Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis


ที่มาภาพ: http://www.dailynews.co.th/regional

ไม่ใช่ความเชื่อส่วนบุคคล หรือจะใช้ประเด็นนี้เป็นข้ออ้างหลบเลี่ยงเพื่อจะอธิบาย (สำหรับผู้ที่เชื่อและไม่เชื่อไปพร้อมกัน) อีกต่อไป เพราะปฏิเสธไม่ได้ที่เรื่องนี้มันกลายเป็นกระแสสังคมทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปแล้วเรียบร้อย ผู้คนต่างพูดถึงเรื่องนี้กันมาก มันเป็นเรื่องที่มีนัยทางสังคมวัฒนธรรมอยู่แน่ๆ เมื่อเกิดความสงสัยแต่ดันต้องทำเรื่องอื่น ซึ่งผมเห็นว่ามันสำคัญกว่าเรื่องนี้มากมายก่ายกอง และผมก็คงไม่มีความอดทนมากพอ ที่จะตามเก็บข้อมูลได้หมด เลยได้แค่ส่องดูตามกระทู้ต่างๆ ในเวบไซต์ โดยเฉพาะจากเวบพันทิพ สนองความอยากรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันฟร่ะ (อย่าได้เอาสาระว่าเป็นความเห็นทางวิชาการอะไรล่ะ)

ก็แน่นอนในพันทิพ ก็จะมีการถกเถียงพูดคุยกัน ทั้งฝ่ายเชื่อและไม่เชื่อ ฝ่ายไม่เชื่อ ก็ว่างมงาย ไร้สาระ บ้างก็ใช้คำด่าทอสารพัด ว่ากันไป สอดคล้องกับกระแสสังคมเท่าที่เห็นตามสื่อออนไลน์ ได้ข้อสรุปว่าเหตุผลคำกล่าวของฝ่ายไม่เชื่อ ก็มีลักษณะเหมือนที่พบเห็นได้ทั่วไปนั่นแหล่ะ แต่เมื่ออยากรู้ว่าคนอีกกลุ่ม เขามีความคิดเห็นกันอย่างไร เลยเพ่งพิจารณาความเห็นของฝ่ายที่เชื่อมากหน่อย เพราะคนที่ผมรู้จัก เท่าที่ดู ไม่มีใครเชื่อเสียด้วย และก็ไม่ใช่เรื่องจะไปส่องดูว่าญาติโกโหติกาตัวเองเชื่ออะไรไม่เชื่ออย่างไร โดยส่วนตัวไม่มีปัญหาหรอกว่าใครจะเชื่อไม่เชื่ออะไร อย่างไร เพียงแต่เชื่อแล้ว ไม่มาเที่ยวจับใครเข้าคุกหรือเข่นฆ่าอีกฝ่ายที่ไม่เชื่อเหมือนอย่างตน ก็โอเคแล้ว แต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ก็เลยต้องพึ่งพันทิพเจ้าเก่านี่แหล่ะ ก็พบความเห็นหลากหลาย บางอันก็ไม่เคยพบที่ไหน นึกไม่ออกว่าใครจะใช้มาเป็นเหตุผลเพื่อการอันใดได้ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ยกตัวอย่างเช่น

“เราก็อุ้มไปเดินห้างนะ....รักเหมือนลูก คนที่มีลูกได้คงไม่เข้าใจความรู้สึกนี้” (ความเห็นที่ 4)

“ของเราเป็นลูกเทพอะคะ ไม่ใช่กุมารหรือกุมารี... ส่วนใครที่เชื่อหรือลบหลู่ก็ไม่ต้องยุ่งนะคะ คนเราความเชื่อต่างกัน นะคะ ความคิดย่อมต่างกัน ไม่มีใครหรอกคะทำงานแล้วไม่รวย แต่ที่บางทีเรามีน้อง ก็เป็น 1 ตัวช่วยที่ทำให้ราบรื่นไม่สดุด ช่วยเสริมดวงเราไม่ให้ตกคะ บางทีถ้าเดือดร้อน อาจจะมีโชคลาภมาให้ไม่ขาดสาย ถ้ามีน้องแล้วดีแบบนี้ ยอมเป็นคนบ้าคะ บ้าแต่รวย” (ความเห็นที่ 9)

“ทุกคนต่างมีสิ่งที่ตนรัก พวกที่พูดว่าบ้า พูดว่าโง่ หรือ ประสาท ตัวคุณเอง อาจจะสะสมหนังโป๊อยู่หรือป่าวคะ” (ความเห็นที่ 10)

“ผู้ชายบ้ารถ แต่งรถ ผู้หญิงบ้าแต่งตัว บ้าสะสมเครื่องสำอาง บ้ากระเป๋า อารมณ์ประมาณนี้แหล่ะ ไม่ใช่เรื่องแปลกและไม่ใช่เทรนด์” (ความเห็นที่ 15)

ฯลฯ

อ่านโดยตลอดแล้ว ไม่พบคำว่า “เลี้ยง” สำหรับอธิบายกิจกรรม/พิธีกรรม/การปฏิบัติ ที่เกี่ยวข้อง หากแต่ในหมู่ผู้ที่เชื่อและประกอบพิธีกรรมเกี่ยวข้องนั้น เขาใช้คำว่า “เล่น” แต่มันต่างจากเล่นตุ๊กตา บาร์บี้ หรืออย่างเฟอร์บี้ ที่เคยเป็นกระแส ตรงที่มีการมองถึงผลในเรื่องโชคลาภ (ตามความเห็นที่ 9) ตรงนี้เลยต่างจากการ “เลี้ยง” สิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น หมอ แมว อีกัวน่า ฯลฯ จริงอยู่ว่าความเชื่ออย่างของทางล้านนาและอีสาน มีคำว่า “เลี้ยงผี” แต่ไม่ใช่วัตถุที่นำมาโชว์ในที่สาธารณะ วิญญาณเป็นสิ่งที่อยู่เหนือสิ่งมีชีวิต

ก่อนนี้จตุคามก็ทลายกรอบนี้ ผี พระ เทพ ผนึกรวมร่างกันราวกับซุปเปอร์ไซยา มีทั้งสองอย่าง เทพได้รับอนุญาตให้เปิดเผยวัตถุที่สื่อนั้นต่อสาธารณะได้ แต่ผีต้องหลบซ่อนตัวอยู่หลังฉาก พลังของผีอยู่ตรงนี้ แถมถูกปลุกเสกอนุญาตจากพระ จากคนมีคาถาอาคมอย่างขุนพันธ์อีก ในแง่นี้ตุ๊กตาลูกเทพไม่ต่างจากจตุคาม มีกรรมวิธีกระบวนการครบ มีทั้งผี พระ เทพ ผนึกรวมร่างกัน แต่ผีทรงพลังมากสุด เพราะผีโยงใยชักนำพระกับเทพอีกต่อหนึ่ง ผีอาวุโสสุด

ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับวัตถุ เมื่อมันถือเป็นการ “เล่น” ไม่ใช่ “เลี้ยง” จึงบ่งบอกถึงความสามารถในการจำแนกแยกแยะระหว่างความจริงกับสิ่งไม่จริง ซึ่งอันนี้จะว่า “บ้า” ไม่ได้ กระนั้นเขาก็ยังเป็นมนุษย์เหมือนอย่างเราๆ ท่านๆ นี่แหล่ะ เพียงแต่มีความเชื่อต่างกัน การละทิ้งวัตถุ (ตุ๊กตา) อาจเป็นหมุดหมาย ที่บอกถึงการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ บางคนอาจจะเคยเล่นหรือไม่เคยเล่นตุ๊กตามาก่อน ไม่น่าจะเกี่ยวกัน แต่เกี่ยวตรงที่วัตถุ (ตุ๊กตา) ถูกหมายในเชิงสัญลักษณ์ให้แทนที่ภาวะอย่างไรมากกว่า

ถ้าเป็นอย่างความเห็นที่ 3 ที่ว่า

“เราก็อุ้มไปเดินห้างนะ....รักเหมือนลูก คนที่มีลูกได้คงไม่เข้าใจความรู้สึกนี้”

ดูเหมือนความเห็นนี้จะได้รับความเห็นใจมากสุด ไม่มีการตอบโต้หรือด่าทอความเห็นนี้ในกระทู้ดังกล่าว มันก็คงดูจะเกี่ยวกับเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งของสังคมปัจจุบันอยู่ มายคติ วาทกรรม เรื่องครอบครัวในอุดมคติ มีลูกเมื่อพร้อม ครบพ่อ แม่ ลูก เราต่างถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าการมีมนุษย์ลูก มนุษย์พ่อ มนุษย์แม่ เท่ากับเราเป็นมนุษย์ที่มีความสุขสมบูรณ์ แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจบรรลุได้ในท่ามกลางสังคมปัจจุบันที่มันมีปัญหามากมายก่ายกอง มีพ่อ มีแม่ มีลูก ก็ไม่ใช่ว่า พ่อ แม่ ลูก จะตอบสนองความสุขให้กับคุณได้ บางคนเป็นเพศที่สาม สี่ ห้า หก ฯลฯ ไม่สามารถมีลูกได้ตามฟังก์ชั่นธรรมชาติ จะอาศัยสเปิร์ม ใช้แม่อุ้มบุญ ก็ไม่ได้ทุกคน

ในแง่นี้ “ลูกทางวัฒนธรรม” อาจจะช่วยได้ และตุ๊กตามันก็ถูกออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์อยู่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตุ๊กตายาง ที่กำลังจะมาทำหน้าที่มนุษย์เมียอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ที่มากกว่าชีวิต ก็คือวิญญาณ ที่มากกว่าวิญาณก็คือวัฒนธรรมความเชื่อ ซึ่งมันเปลี่ยนแปลงอีดิทหรือสร้างวัตถุมาสื่อความหมายได้ โดยสรุปก็คงมีคนจำนวนหนึ่ง ไม่รู้สึกเติมเต็มกับมนุษย์ด้วยกันมรท่ามกลางสังคมปัจจุบัน และก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ยุคที่มนุษย์จะมีสิทธิเอามนุษย์ด้วยกันเอง มาเป็นวัตถุบำบัดหรือบรรลุความสุขให้แก่กันมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการนับญาติกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นวิธีการทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนอุษาคเนย์ หรือที่ไหนๆ ก็ตาม แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นอันเดียวกับ Animism เก่าแก่โบราณ คนอุษาคเนย์มีวัฒนธรรมการทำตุ๊กตา (ดินเผา) แทนตัวก็จริง มีการทำรูปปั้นนบไหว้แทนเทพเขากงไกรลาสก็จริง มีการทำสถูปเจดีย์ให้เคารพแทนเขาพระสุเมรุก็จริง มีการทำพระพุทธรูปกราบไหว้แทนบุคคลที่ล่วงลับไปกว่า 2,500 ปีมาแล้วก็จริง แต่นั่นก็มีลักษณะเป็นการทำวัตถุเพื่อนำเสนอความเชื่อที่มีอยู่เดิม ไม่ใช่การทำวัตถุมาเพื่อสร้างความเชื่อใหม่ เข้าใจว่าอย่างนั้น คนที่เล่นลูกเทพ ไม่เหมือนคนเลี้ยงผีแบบล้านนา เหมือนจตุคามมากว่า แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว

คนเล่นลูกเทพดูไม่ใช่คนที่จะเชื่อตามแบบแผนความเชื่อที่มีอยู่เดิมแน่ๆ ไม่งั้นก็คงฟินอยู่กับบาร์บี้ เฟอร์บี้ หรือฟิซเจอริ่งได้กับตุ๊กตายางไปแล้ว และถ้าจะว่าถึงแบบแผนศาสนาจะมีตรงนี้มากกว่า มีความต้องการแสดงอัตลักษณ์ตัวตนความพิเศษบางอย่างอย่างเห็นได้ชัด ถึงได้สามารถถือเดินไปไหนต่อไหนด้วยได้ กรณีอย่างนี้ก็เหมือนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หรือแม้แต่ไอโฟน (ที่อีตาดอกเตอร์ท่านหนึ่งเอามาคุยกับมนุษย์ต่างดาวนั่นแหล่ะ) การนับญาติแบบนี้นี่แหล่ะ เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ที่ผมมองว่า ตัวจริงของ “ลูกเทพ” ก็คือ “ผี” ลูกเทพ พ่อผี มีแต่ “ผี” ที่อนุญาตให้คนนับญาติด้วยได้ “เทพ” นับไม่ได้

คนที่เชื่อหรือเล่นอะไรแบบนี้ คงเป็นคนที่พร้อมจะเปลี่ยนความเชื่อเดิมหรือสร้างความเชื่ออย่างใหม่ เพื่อผลประโยชน์ของตนแม้ในระยะอันสั้น ในแง่นี้ก็ไม่ต่างจากคนที่เอาเรื่องความจงรักภักดีมาหากิน เพียงแต่ไม่เลวร้ายถึงขั้นทำร้ายผู้อื่นด้วยกฎหมาย ด้วยการใช้กำลังความรุนแรง ความรู้สึกที่ไม่มั่นคงในทางเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เกิดในระยะหลังมานี้ คงมีส่วนด้วยไม่น้อย จึงเกิดกลุ่มคนที่ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวหรือความเชื่อมั่นบางอย่าง อย่างเรื่องโชคลาภ เพราะวิถีของคนเหล่านี้ขึ้นอยู่กับเรื่องดวง เรื่องโชคลาภ ความไม่แน่นอน สภาวะความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจถูกมองเป็นดวงชะตา เรื่องโชคลาภ จักรวาลความเชื่อมันไปได้ไกลสุดตรงนั้น เขาไม่รับรู้หรอกว่าจีดีพี ตัวเลขการส่งออก นโยบายรัฐบาลเป็นยังไง ก็เมื่อไม่มั่นคงไม่แน่นอนดังนั้นแล้ว แต่ดันจะไปประท้วง เรียกร้องสิทธิเอากับผู้มีอำนาจ ก็เห็นอยู่ว่าเป็นอย่างไร คือมันก็ไม่ได้ไง แล้วสำหรับคนที่มีจักรวาลความคิดความเชื่ออย่างนั้นล่ะ จะทำจะเป็นอย่างไร เราต้องเข้าใจตรงนี้ ในเมื่อจำนวนมากไม่ใช่คนที่พร้อมจะสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรอยู่แล้ว โดยเฉพาะพวกมนุษย์กลายพันธุ์อย่างคนไทยเนี่ย ก็พวกเขาแค่หวังความก้าวหน้ามั่นคงในชีวิตปกติ สังคมมันก็ให้ไม่ได้ แล้วจะยังไงล่ะ ต่อเมื่อหันมาพึ่งผี พวกผีที่มีอยู่เดิม มันไม่เวิร์คอีก มันไม่ตอบสนองต่อสภาพการณ์ใหม่ กลุ่มคนใหม่ แบบนี้

ลูกเทพเป็นการบริโภค แต่ไม่ใช่แค่การบริโภคโดยตัวมันเอง เพราะมันมีนัยยะถึงประเด็นเรื่องรูปแบบทางเลือกของชีวิตประจำวัน และก็ไม่ได้มีแต่ชนชั้นกลาง หรือหากจะยังเป็นเรื่องวัฒนธรรมของชนชั้นกลาง คนพวกนี้ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งต้องการผีอีกแบบหนึ่ง แต่ที่เขียนนี่ไม่ใช่จะมาดีเฟนด์ให้ใคร เพียงแต่เห็นว่าเราน่าจะมองประเด็นเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดกับผู้คนในสังคมนี้มากกว่า และเราควรมีสายตาที่ยุติธรรมต่อคนที่เชื่อต่างจากเราด้วย

การ “เล่นลูกเทพ” แทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ “เล่นบังคับผี” นั่นแหล่ะ คนที่จะบังคับผีหรือคิดว่าตนบังคับผี เล่นกับผีได้นั้น จะเป็นคนแบบไหนกันล่ะ ก็คงเป็นคนที่ต้องการแสดงให้เห็นว่าตนมีอำนาจ พิเศษ สามารถเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และควบคุมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ไม่ใช่ลักษณะของคนที่เชื่อตาม ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเขามิได้มีอำนาจในโลกความจริง จึงได้สร้าง จำลอง ย่อส่วน โลกที่ตนปรารถนาจะให้เป็นขึ้นมา โลกที่ตนมีอำนาจต่อรองและควบคุมมันได้ขึ้นมา ปฏิเสธแบบแผนเดิม แต่ไม่ถึงกับเป็นกบฏเหมือนอย่างกบฏผู้มีบุญในอดีต ท้ายสุดผมเชื่อว่าโลกแบบนี้จะมีสมาชิกใหม่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่โลกความจริงของสังคมไทยปัจจุบัน ยังเป็นอยู่อย่างที่มันเป็นทุกวันนี้



หมายเหตุผู้เขียน: มีอีก 2-3 ประเด็น ไว้ว่างค่อยเขียน ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net