ประชาไท - 23 ก.ย.48 ในการประชุมเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนกับการจัดการลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคอีสาน จัดโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา มีการพูดถึงกรณีเขื่อนโปร่งขุนเพชร จ.ชัยภูมิ ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งมีมติเมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมาตามที่กรมชลประทานเสนอให้ศึกษาผลกระทบการก่อสร้างโครงการนี้อีกครั้ง หลังจาก ครม.มีคำสั่งให้ชะลอโครงการชั่วคราวตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา
ชาวบ้านจากจ.ชัยภูมิ กล่าวว่า ชาวบ้านไม่ได้คัดค้านโครงการนี้แบบไม่ลืมหูลืมตา แต่อยากให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการศึกผลกระทบให้รอบคอบ และให้มีการจ่ายค่าชดเชยที่เป็นธรรม โดยหลังจากชาวบ้านเคลื่อนไหวคัดค้านจน ครม.สั่งชะลอโครงการตั้งแต่ ปี 2540 พร้อมกับตั้งคณะกรรมการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่มี รศ.ดร.
ทั้งนี้ เขื่อนจำนวน 5 แห่งที่มีมติครม. 29 เม.ย.2540 ให้ชะลอโครงการเพื่อให้ทำการศึกษาโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมแล้วส่งผลสรุปหรือแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ประกอบด้วย เขื่อนแก่งเสือเต้น จ.แพร่ เขื่อนโปร่งขุนเพชร จ.ชัยภูมิ เขื่อนรับร่อ จ.ชุมพร เขื่อนลำโดมใหญ่ จ.อุบลราชธานี ส่วนเขื่อนคลองกลาย จ.นครศรีธรรมราช นั้น ครม. มีมติเพิ่มเติมในปี 2543
นาง
ด้านนาย
"โครงการนี้ประชาชน 98-99% ต้องการให้สร้าง ช่วงทัวร์นกขมิ้นชาวบ้านเรียกร้องกับนายกรัฐมนตรี กรมชลประทานจึงเสนอให้เพิกถอนมติเก่า เพื่อศึกษาผลกระทบอีกครั้ง" รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าว
นายบารมี ไชยรัตน์ อนุกรรมการสิทธิฯ กล่าวว่า ปัญหาสำคัญอีกประการของโครงการนี้คือระหว่างที่มติครม.สั่งชะลอโครงการทั้งหมด กลับมีการปักหลักเขตใหม่ที่กว้างกว่าเดิม และกระบวนการจ่ายค่าชดเชยให้ชาวบ้านก็มีการทุจริตไม่ต่างจากเขื่อนป่าสัก รวมทั้ง "ชาวบน" ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองที่เก็บหาของป่าเป็นอาชีพ ก็ถูกละเลยไม่ได้รับการดูแลค่าชดเชยในที่อยู่ที่ทำกินแต่อย่างใด
อนึ่ง รศ.ดร.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)