไตน์ (แม้ว่าปาเลสไตน์จะถูกคณะมนตรีความมั่นคงไม่ยอมรับการเป็นรัฐ เพราะสมาชิกถาวรซึ่งหนึ่งในนั้นคือสหรัฐฯ ใช้สิทธิยับยั้งก็ตาม)  นอกจากนี้ประเทศซึ่งเป็นสมาชิกของสหประชาชาติกว่า 135 รัฐให้การรับรองความเป็นรัฐของปาเลสไตน์ และล่าสุดนครรัฐวาติกันซึ่งมักเป็นเป้าของทฤษฎีสมคบคิดก็ให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ด้วย (3) หากยิวสามารถล้างสมองชาวโลกได้จนถึงขั้นหลงเชื่อว่าฮิตเลอร์บิดาผู้ประเสริฐของเยอรมันเป็นซาตานได้ เหตุใดอิสราเอลจึงไม่สามารถหลอกประเทศเหล่านั้นไม่ให้สนับสนุนปาเลสไตน์ซึ่งเป็นหนามยอกอกของอิสราเอลมาหลายทศวรรษ ?


ทุกคนรักฮิตเลอร์และฮิตเลอร์รักทุกคน ?

แนวคิดดังข้างบนยังทำให้พวกขวาอำมาตย์นิยมตาบอดเข้าใจว่าฮิตเลอร์รักทุกคนและทุกคนรักฮิตเลอร์ทั้งที่รัฐเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จเช่นนั้นย่อมไม่เปิดพื้นที่ให้คนเยอรมันสามารถแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมาได้เช่นเดียวกับเกาหลีเหนือ เราจึงไม่สามารถบอกได้ว่าคนเยอรมันแท้ที่จริงคิดอย่างไรกับ ฮิตเลอร์ เพียงเพราะแอบนินทาฮิตเลอร์กับภรรยาอยู่ที่บ้าน ลูกๆ ซึ่งถูกรัฐบาลล้างสมองก็ไปกระซิบบอกกับพวกเกสตาโปให้มาลากคอพ่อแม่ไปขังคุกแล้ว นอกจากนี้พวกขวาอำมาตย์นิยมยังตาบอดกับความโหดร้ายของฮิตเลอร์ต่อคนเยอรมันที่มีความคิดเห็นอันแตกต่างหรือต่อต้านนาซีถึงแม้ไม่ใช่ยิวเช่นพวกสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ (ซึ่งพวกขวาอำมาตย์นิยมก็ไม่ชอบอยู่แล้ว)  พวกนับถือศาสนาคริสต์นิกายพยานพระยะโฮวาห์ รวมไปถึงพวกที่ไม่จัดว่ามีลักษณะเป็นเผ่าอารยันดังเช่นพวกยิปซี พวกรักร่วมเพศ  พวกคนพิการ ฯลฯ ดังจะเห็นได้จากสถิติของเกสตาโป มีคนเยอรมันกว่า  77,000 คน เป็นที่สนใจอีกว่าในกลุ่มผู้ต่อต้านฮิตเลอร์หลายคนเป็นแค่เยาวชนดังกลุ่มเรียกว่า Edelweiss Pirates และกลุ่ม White Rose  (4)  ไม่นับอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกส่งเข้าค่ายกักกัน
   
นอกจากนี้ยังมีความพยายามในการลอบฆ่าฮิตเลอร์อย่างเช่นในปี 1944  ดังที่เรียกว่าแผนการวันที่ 20 กรกฎาคม (20 July plot) ที่บรรดานายทหารในกองทัพวางแผนสังหารฮิตเลอร์แต่ไม่ประสบความสำเร็จ อันนำไปสู่การกวาดล้างนายทหารจำนวนมากที่เกี่ยวพันกับเหตุการณ์ครั้งนี้ซึ่งยังเกี่ยวโยงกับนายพล   เออร์วิน รอมเมลที่ได้รับฉายาว่าจิ้งจอกทะเลทรายอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการการเปิดเผยว่าในช่วงสุดท้ายก่อนที่ฮิตเลอร์บิดาผู้ยิ่งใหญ่ของเยอรมันตามความเชื่อของรุ่งคุณจะฆ่าตัวตาย เขาได้บอกกับคนรอบข้างว่าคนเยอรมันสมควรฉิบหายได้แล้ว เพราะคนเยอรมันนั้นไม่ได้ต่อสู้กับศัตรูอย่างกล้าหาญ (5)  

สิ่งเหล่านี้ย่อมบอกกับเราได้ว่าฮิตเลอร์ไม่ได้รักประชาชนเท่ากับอำนาจของตน การที่รุ่งคุณอ้างถึงคุณประโยชน์ของฮิตเลอร์ต่อชาวเยอรมัน นั้นสะท้อนให้เห็นว่า พวกขวาอำมาตย์นิยมไม่เข้าใจว่าผู้นำแบบประชาธิปไตย (เช่นเดียวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน)ก็ได้สร้างประโยชน์ให้กับบ้านเมืองไม่แพ้กับพวกทรราชหรือคณาธิปไตย  ดังเราจะเห็นได้ว่าประเทศในโลกที่พัฒนาแล้วมักมีการปกครองแบบประชาธิปไตยเสรีนิยมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ร้อยๆ  ปีจนถึงปัจจุบัน 
     
นอกจากนี้การที่รุ่งคุณอ้างถึงคำพูดของอดีตนายกรัฐมนตรี 2 ท่านที่ยกย่องฮิตเลอร์โดยเฉพาะ วินสตัน เชอร์ชิล ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าเชอร์ชิลนั้นยกย่องฮิตเลอร์จริงๆ หรือว่าผู้อ้างได้ตัดเอาบางประโยคของเชอร์ชิลมาเท่านั้น (6)  สมมติว่าเชอร์ชิล (ซึ่งเคยกล่าวยกย่องมุสโสลินีมาก่อน)และเดวิด ลอยด์ จอร์จ พูดชมฮิตเลอร์จริงก็ไม่สามารถนำมาพิสูจน์ได้ว่าฮิตเลอร์เป็นคนดีเพราะเป็นการแสดงทัศนคติส่วนตัวของนักการเมืองบางคนและอยู่ในช่วงก่อนเยอรมันจะเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่  2   เสียด้วยซ้ำ  ดังนั้นเราก็ไม่อาจทราบได้ว่าเชอร์ชิลและจอร์จในตอนที่พูดนั้นได้เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเยอรมันจริงๆ หรือไม่นอกจากเห็นเพียงภาพผิวเผินของการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งของฮิตเลอร์
   
ตัวอย่างความคลั่งไคล้ของรุ่งคุณทั้งหมดนี้สอนให้รู้ว่าการยึดมั่นในอุดมการณ์บางอย่างเช่นชาตินิยม อำมาตย์นิยม กองทัพนิยม ฯลฯ นั้นได้ทำให้ชนชั้นกลางซึ่งควรจะตั้งอยู่โลกแห่งเหตุและผลมีความศรัทธาอันมืดบอดไม่ต่างจากการที่ชาวบ้านบางกลุ่มงมงายกับการขอหวยจากต้นไม้หรือสุนัขออกลูกเป็นวัวแม้แต่น้อยเลย เพียงแต่เรื่องเล่าหรือทฤษฎีสมคบคิดนั้นมีลักษณะที่ดูเหนือชั้นและแยบยลยิ่งกว่าและผู้เชื่อนั้นมีตัวตนและเสียงอันดังในสังคม

 

อ้างอิง
(1)  http://www.bbc.co.uk/history/worldwars/wwone/summary_01.shtml
(2)http://www.theguardian.com/society/2014/aug/07/antisemitism-rise-europe-worst-since-nazis
(3) http://en.wikipedia.org/wiki/International_recognition_of_the_State_of_Palestine
(4) http://en.wikipedia.org/wiki/German_Resistance_to_Nazism
(5)http://www.telegraph.co.uk/history/world-war-two/9634466/Hitlers-last-days-secret-files-show-dictator-believed-Germans-deserved-to-perish.html และ
    http://www.businessinsider.com/documents-reveal-hitlers-epic-rant-to-senior-nazis-8-days-before-he-died-2012-10

(6) https://richardlangworth.com/did-churchill-praise-hitler

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net