Skip to main content
sharethis

ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับถอดถอน 'ธรรมนัส' ปมเมียถือหุ้นบริษัทคู่สัญญารัฐ ชี้ไม่เข้าลักษณะทำสัญญาผูกขาดตัดตอน และชี้ 'สิระ' ไม่สิ้นสมาชิกภาพ ส.ส. ปมลงพื้นที่ภูเก็ต แต่ยังเปิดช่องให้เอาผิดจริยธรรมได้ ขณะที่เข้าตัวจ่อฟ้องส.ส.ฝ่ายค้านที่ลงชื่อในคำร้องหากกลั่นแกล้ง

1 ก.ค.2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเกี่ยวกับ สมาชิกภาพ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล 2 คน คือ  ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และของ สิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ 

ไม่รับถอดถอน 'ธรรมนัส' ปมเมียถือหุ้นบริษัทคู่สัญญารัฐ ชี้ไม่เข้าลักษณะทำสัญญาผูกขาดตัดตอน

โดย ของ ร.อ.ธรรมนัส ที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องกรณีประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของส.ส. 54 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพส.ส.ของร.อ.ธรรมนัส สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101( 7 ) ประกอบมาตรา184 วรรค 1( 2 ) และวรรค 3 หรือไม่ จากกรณีภรรยาของร.อ.ธรรมนัสถือครองหุ้นในบริษัทตลาดคลองเตย(2551) จำกัด โดยบริษัทดังกล่าวได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่กับการท่าเรือแห่งประเทศไทย 

ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การทำสัญญาดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นการเข้าทำสัญญาอันเป็นการผูกขาดตัดตอน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรค 1( 2 ) และวรรค 3 มูลกรณีจึงไม่ต้องด้วยเหตุตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101( 7 ) ที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตามมาตรา 82 ได้

ชี้ 'สิระ' ไม่สิ้นสมาชิกภาพ ส.ส. ปมลงพื้นที่ภูเก็ต แต่ยังเปิดช่องให้เอาผิดจริยธรรมได้

ขณะที่ ของ สิระ ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำวินิจฉัย ในคำร้องที่ ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร  ได้ส่งความเห็นของ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน 57 คน  ขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า สมาชิกสภาพการเป็น ส.ส.ของ สิระ  สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(7) ประกอบมาตรา 185 (1) หรือไม่ 

ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 เห็นว่า การที่ สิระเดินทางลงไปตรวจสอบพื้นที่การก่อสร้างคอนโดมิเนียม เมื่อวันที่ 18-19 ส.ค.2562 ที่ จ.ภูเก็ต และได้มีการแสดงพฤติกรรมและใช้วาจาไม่เหมาะสม กับ พ.ต.ท.ประเทือง ผลมานะ รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สภ.กะรน ผู้บริหารเทศบาล ตำบลกะรน  ยังไม่เข้าลักษณะเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ ส.ส. ใช้สถานะหรือตำแหน่งเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติราชการ หรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รับถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185(1)  จนเป็นเหตุให้สมาชิกภาพความเป็น ส.ส. สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(7)

ศาลให้เหตุผลว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า สิระ ให้การยอมรับว่า ได้ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต เพื่อตรวจสอบ  และได้มีการพูดคุยกับ พ.ต.ท.ประเทือง นายกเทศมนตรีตำบลกะรน ตามที่ได้มีการร้องจริง  แม้สิระจะไม่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการให้ลงไปตรวจสอบจากบุคคลภายนอก  แต่จากการกระทำดังกล่าว มี 2 การกระทำ คือ 1. พูดจาไม่เหมาะสมกับ พ.ต.ท.ประเทือง กรณีพบการก่อสร้างผิดกฎหมายแล้วไม่ดำเนินคดี  และ 2.ไม่จัดเจ้าหน้าที่มาดูแลรักษาความปลอดภัยนายสิระ 

ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 เห็นว่า การกระทำดังกล่าวของสิระเป็นเพียงต้องการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด  ซึ่งการแสดงพฤติกรรมและการใช้ถ้อยคำของสิระ เป็นเพียงการไม่เห็นด้วยกับการทำหน้าที่ของ พ.ต.ท.ประเทืองเท่านั้น  สำหรับการกระทำกรณีพูดจาต่อนายกเทศมนตรี และผู้บริหารเทศบาลตำบลกระรน  ก็เป็นเพียงการสอบถามข้อมูล และรับฟังคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย กับการก่อสร้างอาคารชุดดังกล่าว เพื่อให้มีการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายกำหนด 

จึงยังฟังไม่ได้ว่า สิระใช้สถานะหรือตำแหน่ง การเป็น ส.ส. ก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น  หรือพรรคการเมือง ในการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของ พ.ต.ท.ประเทือง นายกเทศมนตรี และผู้บริหารเทศบาลตำบลกระรน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 185(1)

อย่างไรก็ตาม พฤติการณ์ของสิระ ในการแสดงท่าทางและการใช้ถ่อยคำ ต่อ พ.ต.ท.ประเทือง นายกเทศมนตรี และผู้บริหารเทศบาลตำบลกระรน  หากบุคคลใดเห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่สุภาพ ไม่เหมาะสมต่อสถานะ หรือตำแหน่ง ส.ส. บุคคลนั้นย่อมดำเนินการได้ ตามที่รัฐธรรมนูญ กฎหมาย หรือข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของ ส.ส.และกรรมาธิการ พ.ศ.2563  และมาตรมาตรฐานทางจริยธรรมของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ  รวมทั้ง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ซึ่งใช้บังคับกับ ส.ส.ด้วย  

'สิระ' จ่อฟ้องส.ส.ฝ่ายค้านที่ลงชื่อในคำร้องหากกลั่นแกล้ง

หลังคำวินิจฉัยออกมา สิระ กล่าวว่า เรื่องที่ผู้ร้องเรียนตน  ถือว่าเราก็เป็นนิติบัญญัติเหมือนกัน เป็น ส.ส.เหมือนกัน การที่จะร้องอะไรก็ต้องรับผลตามมา  ดูว่าผู้ถูกร้องได้รับความเดือดร้อนหรือไม่  มีการเซ็นต์ชื่อกันกว่า 50 คน ได้มีการอ่านคำร้องหรือไม่ เบื้องต้นได้ให้ฝ่ายกฎหมายดูว่าความผิดของผู้ร้องมีอะไรบ้าง  จะได้เป็นบรรทัดฐานในการเซ็นต์ชื่อร้องโดยที่ไม่สอบข้อเท็จจริง  ตนถือว่าวันนี้ได้ทำประโยชน์กับประเทศ  คอนโดที่ตนได้ลงพื้นที่ในจ.ภูเก็ต ก็ได้ถูกระงับการก่อสร้าง  ก็รออีกนิดนึงว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นหรือไม่  ที่ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์  ทั้งนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ต้องรับผิดชอบ  ถ้ามีอีกไม่ใช่เฉพาะกรณีนี้ตนพร้อมที่จะไปตรวจสอบ

"ถ้าพบว่าผู้ร้องมีเจตนา หรือความผิดสำเร็จตามมาตรา 157  ผมจะต้องดำเนินคดีกับผู้ที่ลงรายชื่อทั้งหมด  เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างกับ ส.ส. ที่ใช่ว่าจะร้องใครก็ร้อง  และไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย เราเป็นนิติบัญญัติ ออกกฎหมายให้คนทั้งประเทศใช้  ฉะนั้น ส.ส.จะต้องรับผิดชอบต่อตัวท่านเองด้วย  มิฉะนั้นประชาชนจะให้ความเชื่อถือ ส.ส.ได้อย่างไร  งานนี้ถ้าพบความผิดจริง ผมเอาคืนแน่ ไม่ใช่เรื่องการจองเวรจองกรรม แต่เป็นเยี่ยงอย่างไม่ให้ไปกระทำกับรายต่อไป  ไม่ว่าท่านนั้นจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน" สิระ กล่าว

สิระ ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภาอีกครั้งว่า ได้ให้ฝ่ายกฎหมายของตนตรวจสอบคำร้องดังกล่าว หากเห็นว่าข้อความอันเป็นเท็จในคำร้องมีเจตนาเพื่อกลั่นแกล้งหรือใช้ตำแหน่งหน้าที่มิชอบ เป็นความผิดตามกฎหมาย ตนจะดำเนินการทางกฎหมายต่อบุคคลเหล่านั้น ตามสิทธิทางกฎหมายต่อไป

ที่มา : สำนักข่าวไทย, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ และ เนชั่น

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net