Skip to main content
sharethis

ประชาชนประทับใจระบบจองสิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ออนไลน์ของ สปสช.เขต กทม. ชี้เจ้าหน้าที่ให้บริการดี ใช้เวลาฉีดรวดเร็วแถมไม่มีค่าใช้จ่าย แต่แนะควรมีระบบจองสิทธิสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่คล่องเรื่องไอทีด้วย


1 ก.ค.2563 ทีมสื่อ สปสช. รายงานว่า สิรินทร์ ตันติสุขเจริญ อายุ 56 ปี หนึ่งในผู้ลงทะเบียนจองสิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ผ่านช่องทางออนไลน์และรับการฉีดวัคซีนไปเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมา กล่าวถึงประสบการณ์การรับบริการว่ารู้สึกประทับใจมาก เพราะปีก่อนๆ ตนก็เคยฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ แต่ไปฉีดตามโรงพยาบาลเอกชนซึ่งต้องเสียเงินเอง 400-500 บาท แต่ปีนี้เห็นมีการเชิญชวนให้ไปลงทะเบียนจองสิทธิกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จึงลองลงทะเบียนดูผ่านช่องทางไลน์

สิรินทร์ กล่าวว่า ในขั้นตอนการลงทะเบียนก็ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี เนื่องจากตนเป็นพนักงานบริษัท ปีก่อนๆ ก็ไม่เคยลงทะเบียนกับ สปสช. อีกทั้งอายุยังไม่ถึง 60 ปีแต่ว่ามีค่าน้ำตาลในเลือดสูงและทางยาเบาหวานเป็นประจำ จึงปรึกษาเจ้าหน้าที่ทางไลน์ว่าสามารถลงทะเบียนจองสิทธิได้หรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่จึงสอบถามข้อมูลและช่วยลงทะเบียนให้

"ดิฉันเลือกลงทะเบียนฉีดที่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์เพราะว่าอยู่ใกล้บ้าน ใช้เวลาประมาณ 15 วันก็ได้ฉีดแล้ว พอถึงวันนัดก็เดินเข้าไปที่โรงพยาบาล จะพบป้ายบอกไว้ว่าจุดให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เอาบัตรประชาชนไปยื่น เขาก็จะพิมพ์เอกสารบางอย่างให้ถือไปยื่นให้พยาบาลที่ห้องฉีดยา ยื่นเสร็จแล้วก็ได้ฉีดเลย ใช้เวลารวดเร็วมาก ตั้งแต่ไปถึงโรงพยาบาลจนเสร็จทุกอย่างประมาณ 20 นาทีเท่านั้น" สิรินทร์ กล่าว

สิรินทร์ กล่าวอีกว่า โดยภาพรวมแล้วรู้สึกพึงพอใจมากเพราะครั้งนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย สามารถเลือกโรงพยาบาลใกล้บ้านได้และการให้บริการของเจ้าหน้าที่ทั้ง สปสช.และของโรงพยาบาลก็ดี แต่ยังมีข้อเสนอแนะว่าในส่วนของผู้สูงอายุบางคนที่ไม่คล่องในเรื่องไอทีก็จะลงทะเบียนไม่ได้ ต้องไหว้วานลูกหลานหรือคนอื่นมาลงทะเบียนให้ ดังนั้นวิธีการจองสิทธิแบบนี้ทำให้อาจไม่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งไว้และน่าจะหาวิธีการอื่นๆ รองรับคนกลุ่มนี้ด้วย

ทั้งนี้ ประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ 1) หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป 2) เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปีทุกคน (หมายถึง กลุ่มเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนเต็ม จนถึงอายุ 2 ปี 11 เดือน 29 วัน) 3) ผู้มีโรคเรื้อรัง ดังนี้ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน 4) บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป 5) ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ 6) โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ) และ 7) โรคอ้วน (น้ำหนัก > 100 กิโลกรัม หรือ BMI > 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร) ทั้งนี้ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ เมื่ออายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป สปสช.ได้จัดเตรียมวัคซีนไว้สำหรับทุกคน โดยสามารถขอรับการฉีดวัคซีนได้ตลอดทั้งปี ไม่จำกัดเฉพาะช่วงการรณรงค์เท่านั้น

ขั้นตอนการจองสิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 7 กลุ่มเสี่ยง ฟรี เปิดให้ลงทะเบียนจองสิทธิฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 7 กลุ่มเสี่ยง สำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ใน กทม. จองสิทธิผ่าน LINE@ucbkk เลือกที่ สปสช.สร้างสุข ทำตามขั้นตอนเพื่อยืนยันตัวตน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://line.me/R/home/public/profile?id=ucbkk หรือคลิกที่ https://ucme.nhso.go.th/pharmcare โดยเริ่มให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 63 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 31 ส.ค.นี้ หรือจนกว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะหมด ซึ่งขณะนี้ยังคงเหลือประมาณ 70,000 โด๊ส จากจำนวนที่ได้รับจัดสรรทั้งหมดในพื้นที่ กทม. 270,000 โด๊ส

ที่ปรึกษา รมว.สธ. เยี่ยมให้กำลังใจกลุ่มเกษตรปลอดภัย อบต.คลองนกกระทุง ขับเคลื่อนสุขภาพดี ผ่าน กปท. หนุนตรวจคัดกรองสารเคมีตกค้างในเลือด ลดการใช้สารเคมีภาคการเกษตรในพื้นที่   

ดร.ภก.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงาน “โครงการป้องกันควบคุมโรคจากสารเคมีในเลือดกับผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม” ภายใต้ “กองทุนหลักประกันสุขภาพตำบลคลองนกกระทุง” (กปท.คลองนกกระทุง) อ.บางเลน จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และล้างผักลดสารปนเปื้อน 

ดร.ภก.อนันต์ชัย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขร่วมรณรงค์กับท้องถิ่นและ สปสช. ผลักดันให้ผลผลิตทางการเกษตรและอาหารแปรรูปมีความปลอดภัยให้ไทยพร้อม เป็นครัวของโลก โดยผ่านกลไกการสนับสนุนระดับจังหวัด บูรณาการกับท้องถิ่น  โดยมี กองทุนตำบลของ สปสช. ที่มีอยู่ทุกพื้นที่ กว่า 7,738 แห่ง  ร่วมสนับสนุนงบประมาณจากผลการสุ่มตรวจเมื่อปี 2558 มีผู้ที่ปลอดภัยจากสารเคมีที่ตกค้างในเลือดเพียง 5 %แตกต่างชัดเจน กับปัจจุบัน คือ มีผู้ที่ปลอดภัยจากสารเคมีในเลือดมากกว่า  50 %

ทพ.อรรถพร กล่าวว่า “กองทุน อบต.คลองนกกระทุง เป็นกองทุนตำบลหนึ่งที่เข้าร่วมดำเนินการมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ที่ สปสช. เริ่มกองทุนตำบลมาตั้งแต่ ปี 2549  ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จนถึงเข้าร่วมครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ มีจำนวน 7,738 แห่ง ครอบคลุมประชากร จำนวนกว่า 57 ล้านคน บอร์ด สปสช.จัดสรรงบประมาณให้ 45 บาทต่อประชากร เพื่อดำเนินการด้านการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคและฟื้นฟูสมรรถภาพของประชาชนผ่านการบริหารงานจากทุกภาคส่วนร่วมกัน และมีการพัฒนาศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชน หรือ หน่วยรับเรื่องร้องเรียนอิสระอื่น ตามมาตรา 50(5) เช่นที่ จังหวัดนครปฐมนี้ มีศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนจังหวัดนครปฐมให้ความรู้ มีส่วนร่วมในระบบหลักประกันสุขภาพ ตั้งแต่ปี 2549 และขอขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอิสระอื่น ตามมาตรา 50(5) ในปี 2553  โดยได้ดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

มานพ ศรีสุข นายก อบต.คลองนกกระทุง กล่าวว่า พื้นที่รับผิดชอบของ อบต.คลองนกกระทุง ประชากรส่วนใหญ่ มีอาชีพเกษตร อาชีพอื่นเพียง 4% มีพื้นที่เป็นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำท่าจีนและลำคลองหลายสาย เดิมในพื้นที่เอง เกือบทั้งหมดทำเกษตรแบบแปลงใหญ่ ใช้สารเคมี เร่งผลผลิต เพื่อหวังขาย แต่เกิดผลกระทบข้างเคียง มีสารพิษ สารเคมีตกค้างในพื้นที่ค่อนข้างมาก ต่อมาเริ่มมีกระแสเกษตรพอเพียง เครือข่ายเกษตรทฤษฎีใหม่ ให้ทุกตำบลต้องมีศูนย์การเรียนรู้เกษตรปลอดภัยที่เป็นรูปธรรม จึงได้เริ่มมีการพัฒนาสนับสนุนโครงการมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ โดยมีเครือข่ายเกษตรคลองนกกระทุง เป็นหนึ่งที่สำคัญในการดูแลเกษตร ดูแลผู้บริโภคปลอดภัย บูรณาการโครงการมาร่วมกัน โดยการเริ่มตรวจเลือดในสารเคมีครั้งแรก โดยปี 2558 สุ่มตรวจประชากรจำนวน 100 ราย พบผู้ที่มีความเสี่ยงและไม่ปลอดภัยถึง 95 ราย จึงได้ร่วมกันเร่งพัฒนารูปแบบการทำงาน ให้ความรู้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาอย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบัน

นกน้อย ศรีนวลมาก ประธานกลุ่มเกษตรปลอดภัยคลองนกกระทุง และกรรมการกองทุน สปสช. กล่าวว่า ได้ให้ความรู้เรื่อง การส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค การเข้าถึงการรักษา การคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้สิทธิบัตรทอง และเป็นเครือข่ายการทำงานของเครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายคนรักหลักประกันสุขภาพ เป็นกรรมการศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนจังหวัดนครปฐม และการคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพต่างๆ ที่สำคัญ คือ ในปี 2558 ริเริ่มโครงการขอให้มีการตรวจสารเคมีในเลือดให้แก่กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ ในการสร้างความเข้าใจและลดความเสี่ยงจากพืชผักในพื้นที่ตำบล

ทพ.ญ.มนิธี  ต่อเศวตพงศ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า “จากการสำรวจข้อมูลเกษตรกรของจังหวัดนครปฐม ในปี พ.ศ. 2562  พบว่าจังหวัดนครปฐม มีพื้นที่ในการปลูกข้าวทั้งจังหวัด จำนวน 241,708 ไร่ มีเกษตรกรที่ทำนา จำนวน 13,687 ครัวเรือน อำเภอบางเลน เป็นแหล่งที่มีการทำนา มากที่สุด จำนวน 142,836 ไร่ มีเกษตรกรที่มีอาชีพทำนา 7,075 ครัวเรือน นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งการปลูกพืช ผัก ผลไม้ ที่มีคุณภาพ ได้มีการพัฒนาวิถีเกษตรปลอดภัย ที่พร้อมเป็นครัวโลก แหล่งอาหารปลอดภัยของภาคกลาง ที่มีการดำเนินการเชิงนโยบายตามแนวทางเกษตรพอเพียง โดยบูรณาการงานระดับจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขนครปฐม ร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัดนครปฐม กลุ่มเกษตรอินทรีย์ และเอกชนในพื้นที่ จัดให้มีการตรวจหาปริมาณสารเคมีที่ตกค้าง เพื่อหวังกระตุ้นให้เกษตรกรลดการใช้สารเคมี ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการผลิตและบริโภคอย่างปลอดภัย

ผลการตรวจหาปริมาณสารเคมีทางการเกษตรตกค้างในเลือดเกษตรกรของจังหวัดนครปฐม ประจำปี 2562  จำนวน 1,687 ราย พบมีผลปกติ 255 ราย(15.11 %) ปลอดภัย 479 ราย(28.39 %)  เสี่ยง 592 ราย(35.09 %)  และไม่ปลอดภัย 361 ราย(21.39 %)  รวมทั้ง มีแนวทางให้เกษตรกรลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร  โดย ร่วมกันรณรงค์ภายใต้นโยบายอาหารปลอดภัย เพื่อให้ผู้บริโภคมีความรู้ในการเลือกซื้อผลิตทางการเกษตรที่ปลอดภัย ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรทำการเกษตรที่ปลอดภัย ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งจังหวัด พร้อมกับชูให้แต่ละตำบลที่ดำเนินการเกษตรปลอดภัย  เป็นหนึ่งในศูนย์การเรียนรู้ของกองทุนระดับตำบลด้วย

 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net