จดหมายถึงไผ่ ดาวดิน “ผมเห็น ผมจดจำ สิ่งที่คุณทำมันถูกต้อง”


ภาพประกอบชื่อ ผู้ก่อการรัก โดยกลุ่ม Realframe

บอกตรงๆ นะว่าเบื่อ

โคตรจะน่าเบื่อ ที่พอไม่ชอบใจรัฐบาลก็ขุดวิธีรัฐประหาร ลากปืน ขับรถถัง ระดมสรรพกำลังออกมาปล้นอำนาจประชาชน

นึกว่าปี 2534 โดยกลุ่มพลเอกสุจินดา คราประยูร จะทำเป็นครั้งสุดท้าย เพราะผลพวงและหลักฐานแห่งบาดแผลจากเหตุการณ์พฤษภามหาโหดปี 2535 ก็น่าจะเจ็บปวดเหนือคำบรรยาย พอ 19 กันยายน 2549 อ้าว พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เอาอีก

และนึกว่าเป็นทหารรับใช้กลุ่มที่ล้าหลัง ดักดาน ป่าเถื่อนที่สุดแล้ว คงเจ็บจำบทเรียนราคาแพงแล้ว เลิกแล้ว ถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวก ก็เลือกหนทางสร้างตราบาปใหม่ หมุนนาฬิกากลับไปสู่ยุคใครตัวใหญ่ ใครถืออาวุธ คนนั้นคือผู้ปกครอง

ได้อำนาจเถื่อนมาแล้วก็นั่งจ้อหน้าจอทีวี อบรมสั่งสอนประชาชน--เจ้าของอำนาจที่แท้จริง กินแบบนี้สิ นอนตอนนี้สิ หาเงินแบบนั้นดีกว่า อย่าลืมออกกำลังกายด้วยนะ

เย่อหยิ่งหลงตนว่าเสียสละ เข้ามากอบกู้ชาติ เป็นกลาง เป็นวีรบุรุษผู้มากมีความสามารถ

ทั้งที่เป็นคู่ขัดแย้งในทางการเมือง ฉีกรัฐธรรมนูญ ก่อกบฏ แต่เชิดหน้าชูคอหลอกตัวเอง ไม่สำนึก ไม่ละอายใจ ซ้ำริอ่านปีนธรรมาสน์นั่งเทศนาเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ว่าจงสมานสามัคคีกันนะ อย่าทำผิดกฎหมายนะ บลา บลา

การเมืองมีปัญหาแทนที่จะแก้ด้วยการเมือง ดันเอาปืน ดึงศาล มาสร้างปัญหาเพิ่ม น้ำท่วม คนตกงาน บริษัทน้อยใหญ่ปิด เศรษฐกิจพังพินาศจนผู้คนจะกินอากาศแทนข้าวกันอยู่แล้ว พะนะทั่นตั้งอกตั้งใจวิ่งไล่เตะฟุตบอล ฯลฯ

บอกตรงๆ นะว่าหดหู่ สมเพช เบื่อ โคตรจะน่าเบื่อ

แต่ความเบื่อมันเทียบอะไรได้กับการตกเป็นเหยื่อ

จวนจะสามปีแล้ว ทว่าภาพที่คุณและเพื่อนชูสามนิ้วต่อหน้าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฉพาะเสื้อดำที่ประกาศกร้าวบนหน้าอกว่า--ไม่เอารัฐประหาร ยังเป็นภาพตราตรึงอยู่ในใจ

หลายคนกระโดดเกาะแข้งขาเผด็จการ อาสาเข้าไปเป็นลิ่วล้อลูกหาบรับจ้างทำงานให้ หลายคนนิ่งเงียบ อีกบางคนหลบหนีกระเซอะกระเซิง

ปืนอยู่ตรงหน้า คุกอยู่ตรงหน้า คุณเดินเข้าไปหามันอย่างท้าทาย

ไผ่ หัวใจคุณทำด้วยอะไรวะ

มีบางเสียงพยายามลดทอนเครดิตของคุณ บางส่วนตั้งใจเช่นนั้น บางส่วนพลั้งเผลอ ว่าเพราะคุณเป็นเด็ก คุณรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดวุฒิภาวะ คลั่งบ้า และรับเงินมาป่วนเมือง อย่างหลังนี่เราฟังกันจนชินแล้ว (ถ้าอารมณ์ดี และว่างพอ เราก็อาจสวนกลับไปพอหอมปากหอมคอว่า--พ่องตาย)

ถ้าอายุแปดขวบน่ะใช่ ร่างกายและหัวใจยังเป็นเด็ก แต่คุณไม่ใช่ คุณเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

คุณรู้ และทั้งๆ ที่รู้ คุณกล้าหาญที่จะใช้ความรู้และสองมือเปล่าต่อสู้

สู้และติดคุก สู้และติดคุก สู้และติดคุก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า

ผมเห็น ผมจดจำ

คุณเพียงใช้สิทธิพื้นฐานของการเป็นมนุษย์

ผมเห็น ผมจดจำ สิ่งที่คุณทำมันถูกต้อง

แต่คนปล้นอำนาจหน้าไม่อาย พวกเขาบอกว่าคุณผิด กฎหมายบอกว่าคุณผิด

ทั้งที่ความจริง กฎหมายต่างหากที่ผิด บุคลากรและกระบวนการยุติธรรมต่างหากที่วิปริตผิดเพี้ยน เหี้ยมโหด และโง่เขลา พวกเขาไม่แคร์เลยกับคำว่า ‘เสรีภาพ นิติรัฐ และประชาธิปไตย’

แสงแดดจัดจ้า พวกเขาปิดหูปิดตา เดินย้อนยุคไปสู่ความมืด

อย่างที่เราเผชิญอยู่--แล้วคนปกติธรรมดาที่ใช้สิทธิอันแสนสามัญก็ต้องตกเป็นเหยื่อ

บอกตรงๆ นะว่าเบื่อ

แต่เบื่อ ผมก็หาหนังสืออ่านได้ ดูหนัง ฟังเพลง หรือเดินทางไปไหนมาไหนได้

หรือเบื่อ ผมก็หาเบียร์กิน (เบียร์แย่ๆ ที่ผูกขาดกันอยู่แค่สองสามเจ้านั่นแหละ ทำไงได้ อยู่ประเทศนี้ อยากทำเบียร์กินเอง หรือแบ่งขายเพื่อนฝูงพี่น้องคอเดียวกัน เขาก็ว่ามันผิด แทนที่จะยอมรับและปรับแก้ เพราะว่ากฎหมายมันผิด มันโบราณ มันไม่รับใช้ยุคสมัย--คุณคงพอได้ข่าว ก็พรรคพวกเขา เครือข่ายผลประโยชน์อันโอชะของเขา และเขาจะอยู่กันแบบนี้ ใครจะทำไม)

หรือเบื่อ ผมก็หาเวลาไปคุยกับเพื่อน ปรับทุกข์กัน (มันมีความสุขด้วยเหรอ ห้าหกปีที่ผ่านมา ไม่หน้าศาลก็หน้าศพ เราพบกันตามที่แบบนั้นจนชาชิน) หรือเบื่อ อยู่ข้างนอก ชั่วๆ ดีๆ เราสามารถไปหาคนรักได้ คุยกัน กอดรัดสัมผัสได้โดยไม่ต้องมองนาฬิกา ไม่ต้องมีสายตาใครคอยจับจ้องจับผิด

นี่คือความปกติธรรมดา

ความปกติธรรมดาเหมือนสิทธิเสรีภาพในการคิด การพูด การแสดงอุดมการณ์ทางการเมือง

และแน่นอนว่า คือความธรรมดาที่คุณทำไม่ได้ เพราะมีคนพรากสิทธิ มีคนจงใจกระชากชีวิตปกติธรรมดาของคุณไป

ครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ผมเห็น ผมจดจำ สิ่งที่คุณทำมันถูกต้อง

ผมเชื่อนะว่าใครก็ตามที่รับรู้เรื่องราวของคุณ (ถ้ายังมีหัวใจและความรู้สึกรู้สา) เขาและเธอย่อมตระหนักได้ว่ามันไม่ปกติ มันไม่ยุติธรรม เหมือนที่เรารู้สึกกันอยู่

แต่พวกเกิดมาร่างกายเป็นคน หัวใจดำเป็นถ่านเป็นเถ้า ข้อนี้เราก็พอรู้กันอยู่ ช่างแม่งเถอะ

ไผ่.. โศกนาฏกรรมของคุณคือโศกนาฏกรรมของแผ่นดิน สิ่งที่คุณทำมันยิ่งใหญ่ มันมีความหมาย แต่ด้วยความจริงใจ ผมไม่อยากเห็นคุณเป็นฮีโร่ ไม่อยากเห็นคุณเป็นวีรบุรุษ

ฮีโร่ในหนังน่ะโอเค ชีวิตของสามัญชนที่ราบเรียบและน่าเบื่อ วีรกรรมและปาฏิหาริย์ฮีโร่มันทำให้เราฮึกเหิม ชุ่มชื่น และโรแมนติก

ทว่าในโลกความจริง นอกจากฮีโร่จะหมายถึงคนที่กลับบ้านไม่ได้ เนื้อหาสาระหลักของชีวิตก็มีแต่ต้องบาดเจ็บเหน็บหนาวและปวดร้าวมากกว่าผู้อื่น

ทุกข์ทรมานจากบ้านเมืองที่ไม่ปกติ บ้านเมืองที่เทิดทูนบูชาภูตผีปีศาจและไม่เคยเห็นหัวชีวิตคน บ้านเมืองที่ปากพร่ำพูดว่ารักหอนาฬิกา แต่พยายามเดินทวนเข็มนาฬิกาตลอดเวลา

ผมรอวันนั้น ผมอยากเห็นวันที่คุณกลับมาใช้ชีวิตปกติอยู่กับครอบครัวและคนรัก ทำงานที่คุณเลือก ในบ้านเมืองปกติที่สมาชิกทุกคน ไม่ว่าจน ไม่ว่ารวย มีสิทธิพื้นฐานของการมนุษย์ บ้านเมืองที่ไว้ใจและเคารพการตัดสินใจของประชาชน กล่าวอย่างสั้นที่สุด บ้านเมืองที่มองคนเป็นคน

คุณอาจจะขำ (ผมนึกหน้าคุณออก มันมีแววของความยวนยี ขี้เล่น ร่าเริงเท่าที่คนหนุ่มคนหนึ่งจะร่าเริง ผมชอบใบหน้านั้นมาก) ก็เข้าใจ มันน่าขำและฟังเหมือนความฝันเพ้อเจ้อของคนไม่ปกติ

อีกสิบสามนาทีจะเที่ยง ผมยังไม่ได้เล่าใช่ไหมว่า เมื่อคืนดาวพราวฟ้าเลย อากาศหนาวจนต้องใส่เสื้อสามสี่ตัว ผมเข้านอนสักสี่ทุ่มเศษ หลับสบาย หลับอย่างเพียงพอ ตื่นเช้ามาเดินเล่น ดูแสงแดด ดูต้นไม้ใบไม้ กินข้าว กินผลไม้แล้ว สติสมาธิสมบูรณ์ ผมคิดว่าผมปกตินะ หรือใครจะว่าไม่ปกติ ผมก็เฉยๆ มันไม่สลักสำคัญที่ใครจะมองอย่างไร

สิ่งที่สำคัญของสังคมคือกติกา และผมปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ในบ้านเมืองปกติ

บ้านเมืองที่ไม่มีผู้วิเศษ

ขอให้คุณแข็งแรงและปลอดภัย--เสมอๆ

ด้วยความนับถือ

วรพจน์ พันธุ์พงศ์
27.01.2017

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท