Skip to main content
sharethis
'ศูนย์ทนายสิทธิ' รายงานศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้อง สมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ในข้อหาครอบครองอาวุธ จำเลยคดียิงกปปส.ตราด เหตุคำให้การจำเลยในฐานะพยานชั้นสอบสวนใช้ลงโทษจำเลยไม่ได้ 

 

3 ต.ค. 2560 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า วันนี้ (3 ต.ค.60) ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้องสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ในข้อหาครอบครองและเคลื่อนย้ายอาวุธที่เป็นของ มนัญชยา เกตุแก้ว และ กริชสุดา คุนะแสน ไปส่งต่อให้ จันทนา วรากรสกุลกิจ

เนื่องจากคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนในฐานะพยานในคดีของ จันทนา วรากรสกุลกิจ ไม่สามารถนำมาลงโทษจำเลยได้ เพราะถือเป็นพยานหลักฐานที่ไม่ชอบ เนื่องจากคำให้การในชั้นสอบสวนที่จะนำมาลงโทษจำเลยได้ พนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งสิทธิและแจ้งด้วยว่าคำให้การนั้นจะสามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานเอาผิดบุคคลนั้นได้ในชั้นศาล  แต่สำหรับคดีนี้ คำให้การที่โจทก์ประสงค์ใช้อ้างเป็นข้อสู้ต่อว่าจำเลยกระทำความผิดนั้น จำเลยได้ให้การไว้ในฐานะพยานเท่านั้น ไม่ได้ให้การในฐานะผู้ต้องหา และพนักงานสอบสวนก็ไม่ได้แจ้งถึงสิทธิตามที่กฎหมายกำหนด คำให้การดังกล่าวจึงถือเป็นพยานหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่สามารถนำมาลงโทษจำเลยได้

นอกจากนี้ ศาลอุทธรณ์ยังเห็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของบุคคลอื่นถือเป็นพยานบอกเล่า จึงต้องมีเหตุผลหนักแน่นเพียงพอจะรับฟังโดยลำพังมาลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 ที่ระบุว่า ในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า พยานซักทอด พยานที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้าน หรือพยานหลักฐานที่มีข้อบกพร่องประการอื่นอันอาจกระทบถึงความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานนั้น ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน

เมื่อคำให้การในชั้นสอบสวนของบุคลอื่นดังกล่าวเป็นคำให้การอันเป็นพยานบอกเล่า ไม่มีเหตุผลหนักแน่นเพียงพอ จึงไม่สามารถนำมารับฟังลงโทษจำเลยได้ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานเพิ่มเติมด้วยว่า สมศักดิ์ถูกทหารจับกุมเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 57 พร้อมภรรยาที่โรงแรมสวีตอิน อ.เขาสมิง จ.ตราด ในการจับกุมทหารจำนวนหลายนาย พร้อมอาวุธได้ใช้ระเบิดควันยิงเข้าไปในห้องพักของโรงแรมก่อนและดำเนินการพังประตูห้องเข้าไปจับกุมตัวทั้งสองคน จากนั้นถูกใช้ผ้าปิดตาและมัดข้อมือไขว้หลังด้วยสายรัดแล้วถูกนำตัวขึ้นรถ จากนั้นก็ถูกนำตัวไปควบคุมไว้ที่ค่ายทหาร และทหารได้ทำการสอบสวนด้วยการข่มขู่ มีการคลุมศีรษะด้วยถุง และทำร้ายร่างกายจนกระทั่งปัสสาวะราด รวมถึงสร้างสถานการณ์จำลองว่าทหารจะมีเจตนาฆ่านายสมศักดิ์ เพื่อให้เกิดความหวาดกลัว เพื่อบังคับให้นายสมศักดิ์ยอมให้ข้อมูลและรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุกราดยิงเวที กปปส. ตราดเมื่อเดือน ก.พ. 57 มาก่อน

ในส่วนของคดีนี้อาวุธปืนของกลางในคดีนี้ตามฟ้องระบุว่าถูกเอาไปใช้ในเหตุการณ์ยิงเวที กปปส. จังหวัดตราดเมื่อ ก.พ. 57 ซึ่งเป็นคดีแรกของสมศักดิ์ที่เขาถูกฟ้องว่าได้ร่วมกันก่อเหตุดังกล่าว ทั้งนี้คดีแรกของสมศักดิ์ศาลจังหวัดตราดซึ่งเป็นศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องไปแล้วเมื่อ 27 ม.ค.59 และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยศาลได้พิจารณาจากการที่จำเลยได้ต่อสู้ว่าคำรับสารภาพของจำเลยไม่ได้มาโดยสมัครใจอีกทั้งพยานได้ให้การมีพิรุธจากการจูงใจ นอกจากนั้นพยานหลักฐานแวดล้อมที่มีการตรวจพิสูจน์ DNA ก็ไม่ได้ถูกตรวจยึดจากที่เกิดเหตุและโจทก์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพยานหลักฐานเหล่านี้เกี่ยวกับการก่อเหตุอย่างไร จึงพิพากษาให้ยกฟ้องทุกข้อกล่าวหา 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net