Skip to main content
sharethis

พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ซัด คสช. หลังห้ามแต่พรรคการเมืองหาเสียง ขณะที่พรรคฝ่ายหนุน คสช. เดินสายได้เต็มที่ แถมรัฐบาล คสช. ใช้งบประมาณรัฐสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเอง ร้องปลดล็อคการเมืองทันที ไม่ใช่เพียงคแค่คลายล็อค ด้าน ประยุทธ์ โปรยยาหอม ระหว่าง ครม.สัญจร รัฐบาลจะไม่ทิ้งประชาชน ยันยังไม่ปลดล็อคช่วงนี้ขอให้บ้านเมืองสงบก่อน ย้ำสิ่งดีๆ ที่มีอยู่แล้วไม่ควรลบล้าง ความมั่นคงปลอดภัยทั้งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์จะอยู่ตรงไหน ขณะที่ ‘โฆษก คสช.’  ขู่หากใช้โซเซียลฯบิดเบือน ส่งผลต่อความเข้าใจของ ปชช.  และความสงบ อาจมีผลต่อการเลือกตั้งด้วย

ที่มาภาพ: ดัดแปลงจากเว็บไชต์รัฐบาลไทย

18 ก.ย. 2561 เว็บไซต์พรรคเพื่อไทย ได้เผยแพร่แถลงการณ์พรรค เรื่องขอให้ปลดล็อคเงื่อนไขทางการเมืองทั้งหมดทันที หลังจากที่รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่ง ได้ออกคำสั่งคลายล็อคพรรคการเมือง ตามคำสั่งหน้า คสช. ฉบับที่ 13/2561โดยพรรคเพื่อไทยเห็นว่า การกระทำดังกล่าวได้อนุญาตให้พรรคการเมืองต่างๆ ดำเนินกิจกรรมได้เพียงแค่ด้านธุรการ แต่ยังห้ามไม่ให้ทำกิจกรรมทางการเมืองในการรับฟังและสื่อสารข้อมูลนโยบายกับประชาชนได้ อย่างไรก็ตามกลับพบว่าพรรคการเมืองฝ่ายที่สนับสนุน คสช. สามารถเดินสายพบปะประชาชนในลักษณะหาเสียงได้ รวมทั้ง คสช. เองก็ใช้งบประมาณของรัฐในการสร้างคะแนนนิยม ซึ่งถือเป็นการกระทำที่น่าละอาย

อีกทั้งคำสั่งที่ให้สื่อสารผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้นั้น ยังมีลักษณะจำกัดเพราะมีการกำหนดห้ามการกระทำที่มีลักษณะ ‘หาเสียง’ ซึ่งคำดังกล่าวไม่สามาถรถกำหนดขอบเขตได้ ขาดรูปธรรมที่จะทำความเข้าใจ และยังสามารถถูกนำไปตีความได้หลายด้าน การเขียนกฎหมายในลักษณะเช่นนี้มีโอกาสที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ในการสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบแก่พรรคการเมืองที่คิดต่าง และอาจถูกนำมาตีความเพื่อใช้กลั่นแกล้งคู่แข่งได้โดยง่าย ฉะนั้นการเลือกตั้งในครั้งนี้จึงถือว่าเป็น การเลือกตั้งที่จำกัดสิทธิประชาชนในการรับรู้ รับฟัง และเข้าถึงข้อมูลข้อเท็จจริงในการตัดสินใจเลือกนโยบายที่พอใจ  นับว่าเป็นการเลือกตั้งที่บั่นทอนพลังของจิตวิญญาณประชาธิปไตยอย่างยิ่ง  

แถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยยังระบุว่า รัฐบาลพยายาม “ประโคมข่าวและสร้างภาพ” ตนเองว่าเป็นรัฐบาลที่มีความทันสมัย และพยายามก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจะเร่งผลักดันประเทศไทยให้เป็น “ประเทศ 4.0” ที่เทียบเทียมและเท่าทันโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง ในโลกยุคใหม่ การติดต่อสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสารของคนในสังคมโลกที่มีความเจริญและเท่าทันการเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญเป็นเครื่องชี้วัด หลักประกัน เสรีภาพทางความคิด และการแสดงออกของผู้คน เรื่องที่ง่ายๆ เช่นนี้รัฐบาล ยังไม่เข้าใจแล้วจะนำพาสังคมไทยไปสู่ “สังคม 4.0” ได้อย่างไร นอกจากจะสะท้อนการขาดวิสัยทัศน์ของ “ผู้นำ” แล้วยังเป็นการทำลายความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือของประเทศอีกด้วย

“ขอเรียกร้องไปยัง คสช. และรัฐบาล  ให้ปลดล็อคเงื่อนไขทางการเมืองทั้งหมดทันที มิใช่การคลายล็อค อย่างที่กำลังมีนัยยะซ่อนเร้นให้ดำเนินการในปัจจุบัน เพื่อให้พรรคการเมืองทุกพรรคได้สามารถติดต่อสื่อสาร สร้างความเข้าใจ สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อกำหนดโอกาสและแนวทางการพัฒนาประเทศตามความต้องการของตน และสามารถร่วมกำหนดสร้างแนวนโยบายสำคัญที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงสำหรับชีวิตของตนต่อไป” พรรคเพื่อไทย ระบุ

ประยุทธ์บอกคลายล็อคแค่นี้เพียงพอแล้ว ขอให้บ้านเมืองสงบก่อน ถามความมั่นคง ‘ชาติ ศาสน์ กษัตริย์’ จะอยู่ตรงไหน

สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลจะดูแลให้ดีที่สุด หากบ้านเมืองสงบเรียบร้อยมีการพัฒนาอย่างมีหลักการทางวิชาการ มีแผนแม่บท มียุทธศาสตร์เชื่อว่าคงไม่วุ่นวายขนาดนี้ ซึ่งรัฐบาลนี้กำลังแก้ปัญหา จึงขออย่าให้การเมืองเข้ามาทำให้บ้านเมืองวุ่นวายในตอนนี้ ส่วนเรื่องของการปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมนั้น ตนเองได้รับฟัง ข้อสังเกตุมา ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีก็มีการประชุมและได้รับข้อสังเกตุว่าติดล็อกตรงไหนบ้าง และมีมาตรการในการคลายล็อกในช่วงนี้ ซึ่งต้องสอดคล้องกับพ.ร.ป.ส.ส. และพ.ร.ป.ส.ว. ที่ออกมา และกำหนดให้มีผลบังคับใช้อีก 90 วันข้างหน้า หากนับไปก็จะอยู่ในช่วงวันที่ 16 ธันวาคม 2561 หลังจากนั้นจะต้องปลดล็อคให้มีการหาเสียง ดังนั้น ช่วงนี้ขอให้บ้านเมืองสงบก่อนได้หรือไม่ ขณะเดียวกัน หากตนเองเป็นนักการเมือง คำสั่งที่ออกมานั้นเชื่อว่าตนเองจะสามารถทำได้ หากทุกคนมีเจตนาทำให้บ้านเมืองเป็นปกติสุข และหากต้องการเวลาที่จะหาเสียงมากขึ้น แต่ยังทะเลาะกันก็คงไม่ได้อะไร ส่วนเวลาที่มีหากทุกคนบอกว่ามีน้อย ทุกคนจะต้องแถลงนโยบายออกมาว่าจะทำอะไร สังคมยอมรับได้หรือไม่ และไปล้มล้างอะไรหรือไม่ สิ่งดีๆ ที่มีอยู่แล้วหากจะไปเลิกแล้วประชาชนตอบรับสิ่งเหล่านั้นไปแล้วจะทำให้ประเทศชาติไปกันใหญ่ ความมั่นคงปลอดภัยทั้งชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์จะอยู่ตรงไหน

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการคลายล็อกในตอนนี้พอเพียงแล้ว หากใครไม่พอไว้เป็นรัฐบาลก็ไปทำเอาเอง ส่วนการพบกับนักเมืองต้องรอปลดล็อกก่อนแล้วค่อยว่ากัน ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบ และไม่สามารถบอกได้ว่าจะเป็นวันไหน ถึงเวลาตนเองจะพิจารณาเอง ส่วนความชัดเจนทางการเมืองของตนเองในอนาคตนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะมาสนใจอะไรกับตนเอง เพราะได้ระบุแล้วว่า ต้องรอหลังพ.ร.ป.ส.ส. และพ.ร.ป.ส.ว. มีผลบังคับใช้แล้วหลังจากนี้ไปถึงปีหน้า ก็หลังทั้งหมด ตนเองจะพูดเมื่อใดก็เป็นเรื่องของตนเอง และจะตัดสินใจเอง เรื่องอะไรจะออกมาให้โดนด่าตั้งแต่วันนี้ สื่อก็หาเรื่องตนเองได้ทั้งวันแหละ

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ พบปะกับประชาชนภายในหอประชุมประกายเพชร มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบูรณ์ เพื่อมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนและ หนังสือคู่มือการจัดที่ดินทำกินให้กับประชาชนตามนโยบายรัฐบาล กว่า 434 คน โดยนายกรัฐมนตรี ได้ขอบคุณชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ที่ให้การต้อนรับที่ดี และระบุว่าตนเองจะตอบแทนความรักของทุกคนกลับไปเป็นร้อยเท่า ซึ่งตนเองก็อยากพบทุกคนเช่นกัน และทราบดีว่ามีหลายเรื่องอาจจะไม่ทันใจประชาชนแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามา 3-4 ปี ก็เริ่มต้นอะไรได้หลายอย่าง

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวว่า จากการชมนิทรรศการก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อช่วงเช้า พบว่ามีการวิจัยนำเมล็ดมะขามมาบดเป็นแป้ง เพื่อทำเป็นสารสกัดใช้ในเครื่องสำอางค์ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีเพราะ จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นเมืองมะขาม

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์  ยังแนะนำคณะรัฐมนตรีที่มาลงพื้นที่ให้กับประชาชนได้รู้จักพร้อมบอกว่า ขอให้มองรัฐมนตรีเหล่านี้ว่าเป็นผู้มาช่วยเหลือประชาชนไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นผู้ถือกฎหมาย หากไม่ใช้กฎหมายในการทำงานก็จะเป็นเรื่องที่ลำบากและอาจถูกฟ้องร้องภายหลังได้ แต่ยอมรับว่าปัจจุบันกฎหมายมีปัญหาทับซ้อนหลายประการทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ

บอกชาวบ้าน รบ.พลเรือนลงพื้นที่รับปัญหาไปแล้วก็หาย แต่ รบ.นี้จะดูแลประชาชนไม่ต้องว่าจะทิ้ง

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้สอบถามประชาชนว่าเคยสงสัยหรือไม่ หลายคนที่มาจากการเมืองก็มีการลงพื้นที่และเคยรับปากประชาชน บอกว่าจะนำไปเสนอสู่รัฐบาลแต่กลับไม่มีเรื่องที่ผ่านการพิจารณา จึงขออย่ากลัวรัฐบาลชุดนี้ว่าจะไม่ดูแลประชาชนเพราะถึงแม้จะไม่มีแผนเสนอเข้ามาทางรัฐบาลก็มีแผนที่จะดูแลประชาชน ทั้งเสียงส่วนใหญ่และเสียงส่วนน้อย ซึ่งรัฐบาลหน้าต้องทำตามแบบนี้ด้วย ดังนั้นจึงต้องมีการปลดล็อคในเรื่องนี้ ทั้งเรื่องการปลดล็อคความคิดตนเองเพื่อไปสู่ส่วนรวม เพราะอยู่จังหวัดเดียวไม่ได้ และต้องเข้าใจการกระจายอำนาจ ที่หลายหน้าที่เป็นเรื่องของท้องถิ่นในการดำเนินการ และนำงบประมาณลงมาสู่พื้นที่ แต่การเก็บภาษีในท้องถิ่นกลับทำได้เพียง 100,000 ล้านบาท แต่จำเป็นต้องใช้งบประมาณในพื้นที่ถึง 300,000 ล้านบาท ซึ่งในงบประมาณส่วนที่ขาดนี้คือภาษีของคนทั้งประเทศ ที่นำมาเติมให้ ขณะเดียวกัน ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ลงมารีดไถ จึงขออย่าให้ใครมาบิดเบือน เพราะงบประมาณมาจากภาษี และแต่ละจังหวัดรายได้ไม่เหมือนกัน จึงต้องช่วยกัน อย่าทิ้งจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง

ขอประชาชนอย่าเกลียด หากรักอยู่แล้วก็ขอให้รักนานๆ

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวว่า ระยะต่อไปหากมีการปลดล็อกทางด้านการเมืองอาจจะทำให้ประเทศมีความยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก ซึ่งตนเองจะไม่ยุ่งในเรื่องการเมือง และขออย่าให้การเมืองอย่ามายุ่งกับรัฐบาลที่ทำเพื่อประชาชน พร้อมกล่าวด้วยว่าว่าภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้นก็ถูกถามเรื่องการปลดล็อก จึงอยากให้คนถามวันหน้ามาเป็น คสช. เอง

ส่วนการแต่งเพลงชื่อสะพานนั้น พล.อ.ประยุทธ์  กล่าวว่า เป็นการสื่อความหมายว่า เพราะคณะรัฐมนตรีคือสะพานให้กับทุกคนให้เหยียบข้ามความขัดแย้งไป ไม่ใช่เพื่อไปล็อคอำนาจใคร สะพานของตนเองมีทั้งการตอกเสาเข็มให้แล้วเหลือแต่ทำบ้านให้แข็งแรง ซึ่งทุกคนคือส่วนประกอบของบ้านจึงขออย่าทำลายหรือเหยียบย่ำ ซึ่งทุกคนเกลียดตนเองได้ แต่ก็ขออย่าเกลียด และหากรักก็ขอให้รักนั้นนาน

พล.อ.ประยุทธ์ ยังเปิดเผยหลังประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมีการเสนอโครงการเข้ามาทั้งหมด 75 โครงการ โดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบโครงการทั้งหมด ซึ่งรับไว้ในหลักการ โดย 50-60% อยู่ในแผนแม่บท อยู่แล้ว ดังนั้นต้องไปดูความเร่งด่วนของแต่ละโครงการ เพราะหากอนุมัติทั้งหมดจะใช้งบประมาณ กว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งสำคัญที่สุดคือข้อเสนอโครงการระเบียงเศรษฐกิจ หลวงพระบาท – อินโดจีน เมาะลำไย หรือโครงการไลนแม็ค ( LIMEC) เพื่อเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน เมียนมา ไทย และลาว จะต้องดูความพร้อมของแต่ละประเทศด้วย เพราะจะต้องไปเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีหลายกลุ่มที่จะสอดคล้องกัน รวมถึงพื้นที่ภาคใต้ของไทย

ขู่หากใช้โซเซียลฯบิดเบือน ส่งผลต่อความเข้าใจของ ปชช.  และความสงบ อาจมีผลต่อการเลือกตั้งด้วย

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก  คสช. กล่าวถึงกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2561 เรื่องการดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) ในประเด็นห้ามใช้โซเชียลมีเดียในการหาเสียง ว่า คำสั่งฯ ฉบับนี้ให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามรายละเอียดที่ระบุในช่วง 90 วันที่อยู่ในระหว่างการรอให้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มีผลบังคับใช้ ซึ่งเป็นช่วงที่หลายภาคส่วนจะต้องเตรียมการเพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง

พ.อ.วินธัย กล่าวด้วยว่า พรรคการเมืองต้องเตรียมด้านงานธุรการ ประสานงานสำหรับดำเนินกิจกรรมภายในพรรค และการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง การจัดทำข้อบังคับ หรือนโยบายต่าง ๆ รวมถึงการคัดเลือกผู้บริหารและการรับสมาชิก เช่น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ การจัดทำนโยบาย การเลือกตั้งผู้บริหารพรรคต่าง ๆ การจัดตั้งสาขาพรรค การรับสมาชิกพรรค การสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรค และการมีส่วนร่วมในการแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยแค่การแจ้งบอกกล่าวทาง กกต. ในส่วนของ กกต. ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลกฎกติกาการเลือกตั้ง ก็ต้องเตรียมงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการแบ่งเขตเลือกตั้ง  ประชาชนและสื่อสารมวลชนต้องติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด            

“ดังนั้นในช่วงเวลา 90 วันนี้ เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย และเป็นการสร้างสภาวะที่เกื้อกูลไปสู่การเลือกตั้ง คสช.หวังให้ทุกกระบวนการเดินไปได้ด้วยความราบรื่นที่สุด โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลข่าวสารถูกส่งผ่านโซเชียลมีเดีย มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากเกิดความคลาดเคลื่อนในข้อมูล หรือมีการบิดเบือน มีการสร้างข่าวเท็จในโซเชียลมีเดีย ก็จะยิ่งสร้างความสับสนให้กับสังคม ซึ่งอาจจะไม่เอื้ออำนวยต่อกลไกที่กำลังดำเนินการเกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้งก็เป็นได้ อยากให้ทุกพรรคที่จะเสนอตัวมาเป็นผู้บริหารบ้านเมืองและดูแลประชาชน ได้เตรียมตัวเองในเรื่องกายภาพ และแนวทางการดำเนินการทางการเมืองให้เรียบร้อย เชื่อว่าทุกคนคงไม่อยากให้เกิดภาพการใช้โซเชียลมีเดีย แล้วเกิดผลกระทบในทางลบต่อความเข้าใจของสังคม ต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ ซึ่งนั่นหมายถึงอาจส่งผลต่อกระบวนการสู่การเลือกตั้งที่ได้เตรียมไว้ก็เป็นได้” พ.อ.วินธัย กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net