ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ หนุนวัคซีนบูสเตอร์โดส-นศพ.ศิริราช เร่งใช้ mRNA เป็นหลัก

ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ แถลงสนับสนุนให้ใช้วัคซีนแอสตราเซเนกา หรือไฟเซอร์ ฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้บุคลากรทางการแพทย์ตามความสมัครใจ ด้านสโมสรนักศึกษาแพทย์ศิริราชแถลงเรียกร้องให้นำเข้า mRNA เป็นวัคซีนหลัก และกระจายให้ทั่วถึง รวมถึงเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีน ส่วนภาคีบุคลากรสาธารณสุขแถลงสนับสนุน #ม็อบ18กรกฎา

16 ก.ค. 2564 หลังศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงว่า ที่ประชุม ศบค. มีข้อสรุปให้ใช้วัคซีนสูตรผสมได้ โดยบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มก่อนหน้านี้ อนุญาตให้ฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกา หรือวัคซีนที่เป็นเทคโนโลยี mRNA เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ขณะที่ประชาชนที่ฉีดวัคซีนซิโนแวค 1 เข็มแล้ว ให้ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นเข็มที่ 2 ห่างกัน 10-12 สัปดาห์

ต่อมา ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยแถลงจุดยืนเรื่อง วัคซีนโควิด-19 ฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2564 เพื่อสนับสนุนให้ใช้วัคซีนที่มีข้อมูลประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อเชื้อกลายพันธุ์ กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่เพียงพอในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ ป้องกันการล่มสลายของระบบบริการรักษาพยาบาล และสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ต้องทำหน้าที่อย่างหนักและต่อเนื่องในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19

ต่อมาได้มีนโยบายจาก ศบค. ออกมาชัดเจนแล้วว่าบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มแล้ว จะได้รับวัคซีนกระตุ้นภูมิต้านทาน โดยฃวัคซีนแอสตราเซเนกา หรือไฟเซอร์

การที่ควรจะได้รับการกระตุ้นเข็มที่ 3 เนื่องจาก พบว่าภายหลังการได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มแล้ว พบว่า แอนติบอดีที่สามารถยับยั้งการเพิ่มจํานวนของไวรัส (Nab) ลดลงอย่างรวดเร็วภายใน 1–2 เดือน หลังเข็มที่ 2 จึงน่าจะมีการฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 ซึ่งควรเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม โดยเฉพาะในสถานการณ์ระบาดของสายพันธ์ุเดลตา

การกระตุ้นด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกา มีรายงานจากประชากรกลุ่มตัวอย่างจำนวนไม่มากในประเทศไทยที่แสดงว่าการกระตุ้นภูมิต้านทานในผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มแล้ว ต่อทั้งสายพันธ์อัลฟาและเดลตาได้ดี และน่าจะเป็นวัคซีนที่สามารถได้รับการฉีดกระตุ้นได้เร็วที่สุด ส่วนการกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ มีรายงานในประชากรกลุ่มตัวอย่างจำนวนไม่มากในต่างประเทศ ที่พบว่า กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีเช่นกัน และมีการใช้แล้วในประเทศตุรกี แต่ยังไม่มีรายงานผลให้ทราบ นอกจากนั้น ยังไม่ชัดเจนว่าเราจะได้รับวัคซีนไฟเซอร์เมื่อไหร่ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการรายงานเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์จากการกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยวัคซีนของทั้งสองบริษัท

การตัดสินใจฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนชนิดใดจึงขึ้นกับการตัดสินใจของแต่ละท่าน โดยต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงต่อการเป็นโควิด-19 และความพร้อมของวัคซีนที่จะได้รับด้วย

ด้านสโมสรนักศึกษาแพทย์ศิริราช ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้เร่งจัดหาวัคซีน mRNA มาใช้เป็นวัคซีนหลัก เร่งกระจายวัคซีนให้ทั่วถึง โดยเริ่มจากกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเสียชีวิตก่อน และเปิดเผยรายละเอียดขั้นตอนกระบวนการพิจารณาเลือกวัคซีน การศึกษาวิจัย สัญญาการจัดซื้อ การจัดการวัคซีนที่ได้รับบริจาคจากต่างชาติ และแผนการกระจายวัคซีน ทั้งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว และกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

แถลงการณ์สโมสรนักศึกษาแพทย์ศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล

เรื่อง การจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในประเทศไทย

ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะนี้มีความรุนแรงมากขึ้นจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 กลายพันธุ์ มีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อใหม่ และผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการสาธารณสุข การศึกษา เศรษฐกิจ ไปจนถึงการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วไป แม้ว่าจะได้มีการเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ไปแล้วในกลุ่มบุคลากรการแพทย์ และกำลังมีการกระจายให้ประชาชนทั่วไปอยู่ในขณะนี้นั้น กลับพบว่าวัคซีนเดิมที่นำมาใช้เป็นวัคซีนหลักตามนโยบายของรัฐ ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 การบริหารจัดการกระจายวัคซีนที่ล่าช้า อีกทั้งการให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนที่ยังคงมีข้อสงสัยมากมายจากประชาชนถึงความถูกต้องและโปร่งใส ส่งผลอย่างยิ่งต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในการทำงานของรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องในวิกฤติครั้งนี้

สโมสรนักศึกษาแพทย์ศิริราช มีความเห็นว่านอกจากมาตรการป้องกันส่วนบุคคลแล้ว ส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมการระบาด และการป้องกันการระบาดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต คือการมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพซึ่งประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้ สโมสรนักศึกษาแพทย์ศิริราชจึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาล คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนี้

1. เร่งจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์มาใช้เป็นวัคซีนหลัก โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า และความปลอดภัย โดยวัคซีนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในขณะนี้คือวัคซีนกลุ่ม mRNA (Messenger RNA vaccines) ซึ่งมีหลักฐานจากผลการศึกษาวิจัยที่น่าเชื่อถือจากหลากหลายสถาบัน และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ได้สูง

2. เร่งจัดให้มีการกระจายวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพให้ทั่วถึงประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งวัคซีนหลักแก่ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster dose) แก่ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว โดยเริ่มจากกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเสียชีวิตก่อนเป็นอันดับแรก เช่น กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่ปฏิบัติงานสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย ประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว และกลุ่มผู้สูงอายุ เป็นต้น รวมไปถึงประชาชนกลุ่มเปราะบางที่เสี่ยงต่อการระบาด เช่น ประชาชนในชุมชนแออัด คนงานก่อสร้าง สัปเหร่อ หรือผู้ประกอบอาชีพในงานบริการ เพื่อให้ระบบการสาธารณสุขของประเทศยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

3. เปิดเผยรายละเอียดขั้นตอนกระบวนการพิจารณาเลือกวัคซีน การศึกษาวิจัย สัญญาการจัดซื้อ การจัดการวัคซีนที่ได้รับบริจาคจากต่างชาติ และแผนการกระจายวัคซีน ทั้งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว และกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้เกิดความโปร่งใส สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าวัคซีนนั้นมีประสิทธิภาพ ผ่านขั้นตอนการพิจารณาโดยปราศจากการทุจริต และถูกต้องตามหลักจริยธรรม

สโมสรนักศึกษาแพทย์ศิริราช

มหาวิทยาลัยมหิดล 15 กรกฎาคม 2564

ขณะที่ภาคีบุคลากรสาธารณสุข ออกแถลงการณ์สนับสนุนข้อเรียกร้องของ #ม็อบ18กรกฎา ที่เรียกร้องให้ประยุทธ์ต้องลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข ปรับลดงบสถาบัน-กองทัพสู้โควิด-19 และนำวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA เข้ามาเป็นวัคซีนหลัก พร้อมย้ำให้ผู้ร่วมชุมนุมป้องกันตนเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัยและเฟซชีลด์ ร่วมกับการใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และเว้นระยะห่างตามความเหมาะสม

แถลงการณ์จากภาคีบุคลากรสาธารณสุข

15 กรกฎาคม 2564

เรื่อง สนับสนุนข้อเรียกร้องของการชุมนุมวันที่ 18 กรกฎาคม 2564

เนื่องด้วย “ภาคีบุคลากรสาธารณสุข” เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของกลุ่มบุคลากรสาธารณสุขจากทุกภาคส่วนของประเทศ ที่ต้องการขับเคลื่อนประเด็นทางด้านสาธารณสุขและประชาธิปไตยของประเทศไทยเป็นหลัก ซึ่งในวันที่ 18 กรกฎาคม 2564 มีการชุมนุมของประชาชนหลายกลุ่ม โดยมีข้อเรียกร้องหลัก 3 ข้อ ดังนี้

1. ประยุทธ์ต้องลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข

2. ปรับลดงบสถาบัน-กองทัพสู้โควิด-19

3. นำวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA เข้ามาเป็นวัคซีนหลัก

ทางภาคีบุคลากรสาธารณสุขขอร่วมสนับสนุนข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อ ของทางกลุ่มผู้ชุมนุมวันที่ 18 กรกฎาคม 2564 เนื่องด้วย มีจุดร่วมเดียวกันในการเรียกร้องประเด็นเรื่องการควบคุมโรคโควิด-19 โดยทางรัฐบาลควรบริหารจัดการทั้งในเรื่อง การควบคุมโรค การรักษา รวมถึงการป้องกันให้มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และลดความเสี่ยงที่จะเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มภาคีบุคลากรสาธารณสุขขอเน้นย้ำเรื่องการป้องกันตนเองในสถานการณ์การแพร่ระบาดนี้ ด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยร่วมกับ Face shield ใช้เจลแอลกอฮอล์ และเว้นระยะห่างตามความเหมาะสมในการร่วมชุมนุม เพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง

ภาคีบุคลากรสาธารณสุข

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท