Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis


 

พลันที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International -TI) ประกาศผลการจัดดัชนีคอร์รัปชัน (Corruption Perception Index –CPI) ประจำปี 2559 ว่าไทยได้เพียง 35 จาก 100 คะแนน จากเดิม 38 คะแนน และตกจากอันดับเดิมถึง 25 อันดับจากอันดับที่ 76 มาอยู่ที่อันดับที่ 101 จากทั้งหมด 176 ประเทศ ก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมากมาย มีทั้งทับถมและแก้ตัวด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ ซึ่งผมจะนำมาวิเคราะห์ให้เห็น ดังนี้


1)องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติมีขั้นตอนและวิธีอย่างไรในการวัด

อันดับแรกคือการคัดเลือกแหล่งข้อมูล โดยแต่ละแหล่งข้อมูลที่จะถูกนำมาใช้ในการจัดทำดัชนีCPIจะต้องผ่านการข้อกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ คือ ระบุถึงภาพของการคอร์รัปชันในภาครัฐเป็นเชิงปริมาณได้ ตั้งอยู่บนระเบียบวิธีที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ มีการให้คะแนนและจัดอันดับหลายๆประเทศในมาตรวัดแบบเดียวกันจัดทำโดยสถาบันที่เชื่อถือได้และคาดว่าจะมีการจัดทำขึ้นซ้ำในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม และมีเกณฑ์ให้คะแนนที่หลากหลายมากพอที่จะแยกความแตกต่างของแต่ละประเทศได้

โดยดัชนีCPIของปี2559 นี้ใช้แหล่งข้อมูล 13 แหล่ง จาก 12 สถาบันที่แตกต่างกันแล้วนำมาประเมินแหล่งข้อมูลต่างๆเป็นมาตรฐานเดียวกันด้วยการใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์ อาทิ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานในมาตรวัด 0-100 โดย 0 เท่ากับมีภาพของการคอร์รัปชันสูงสุด ขณะที่ 100 คือมีภาพของการคอร์รัปชันต่ำสุด หลังจากนั้นนำมาคำนวณหาค่าเฉลี่ยและจัดทำเป็นรายงานโดยระบุถึงค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน


2)ใช้ข้อมูลรวมทั้งหมดที่ผ่านมาหรือเฉพาะปี 2559

คำตอบก็คือใช้เฉพาะปี 2559


3)เหตุใดคะแนนจึงลดลง

ในรายงานได้กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้คะแนนลดลงเนื่องเพราะผู้ที่ที่ต้องการตรวจสอบโครงการของรัฐหลายๆโครงการถูกปิดกั้นเสรีภาพและถูกคุกคามอย่างหนัก ทำให้กลไกการตรวจสอบทั้งจากภาคประชาสังคมและสื่อมวลชนถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ จนส่งผลให้ลดทอนประสิทธิภาพการตรวจสอบลงไปอย่างมาก การตรวจตราหรือทักท้วงอย่างจริงจังทำไม่ได้เหมือนในสภาวะปกติ ทำให้การแสวงหาผลประโยชน์มีมากขึ้นหรือถ้ามีกรณีทุจริตแล้วเกี่ยวพันกับผู้ที่มีอำนาจ ผู้ที่มีหน้าที่ตรวจสอบ เช่น ปปช.,สตง. ฯลฯ ก็ไม่กล้าดำเนินการ


4)ควรตอบโต้หรือชี้แจงหรือไม่

การดำเนินการในลักษณะตอบโต้ที่ฝืนมาตรฐานสากลที่ประชาคมโลกใช้วัดจะไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด ควรยอมรับและมาหาวิธีแก้ไขว่าควรจะทำอย่างไรให้คะแนนเพิ่มขึ้น เพราะคะแนนที่ลดลงจะมีผลต่อการลงทุนและความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ


5)แสดงว่ารัฐบาลปัจจุบันมีการคอร์รัปชันมากกว่าในอดีตใช่หรือไม่

ไม่สามารถชี้ชัดได้ถึงขนาดนั้น เพราะเป็นเพียงperceptionซึ่งหมายถึงการรับรู้หรือความเห็นหรือภาพ(สำนักข่าวหลายๆสำนักใช้คำว่าภาพลักษณ์ซึ่งผมเห็นว่าไม่ตรงทีเดียวนัก)ที่มีต่อการคอร์รัปชันของประเทศนั้นๆ แต่สามารถชี้ได้ว่าการปิดกั้นการตรวจสอบทำให้มีโอกาสในการคอร์รัปชันมากกว่าเดิม

โดยในความเชื่อของคนทั่วๆไปต่างเชื่อว่าทุกรัฐบาลและทุกยุคทุกสมัยมีการคอร์รัปชันกันทั้งนั้น ดังเช่น กรณีการจ่ายสินบนของบริษัทโรลรอยส์ของการบินไทยและ ปตท.,การจัดซื้อเครื่องตรวจสัมภาระ(CTX),จีที200,เรือเหาะที่บินไม่ได้,การต่อสัญญาเช่าศูนย์ประชุมฯ,การทุจริตจำนำข้าว,การซื้อเครื่องบินกริปเพนที่แพงกว่าประเทศอื่น,การรับค่านายหน้ากรณีซื้อที่ดินของอดีตผู้ว่ากทม.,ไมค์ทองคำ,การพบเงินสดเต็มกระเป๋าเดินทางของอดีตปลัดกระทรวงคมนาคม,กรณีพระเครื่องของอดีตอธิบดีกรมธนารักษ์,การทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอและนายสิบตำรวจ ฯลฯ


6)แล้วจะทำอย่างไร

การทุจริตคอร์รัปชันเป็นสิ่งที่ฝังรากมากับสันดานของมนุษย์ไม่ว่าชนชาติใด ที่กล่าวเช่นนี้เพราะผมเคยไปที่ศาลาว่าการของรัฐอิลลินอย สหรัฐอเมริกา ที่เมืองสปริงฟิลด์ เขาชี้ให้ดูรูปผู้ว่าการรัฐที่ติดฝาผนังแปดคนสุดท้ายแล้วบอกว่าสีคนถูกดำเนินคดีข้อหาทุจริต ฮ่องกงและสิงคโปร์ซึ่งมีเชื้อสายจีนที่มีธรรมเนียมการให้ค่าน้ำร้อนน้ำชาแต่ทำไมสถิติการคอร์รัปชันถึงน้อยมาก(แต่ก็มี) คำอธิบายง่ายๆก็คือเขามีระบบการป้องกันการทุจริตที่ทำได้ยาก เปิดเผย โปร่งใสและมีระบบตรวจสอบที่ดีทั้งจากหน่วยงานอิสระและภาคประชาชน มีการบังคับใช้กฏหมายอย่างเสมอหน้า ไม่มีการเลือกปฏิบัติในการนำคนผิดมาลงโทษ ปลูกฝังค่านิยมที่ไม่ยอมรับการทุจริตคอร์รัปชัน ฯลฯ


จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นจะเห็นได้ว่าหากเรามีระบบการป้องกันและการตรวจสอบที่ดี โอกาสที่จะมีการทุจริตก็ทำได้ยาก อย่างไรก็ตามแม้ว่าระบบจะออกแบบไว้ดีขนาดไหนก็ย่อมมีช่องว่างเสมอ จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง หากคนหรือบุคคลากรในสถาบัน เช่น ตุลาการ ครูบาอาจารย์ แพทย์ นักบวช ฯลฯ ที่คนไทยเรามักเชื่อว่าเป็นคนดีไม่น่ามีการทุจริตที่แท้จริงนั้นก็ต้องดูด้วยว่าคนดีที่ว่านั้นมีโอกาสทุจริตหรือไม่ หากมีโอกาสแต่ไม่ยอมทุจริตนั่นแหละถึงจะเรียกว่าเป็นคนดีจริง

ทุกครั้งที่มีการปฏิวัติหรือรัฐประหารในประเทศต่างๆทั่วโลกเหตุผลหลักที่ผู้เข้ายึดอำนาจมักอ้างอยู่เสมอก็คือการอ้างว่ามีการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นและตนเองหรือคณะฯ เข้ามาเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันนี้โดยใช้มาตรการลงโทษที่รุนแรงจนถึงขั้นประหารชีวิต ซึ่งจากประวัติศาสตร์การเมืองของทั่วโลกเช่นกันก็พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ได้ผล ดังคำกล่าวของลอร์ดแอกตันที่ว่า “อำนาจมักทำให้ฉ้อฉลฉันใด อำนาจเบ็ดเสร็จก็ยิ่งฉ้อฉลเบ็ดเสร็จฉันนั้น ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจึงมักเป็นคนเลว” (Power tends to corrupt, and absolute power corrupts absolutely. Great men are almost always bad men.)

ระบบเดียวที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันมีประสิทธิภาพก็คือระบบที่ให้สิทธิให้เสียงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบถ่วงดุล ซึ่งระบบที่ว่านี้นี้ก็คือระบบประชาธิปไตยนั่นเอง ส่วนจะเป็นประชาธิปไตยแบบไหนก็สุดแล้วแต่ประชาชนของประเทศนั้นๆเป็นคนกำหนด หากให้ผู้อื่นมากำหนดก็จะเป็นอย่างที่เห็นๆ นี่แหละครับ

 

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net