Skip to main content
sharethis

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอ่านคำพิพากษาคดีขายข้าวรัฐต่อรัฐ สั่งจำคุกบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.กระทรวงพาณิชย์ 42 ปี และภูมิ สาระผล อดีต รมช.กระทรวงพาณิชย์ 36 ปี ไม่รอลงอาญา iLaw ชี้ควรอุทธรณ์ได้ตาม รธน. 2560 แม้กฎหมายลูกยังไม่บังคับใช้

ที่มาภาพจาก: pxhere.com

25 ส.ค. 2560 Voice TV รายงานเบื้องต้นว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ที่บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงนักการเมือง,ข้าราชการ และเอกชน รวม 28 คน ซึ่งถูกอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้อง ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เข้าข่ายกระทำผิด มาตรา 157 และฐานใช้อำนาจทุจริตสร้างความเสียหาย เข้าข่ายกระทำผิด มาตรา 151 ตามประมวลกฎหมายอาญา และกระทำผิด พ.ร.บ.ฮั้วประมูล และพ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ.2542

ล่าสุดศาลอ่านคำพิพากษา สั่งจำคุกนายบุญทรง 42 ปี ขณะที่นายภูมิ สาระผล จำคุก 36 ปี 

ด้านโพสต์ทูเดย์ รายงานเพิ่มเติมว่า อภิชาติ จันทร์สกุลพร อดีตนักธุรกิจค้าข้าวชื่อดัง ผู้ก่อตั้งบริษัทสยามอินดิก้า ถูกศาลสั่งจำคุก 48 ปี ส่วนจำเลยอื่นๆ ศาลลงโทษจำคุกลดหลั่นตามพฤติการณ์ความผิด

นอกจากนี้ให้บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด และเอกชนอีก 2 รายร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 16,912 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% นับตั้งแต่วันที่รับมอบข้าวตามสัญญาแต่ละฉบับ ส่วนจำเลยอื่นให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามส่วนเช่นเดียวกัน

iLaw ชี้ รธน. 2560 ให้สิทธิอุทธรณ์คดีได้ แม้กฎหมายลูกยังไม่ประกาศใช้ แต่การบังคับใช้กฎหมายต้องรักษาประโยชน์ต่อสิทธิของคู่ความตามที่ รธน. รับรองไว้

ขณะที่ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ iLaw ได้รายงานไว้เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2560 ว่า รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 มาตรา 195 ซึ่งระบุถึงแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยในวรรค 4 และ 5  ระบุว่า

"คําพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ให้อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมีคําพิพากษา

การวินิจฉัยอุทธรณ์ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตามวรรคสี่ ให้ดําเนินการโดยองค์คณะของศาลฎีกา ซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดํารงตําแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา หรือผู้พิพากษาอาวุโสซึ่งเคยดํารงตําแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาซึ่งไม่เคยพิจารณา คดีนั้นมาก่อน และได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจํานวนเก้าคน โดยให้เลือกเป็นรายคดีและเมื่อองค์คณะของศาลฎีกาดังกล่าวได้วินิจฉัยแล้ว ให้ถือว่าคําวินิจฉัยนั้นเป็นคําวินิจฉัยอุทธรณ์ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา"

นอกจากนี้ เมื่อรัฐธรรมนูญเขียนเช่นนี้แล้ว ก็ต้องมี "กฎหมายลูก" ออกตามมา ซึ่งก็คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือ พ.ร.ป.วิอาญานักการเมืองฯ ในการประชุมเมื่อ 13 กรกฎาคม 2560 สนช. พิจารณาเห็นชอบร่างกฎหมายนี้แล้ว เหลือเพียงประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาก็จะมีผลบังคับใช้ทันทีในวันถัดจากวันที่ลงประกาศ

โดยใน พ.ร.ป.วิอาญานักการเมืองฯ มาตรา 60 ระบุว่า การอุทธรณ์คำพิพากษาให้ยื่นต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายในสามสิบวัน และในบทเฉพาะกาล มาตรา 69 เขียนว่า การดำเนินการต่อไปให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งหมายความว่า เมื่อกฎหมายลูกมีผลบังคับใช้ในวันใดก็ตาม คดีที่แม้จะฟ้องร้องกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ก็ต้องดำเนินคดีไปตามหลักเกณฑ์ใหม่ของกฎหมายใหม่

พ.ร.ป.วิอาญานักการเมืองฯ ที่ผ่านการพิจารณาแล้วไม่ได้ประกาศลงราชกิจจานุเบกษาภายในสามสิบวัน นับแต่วันตัดสิน ในทางปฏิบัติจึงอาจมีความสับสนอยู่บ้างว่า ขั้นตอนและวิธีการยื่นอุทธรณ์จะเป็นอย่างไร แต่โดยหลักการเมื่อรัฐธรรมนูญเขียนเช่นนี้แล้ว ก็หมายความว่า สิทธิของคู่ความในคดีทั้งสองฝ่ายได้เกิดขึ้นแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องรอการออก "กฎหมายลูก" มารับรองสิทธิ หากกฎหมายลูกยังออกไม่ทันตามที่รัฐธรรมนูญเขียน ก็ต้องบังคับใช้กฎหมายไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อสิทธิของคู่ความตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้

ส่วน พ.ร.ป.วิอาญานักการเมืองฯ จะประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้เมื่อไรนั้น ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 145 และ 146 กำหนดว่าร่างพ.ร.บ.ที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ให้นายกรัฐมนตรีรอไว้ห้าวันนับแต่วันที่ได้รับร่างพ.ร.บ.จากรัฐสภา และให้นำขึ้นเกล้าทูลฯ ภายใน 20 วัน และให้พระมหากษัตริย์เห็นชอบภายใน 90 วัน ทั้งนี้เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมา นายกฯ เพิ่งได้รับร่างฉบับนี้จาก สนช.

คำพิพากษามีรายละเอียดดังนี้

วันนี้ เวลา 9 นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหนงทางการเมืองนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม. 25/2558 ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ กรมการค้าต่างประเทศ ที่ 1 กับพวกรวม 5 คน ผู้ร้องนายภูมิ สาระผล ที่ 1 กับพวกรวม 21 คน จำเลย และคดีหมายเลขดำที่ อม. 1/2559 ระหว่างอัยการสูงสุด โจทก์ กรมการค้าต่างประเทศ ที่ 1 กับพวกรวม 5 คน ผู้ร้อง ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงสีกิจทวียโสธร ที่ 1 กับพวกรวม 7 คน จำเลย

คดีแรก (อม. 25/2558) โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2558 กล่าวหาว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 21 ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงพาณิชย์ และพ่อค้าข้าว ร่วมกันกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำสัญญาขายข้าวให้แก่บริษัทกวางตุ้งและบริษัทห่ายหนานซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนรวม 4 สัญญา โดยอ้างว่าเป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ และขายในราคาต่ำกว่าท้องตลาดทำให้รัฐเสียหาย ความจริงเป็นการขายข้าวบางส่วนให้แก่พ่อค้าข้าวในประเทศเป็นการเสนอราคาซื้อขายโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ งบประมาณแผ่นดิน หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ประเทศชาติ และประชาชน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 86, 91, 151, 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 9, 10, 12 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 123, 123/1 ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงินร้อยละ 50 ของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญา 2 สัญญา จำนวน 23,498,134,119 บาท และปรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 21 ร้อยละ 50 ของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญาทั้ง 4 สัญญา จำนวน 35,274,611,007 บาท

ต่อมาวันที่ 13 มกราคม 2559 โจทก์ฟ้องคดีที่สอง (อม. 1/2559) กล่าวหาว่าจำเลยที่ 22 ถึงที่ 28 ซึ่งเป็นกลุ่มพ่อค้าข้าวอีก 7 ราย สนับสนุนการกระทำความผิดในคดีแรก ศาลจึงสั่งให้รวมการพิจารณาคดีทั้งสองคดีเข้าด้วยกัน

จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ยกเว้นจำเลยที่ 3 และที่ 16 ซึ่งหลบหนี

โจทก์อ้างพยานบุคคล 239 ปาก เอกสาร 383 แฟ้ม (หมาย จ.1 ถึง จ.1041)

จำเลยทั้งยี่สิบแปดอ้างพยานบุคคล 1,166 ปาก เอกสาร 105 แฟ้ม (หมาย ล.1 ถึง ล.780)

การตรวจพยานหลักฐาน ศาลอนุญาตให้โจทก์นำพยานเข้าไต่สวน 27 ปาก จำเลยนำพยานเข้าไต่สวน 103 ปาก รวมพยานบุคคลทั้งหมด 130 ปาก กำหนดนัดไต่สวนรวม 20 นัด

ต่อมาวันที่ 20 เมษายน 2559 มีผู้ร้องทั้งห้าซึ่งเป็นส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง อตก. และ อคส. ยื่นคำร้องขอให้จำเลยที่ 7 ถึงที่ 28 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 26,366,708,172.42 บาท และผู้ร้องทั้งห้าขอนำพยานเข้าไต่สวนอีกจำนวนหนึ่ง ศาลอนุญาตให้ไต่สวนพยานบุคคล 7 ปาก เอกสาร 1 แฟ้ม หมาย ร.1 รูปคดีจึงกลายเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา และให้ฝ่ายจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีส่วนแพ่งตามกฎหมาย คดีจึงเริ่มไต่สวนนัดแรกได้เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2559 ไต่สวนพยานแล้วเสร็จนัดสุดท้ายวันที่ 5 กรกฎาคม 2560

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การทำสัญญาแบบรัฐต่อรัฐย่อมก่อให้เกิดผลผูกพันต่อรัฐคู่สัญญา ทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามสัญญา ผู้มีอำนาจลงนามในสัญญาจึงต้องเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐ ทั้งนี้อาจเป็นการมอบหมายให้บุคคล หน่วยงาน องค์กร หรือรัฐวิสาหกิจ มีวัตถุประสงค์สำคัญของการทำสัญญาคือต้องการระบายสินค้าออกนอกประเทศเพื่อให้สินค้าไปตกอยู่แก่รัฐผู้ซื้อและต้องการเงินตราต่างประเทศโดยแนวปฏิบัติในการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐเริ่มต้นด้วยการทาบทาม การพูดคุยระดับรัฐมนตรีในเวทีระหว่างประเทศ หรือการประสารงานทางการทูต หรือเป็นตัวแทนของรัฐที่เคยเป็นคู่ค้ากันมาก่อน ส่วนวิธีการซื้อขายด้วยการเจรจาระหว่างผู้แทนของแต่ละฝ่ายอาจไม่ต้องมีการประมูลแข่งขันราคากัน บางครั้งอาจตกลงซื้อขายในราคาต่ำกว่าตลาดเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

สำหรับการซื้อขายข้าวกับสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นจะดำเนินการโดย China National Cereals, Oil and Foodstuff Import Export Corporation (COFCO) รัฐวิสหกิจการค้าภาครัฐที่นำเข้าผลิตภัณฑ์ธัญพืชของสาธารณรัฐประชาชนจีนรวมถึงข้าม และแนวปฏิบัติที่ผ่านมา การซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเจราจาผ่าน COFCO เท่านั้น โดยประเทศไทยไม่เคยขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ของสาธารณรัฐประชาชนจีน

ภายหลังเริ่มต้นโครงการรับจำนำข้าว นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ซึ่งคณะรัฐมนตรีมอบหมายให้มีอำนาจให้ความเห็นชอบการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ โดยที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวได้ให้ความเห็นชอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวกรณีการขายแบบรัฐต่อรัฐให้รวมถึงการขายให้แก่รัฐวิสาหกิจด้วย และให้ใช้เกณฑ์ราคาขายแบบหน้าคลังสินค้าซึ่งผิดไปจากแนวทางปฏิบัติในกรณีการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ ส่อไปในทำนองว่าจัดทำยุทธศาสตร์การระบายข้าวเพื่อรองรับรัฐวิสาหกิจมาทำสัญญาแบบรัฐต่อรัฐโดยไม่ต้องได้รับมอบหมายจากรัฐบาลของผู้ซื้อ หลังจากนั้นนายภูมิได้ให้ความเห็นชอบผลการเจรจาซื้อขายข้าว 2 ฉบับให้ขายข้าวแก่บริษัทกว่างตง จำกัด รัฐวิสาหกิจมณฑลของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งไม่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน 2 สัญญา สัญญาฉบับที่ 1 ตกลงซื้อขายข้าวทุกชนิดในสต็อกของรัฐบาลไทย ปริมาณ 2,195,000 ตัน ในราคาตันละ 10,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาท้องตลาดทำให้ประเทศชาติเสียหายเป็นเงิน 9,717,165,177.90 สัญญาฉบับที่ 2 ตกลงขายข้าว 5 เปอร์เซ็นต์ ข้าวเหนียว 100 เปอร์เซ็นต์ ข้าวหอมมะลิหัก ปีการผลิต 2554/55 ปริมาณ 2,000,000 ตัน ทำให้ประเทศได้รับความเสียหาย 1,294,109,767.83 บาท ต่อมานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และได้รับแต่งตั้งเป็นประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวแทนนายภูมิ และได้ให้ความเห็นชอบสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับบริษัทกว่างตง 1 ฉบับ ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 ตกลงขายข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ และข้าวขาวหักเอวันเลิศ ปีการผลิต 2555 ปริมาณ 1,000,000 ตัน และมีการขอแก้ไขสัญญาปรับเพิ่มปริมาณข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ อีก 1,300,000 ตัน รวมเป็น 2,300,000 ตัน ทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย 5,694,748,116.09 บาท โดยข้อตกลงตามสัญญาทั้งสี่ฉบับมีข้อพิรุธหลายประการ คือ วิธีการชำระเงินด้วยแคชเชียร์เช็ค รัฐวิสาหกิจผู้ซื้อสามารถนำข้าวไปขายต่อประเทศที่สามเพื่อการพาณิชย์ได้ มีการแก้ไขสัญญาเพิ่มชนิดและปริมาณข้าวเรื่อยๆ โดยไม่มีการเจรจาต่อรองเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ภายหลังการซื้อขายทั้งสี่ฉบับปรากฎว่ามีการชำระค่าข้าวด้วยแคชเชียร์เช็คภายในประเทศหลายร้อยฉบับและรับมอบข้าวไปโดยผู้รับมอบอำนาจที่เป็นคนไทยแล้วนำไปขายต่อให้ผู้ประกอบการค้าข้าวภายในประเทศ โดยไม่มีการส่งข้าวที่ซื้อขายไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือส่งออกไปประเทศอื่น กระบวนการดังกล่าวกระทำโดยนายภูมิ นายบุญทรง นายอภิชาต จันทร์สกุลพร (เสี่ยเปี๋ยง) และพวกร่วมกันนำบริษัทกว่างดง จำกัด และบริษัทห่ายหนาน จำกัด รัฐวิสาหกิจของมณฑลมาขอซื้อข้าวกับกรมการค้าต่างประเทษโดยแอบอ้างว่าได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนมาทำสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐในราคาต่ำกว่าท้องตลาดโดยหลีกหลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็ฯธรรมอันเป็นการเอาเปรียบแก่กรมการค้าต่างประเทศเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2552 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 เมื่อราคาข้าวในท้องตลาดลดลง รัฐวิสาหกิจผู้ซื้อข้าวก็จะไม่ยอมมารับข้าวตามสัญญา แต่มาขอทำสัญญาฉบับใหม่ซื้อข้าวชนิดเดียวกันในราคาต่ำลงกว่าสัญญาเดิม โดยเฉพาะนโยบายการระบายข้าวที่ดำเนินการโดยนายบุญทรงไม่เปิดประมูลขายข้าวภายในประเทศ ทำให้ข้าวในท้องตลาดขาดแคลน ผู้ประกอบการค้าข้าวไม่สามารถหาซื้อข้าวในท้องตลาดได้ จำต้องไปหาซื้อข้าวจากกลุ่มบริษัทและพนักงานของนายอภิชาติ ซึ่งผู้ประกอบการค้าข้าวในประเทศที่ซื้อข้าวต่อจากนายอภิชาตกับพวกนั้น ศาลเห็นว่าเป็ฯการซื้อโดยไม่ทราบว่าเป็นข้าวที่มาจากสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึง 21 ยกเว้นจำเลยที่ 3 และที่ 16 ซึ่งหลบหนี มีความผิดตามฟ้องโดยให้จำคุกนายภูมิ 36 ปี นายบุญทรง 42 ปี นายมนัส 40 ปี นายทิฆัมพร 32 ปี นายอัครพงศ์ 24 ปี นายอภิชาต 48 ปี ส่วนจำเลยอื่นศาลลงโทษจำคุกลดหลั่นลงตามพฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งการกระทำความผิด และพิพากษาให้ บริษัทสยามอินดิก้า จำกัด จำเลยที่ 10 นายอภิชาติ จำเลยที่ 14 และนายนิมล หรือโจ จำเลยที่ 15 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่กระทรวงการคลัง 16,912,128,273.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งนับแต่วันที่รับมอบข้าวตามสัญญาแต่ละฉบับ จำเลยอื่นให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามส่วนเช่นเดียวกัน ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 19 และจำเลยที่ 22 ถึง 28

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net