"มันใกล้เวลาแล้ว ถ้าเหนื่อยก็พักสักหน่อย พอมีแรงแล้วก็กลับมาสู้ต่อ อีกไม่นาน แม่เชื่อ..." คุยกับ “ป้านิ่ม” หรือ “สหายรัฐ” หญิงวัย 61 ปี ขาประจำร่วมกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ จ.เชียงใหม่ ในฐานะ ‘คนเดือนตุลา’ กับความหวังต่อคนรุ่นใหม่
“ป้านิ่ม” หรือ “สหายรัฐ” หญิงวัย 61 ปี ขาประจำร่วมกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ จ.เชียงใหม่
ถ้ากล่าวถึงการชุมนุมทางการเมืองในจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ข่วงประตูท่าแพ หรือสถานีตำรวจภูธร ภาค 5 ทุกสถานที่ของการเคลื่อนไหวทางการเมืองในเชียงใหม่ เรามักจะสังเกตเห็นนักเคลื่อนไหวไม่กี่คนที่สะกดดวงตา และพาให้ตั้งข้อสงสัยต่อการกระทำของเขาเหล่านั้น และหนึ่งในนั้นก็คือ “ป้านิ่ม” หรือ “สหายรัฐ”
พลังแห่งความหวังที่สะท้อนออกมาจากตัวของป้านิ่ม ก่อความสงสัยของผู้เขียนครั้งแล้วครั้งเล่าในการเข้าร่วมสังเกตทางการเมือง ซึ่งแสดงออกผ่านความคิดเชิงสร้างสรรค์ในการเคลื่อนไหวที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นการติดข้อความรอบรถมอเตอร์ไซค์ในข้อความว่า “วัคซีนของGUอยู่ไหน ไอ้SUS” หรือการนำเอาความเชื่อพื้นบ้านของชาวล้านนาเข้ามาประกอบพิธีกรรมสาปแช่งคณะรัฐประหารผ่านตุงสามหางที่เป็นอุปกรณ์สำคัญในการประกอบพิธีฌาปนกิจ รวมไปถึงการจำหน่ายสินค้าทางที่มีสัญญะทางการเมือง อาทิเช่น เสื้อสกรีนที่มีข้อความเช่น “ฮาจังคิง 112” และรองเท้าแตะที่ตกแต่งด้วยรูปหน้าของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยรายได้ทั้งหมดหลังจากหักค่าใช้จ่ายจะนำไปร่วมสมทบทุนในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองให้แก่มวลชนผู้มีหัวใจประชาธิปไตยทั่วประเทศไทย
คำถามที่ก่อตัวขึ้นภายในใจของผู้เขียนต่อมาก็คงจะเป็น “เขาคือใคร?” ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินตรงเข้าไปเริ่มต้นบทสนทนาระหว่างกันว่า ‘อะหยังยะหื้อป้าต๋าสว่าง เริ่มเมื่อใด๋’ (อะไรที่ทำให้แม่ตาสว่าง เริ่มต้นเมื่อไหร่) คำถามง่าย ๆ เพียงเท่านั้น แต่กลับได้คำตอบที่ผู้เขียนคิดว่าจะเป็นคำตอบและเป็นธงในใจให้แก่นักสู้รุ่นใหม่ที่กำลังต่อสู้ทางการเมือง และหลายคนก็กำลังท้อถอยจากการไม่เห็นหนทางสว่าง ผู้เขียนจึงขอนำบทสัมภาษณ์ของ “สหายรัฐ” หรือ “ป้านิ่ม” อาจเป็นคำตอบให้แก่นักต่อสู้รุ่นใหม่ที่มีคำถามที่ติดอยู่ในใจคล้าย ๆ กันมาตลอดการต่อสู้ที่ผ่านมาว่า “สิ่งที่เราทำอยู่ มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรจริง ๆ ใช่ไหม” สหายรัฐในฐานะผู้ต่อสู้กับความอยุติธรรมมาตั้งแต่เธออายุเพียง 16 ปี จนกระทั่งในวันนี้เธออายุ 61 ปี ที่เป็นการเดินทางมากกว่าครึ่งชีวิตของเธอจะช่วยไขข้อข้องใจผ่านบทสัมภาษณ์สั้นๆ และช่วยยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงมันเกิดแล้วจริง ๆ อาจจะไม่ใช่โครงสร้างปรักหักพังโดยตรง หากแต่เป็นการเบ่งบานและเติบโตทางความคิดทางการเมืองของผู้คนในสังคม
บทสัมภาษณ์ของสหายรัฐเข้าสู่ผ่านทะลุเข้าสู่เดือนประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ในฐานะ ‘คนเดือนตุลา’ ผู้เขียนจะขอหยิบหยกคนประวัติศาสตร์มาเป็นกำลังใจให้แก่คนรุ่นต่อ ๆ ไป ให้สู้ต่อไปอย่างหวังอย่างดังสหายรัฐกล่าวไว้ว่า “ชีวิตต้องมีหวัง”
ตอนที่อยู่ในป่าชื่อว่าสหายอะไร ?
สหายรัฐ : “สหายรัฐ” เพราะมาจากคำว่า “รัฐ” (รัต-ถะ)
อะไรเป็นจุดที่ทำให้สนใจทางการเมือง หรือที่เรียกว่า “ตาสว่าง” ?
พี่ชายของแม่คือ คนที่ทำให้ตาสว่าง พี่ชายของแม่มีโอกาสเข้าเรียนที่ วค. สมัยก่อน (วิทยาลัยครูเชียงใหม่) ทุกครั้งที่กลับบ้านจะนำหนังสือลัทธิสังคมนิยม มาร์กซ์ เลนิน กลับมาให้น้องๆ อ่านที่ฝางและชาวบ้านจะเรียกพี่ชายของแม่ว่า “ครูคอมมิวนิสต์”พี่ชายสนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลง ความทุกข์ยากของชาวนาชาวไร่ ความทุกข์ยากของกรรมกร เวลาพูดคุยอะไรก็มักจะคุยเรื่องการเมือง เรื่องความแตกต่างทางชนชั้น แม่จึงเริ่มต้นด้วยการเป็นสายของพี่ชาย เขาเรียกว่า “สาย วค.” เป็นคนถือจดหมายส่งข่าว เป็นกลุ่มระหว่างนักเรียน นักศึกษา และครู กลุ่มที่มีแนวคิดที่อยากจะมองเห็นว่าประเทศของเราเนี่ยจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
เล่าประสบการณ์ช่วงเวลาในการ “หนีเข้าป่า” ให้ฟังหน่อย?
ตอนแรกเราก็มานั่งคิดว่าจะเป็นอย่างไง จะเป็นดอยสูง ๆ แล้วมีธงแดงค้อนเคียวปลิวอยู่ลิบ ๆ มันก็คือภาพจินตนาการ แต่ในความเป็นจริงที่เราเห็นตอนที่ไปถึงคือ เป็นป่าผืนใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เพื่อป้องกันเฮลิคอปเตอร์หรือเครื่องบิน และเวลาหุงหาอาหารจะต้องระมัดระวังควันไฟ อันนี้หมายถึงในเขตแดนไทยนะ ที่แม่ไปในนั้นคือ อำเภอเทิง เมื่อก่อนเป็นจังหวัดเชียงราย ฐานที่มั่นจริง ๆ ที่แม่อยู่ คือโรงเรียนที่แม่ไปเรียน เขาเรียนว่า “โรงเรียนการเมืองและการทหาร 7 สิงหา” นะ ก่อนจะข้ามไปจากสำนัก 65 ที่แม่พักอยู่ประมาณ 4-5 วันนั้น เราก็คิดว่าเดินสบายแล้ว แต่ปรากฏว่าเดินขึ้นดอยสูงไปเรื่อย ๆ เมื่อไรจะถึงสันเขามองขึ้นไปไม่เห็นอะไรเลย จนปฏิญาณกับตัวเองว่า “ดอยนี้จะขึ้นแค่ครั้งหนึ่ง และลงอีกครั้งหนึ่งคือตอนกลับบ้าน” กลายเป็นว่าต้องขึ้นลงดอย “ภูชายแดน” ชาวบ้านเรียกว่า “ภูเสี้ยงเหมี่ยง” อยู่ที่ภูชี้ฟ้า ภูชายแดนเป็นยอดภูที่สูงที่สุด เวลาที่เราจะลำเลียงของกลับก็ต้องทำช่วงกลางคืน พอลำเลียงของหลายๆรอบ ระหว่างนั้นนั่งพักแม่จำได้เลยว่า พอเดือนดาวเริ่มขึ้น สหายคนหนึ่งก็เริ่มร้องเพลง “...พรางพรายแสง” (เพลง แสงดาวแห่งศรัทธา; ประพันธ์โดย จิตร ภูมิศักดิ์) แม่ก็เลยประทับใจในเพลงจนถึงตอนนี้ จนถึงรอบสุดท้ายที่ทำการลำเลียงกัน คือ วันที่ 12 เมษา เราเดินลงมาที่เชียงราย
อยากฝากอะไรถึงคนเดือนตุลาด้วยกันเอง?
ตลอดระยะ 4 ปี เข้าป่าไปเราไม่มีอะไรเลย เงินเดือน 15 บาท ถึงแม้เราเข้าป่าไปก็ไม่มีอะไรให้เราซื้อ เราก็ต้องเก็บเงินไว้ แต่เงิน 15 บาทจะช่วยอะไรได้ ทุกคนที่ออกจากป่าต้องช่วยเหลือตัวเองทั้งนั้น ความจริงเลือดต่อสู้มันก็ยังอยู่ พอหลังจากออกจากป่าจริง ๆ แล้วการปรับตัวเข้ากับที่บ้านยากกว่านะ เหมือนเขาซ้ำเติมเรา เราเอาเวลาไปทิ้ง แต่ไม่มีใครมาด่านะ เราไปแล้วกลับเข้ามาเหมือนตัวประหลาด เราเสียสละชีวิตส่วนตัว ชีวิตในวัยรุ่น ชีวิตในวัยเรียน วัยสนุกสนาน มันไม่ได้แค่ติดศูนย์นะ แต่มันติดลบ เมื่อออกมาแล้วสิ่งที่เสียสละไปในอดีต หวนกลับไปในสิ่งที่เลวร้ายมากกว่าก่อนที่จะเข้าป่า ก่อนที่จะมีอุดมการณ์อีกด้วยซ้ำ มันติดลบมากกว่า เสียดายสิ่งที่ผ่านมา ถึงแม้ว่ามันจะไม่บรรลุเป้าหมายตามที่เราต้องการ เมื่อออกมาทำไมถึงหวนกลับมาตกต่ำกว่าเดิม อยากฝากบอกว่า “กึ๊ดได้จะใด่ บ่าเสียดายเลยกาสิ่งที่ลงทุนไป” (คิดได้อย่างไร ไม่เสียดายสิ่งที่ลงทุนไปเลยเหรอ)
คิดว่าการออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนนจะสามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองได้หรือไม่?
เปลี่ยนแปลงได้สิ แม่มีความหวังตลอดเวลา ไลน์ของแม่ชื่อ ชีวิตนี้ยังมีหวัง มีความหวังว่า ชีวิตนี้จะต้องได้เห็นจุดจบของเผด็จการ มีความหวังที่จะได้เห็นสังคมที่ดี สังคมใหม่ สังคมจะต้องได้รัฐสวัสดิการแบบที่เราเรียกร้อง เหมือนที่แม่บอกก่อนหน้านี้ว่า เราต้องไม่ประมาท แม้เราตายไปแล้ว แต่ความหวังเรายังไม่สิ้นสุด และจากประวัติศาสตร์ประเทศอื่น ๆ เขาเปลี่ยนแปลงมาได้แล้ว ตอนนี้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีช่วยเร่งเวลาชัยชนะของประชาชนให้มาถึงไวขึ้น เขารู้มากขึ้น ขนาดสมัยนั้นบ้านแม่ไม่มีไฟฟ้าแม่ยังตาสว่างได้เลย ไฟฟ้าเกือบทั่วถึง อินเตอร์เน็ตก็ไปทั่วถึง ยังไงคนก็จะต้อง Get มันต้องรู้ ทำไมเราดักดานแบบนี้
อะไรที่ทำให้ยังยืนหยัดต่อสู้และมีความหวังมาจนถึงปัจจุบัน?
ลมหายใจ คือความหวัง ทุกเช้าตื่นมา เรามีลมหายใจ อันนี้คือความหวัง เราต้องนึกอยู่เสมอว่า วันนี้เราจะทำอะไร ถ้าบ้านเมืองยังเป็นแบบนี้ สูเขา(พวกเธอ)จะละเลยได้เหรอ ต่อให้ตายตาก็ไม่หลับ สมมติว่า ตายก็ตายตาไม่หลับ สังคมยังไม่เปลี่ยน ยังจะเลวร้ายไปเรื่อย ๆ ตายก็ตาไม่หลับหรอก ถ้าวิญญาณลุกขึ้นมาสู้ได้ก็จะลุกมา พลังของแฮชแท็กและตัวคนจะออกมาอยู่ที่ ใจ ตอนนี้ก็เยอะขึ้นแล้วนะเปรียบเทียบกับปีก่อน แม่เรียกว่าความหวัง ยิ่งอยู่นานไป เรายิ่งเห็นความหวัง ใกล้แล้ว
ฝากถึงคนรุ่นใหม่ที่กำลังต่อสู้ทางการเมืองในวันนี้?
แม่อายุ 61 แล้ว แม่ยังสู้ สู้มาตั้งแต่อายุ 16 ตัวเลขสลับกันแล้วจาก 16 เป็น 61 แม่ยังไม่ท้อ ไม่ถอย แม่ยังไม่ผ่อน พูดกันตรง ๆ นะ แม่ยังสู้ แล้วน้องเขา (คนรุ่นใหม่) เพื่ออนาคตน้องเขา ถามน้องเขา แม่อายุเยอะขนาดนี้ แม่ยังสู้ อนาคตแม่ไม่มีแล้ว แม่ใกล้ตายแล้วแบบนั้น น้องจะไม่สู้เพื่ออนาคตตัวเองเหรอ อนาคตน้อง ๆ ยังอีกยาวไกล ทำไมไม่สู้ สู้เถอะ แม่สู้มานานแล้ว แม่คิดว่า มันใกล้เวลาแล้ว ถ้าเหนื่อยก็พักสักหน่อย พอมีแรงแล้วก็กลับมาสู้ต่อ อีกไม่นาน แม่เชื่อ...