Skip to main content
sharethis


(ต่อจากตอนที่แล้ว)


 


ผ่านหลักการเบื้องต้นแล้ว "ประชาไท" ไปสนทนาหาแง่มุมเพิ่มเติมจาก "มังกรบูรพา" สุวินัย ภรณวลัย ในเรื่องราวเกี่ยวกับระดับจิตของสังคมไทยยุคระบอบทักษิณ ในช่วงที่การเมืองไทยยังชุลมุนและยังไม่รู้ถึงชะตากรรมของตัวเอง


 


 


ทำไมระบอบทักษิณจึงไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจน และถูกตอบโต้ไปมา


ก็เพราะคนแต่ละมีมไม่สามารถมองอะไรที่พ้นไปจากมีมของตัวเอง จนกว่าจะถึงมีมสีเหลือง เหมือนกบในกะลา ขนาดเอ็นจีโอ (มีมสีเขียว) ก็ยังแคบมองเห็นเฉพาะจุดที่ตัวเองอยู่ แต่ไม่สามารถสร้างความสมานฉันท์ แต่มีมสีเขียวเขาก็ใกล้ที่สุดแล้วที่จะเป็นบูรณาการ คือถ้าปฏิบัติธรรมก็ใกล้สีเหลืองแล้ว ฉะนั้นจึงต้องเปิดโลกทัศน์ของตัวเองก่อน


 


ที่ผ่านมาการวิพากษ์ระบอบทักษิณเป็นการวิพากษ์โดย พวก Modernism กับ Post-Modernism คือถ้าพวกปัญญาชนเขาวิพากษ์ เขาก็วิพากษ์จากมีมระดับสีเขียว แต่นักวิชาการบางส่วนกับนักธุรกิจก็จะวิพากษ์จากมีมเดียวกัน (สีส้ม) ก็ต้องมองควบคู่กันไป ในบรรดานั้น อาจารย์ธีรยุทธค่อนข้างจะวิพากษ์ได้แหลมคมที่สุดในสายตาผม


 


อย่างอาจารย์ธงชัย (ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล) วิจารณ์พันธมิตรก็วิจารณ์จากมีมสีเขียวชัดเจน คือการวิพากษ์กันผมก็บอกว่าในพวกพันธมิตรอย่าไปน้อยอกน้อยใจอะไร ก็พันธมิตรกันทั้งนั้นแหละ เพราะเราไม่ได้ต้องการแค่จะโค่นทักษิณ แต่เราต้องการเปลี่ยนปลงโลกทัศน์และการรับรู้ของสังคมไทย และมันต้องไม่จบแค่ช่วงสั้นๆ แต่มันต้องการระยะเวลาในการเปลี่ยนแปลงมีมหรือยกระดับจิตแบบรวมหมู่ เพราะฉะนั้นการวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ดี มันสะท้อนถึงสุขภาวะของการเมืองภาคประชาชน


 


ในกระบวนการต่อสู้ที่ผ่านมา มีการป้ายให้คนที่เห็นต่างเป็นฝ่ายตรงข้ามอย่างค่อนข้างดุเดือด


ต้องบูรณาการ พันธมิตรก็ต้องไม่ทำลายแนวร่วม และต้องเข้าใจข้อจำกัดในพันธมิตรของตัวเองด้วย แต่ว่าจะไปด้วยกันได้ไกลแค่ไหนก็ต้องถามถึงจิตสำนึกรวมหมู่ของสังคมแล้วล่ะ


 


ขณะนี้สังคมไทยเกิดรอยร้าวหรือยัง เพราะคุณทักษิณเขาก็มีมวลชนของเขา และพันธมิตรฯ ก็มีมวลชนของตัวเองเหมือนกัน


รอยร้าวมันเกิดขึ้นแล้ว แต่รอยร้าวนี้พันธมิตรไม่ใช่เป็นคนทำนะ ต้องเข้าใจว่าคุณทักษิณเป็นคนทำเพราะเขาไม่ถอย และปัญหามันจะยิ่งรุนแรง แล้วมันจะนำไปสู่โครงสร้างแห่งความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ


 


แต่การจะหยุดอยู่ได้มันไม่ใช่การรอมชอมนะ มันต้องนิโรธ คือต้องขจัดปัญหาของความทุกข์ เราเป็นอหิงสา แต่เราไม่ใช่หน่อมแน้ม เราต้องสู้ให้ถึงที่สุด และคนที่จะก่อความรุนแรงไม่ใช่ฝ่ายพันธมิตรแน่ๆ ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ต้องให้เครดิตการนำของพันธมิตรฯ เป็นการนำที่ดีที่สุดในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา เพราะจนบัดนี้ก็ไม่มีใครตายเลย นอกจากคนที่เป็นลมกับที่ถูกรถชน 2 คน นี่อาจจะเป็นเพราะว่าอยู่ภายใต้สื่อแบบโลกาภิวัตน์


 


เวลานี้ต้องเข้าใจว่าตัวระบอบทักษิณเป็นปัญหาของประเทศ ไม่ใช่ตัวคุณทักษิณนะ แต่เป็นวิธีคิดแบบคุณทักษิณ เป็นปัญหาของประเทศอย่างร้ายแรง เพราะฉะนั้นเราจะทำอย่างไรให้คุณทักษิณไปก่อน แล้วไม่ให้วิธีคิดแบบนี้เข้ามามีอำนาจ


 


หลังจากขบวนการคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ขยายตัวมาเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ดูเหมือนจะเป็นการสื่อสารในระดับของมีมสีเขียว แต่ตอนนี้ (ล่าสุดเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์) ประเด็นถอยกลับไปเป็นมีมสีน้ำเงินหรือเปล่า


คุณเข้าใจถูกแล้ว เมื่อมองเชิงกลยุทธ์ เราก็ต้องเข้าใจว่าสังคมไทยองค์ประกอบหลักคือ มีมสีน้ำเงินประมาณสัก 40 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็มีมสีแดงประมาณสัก 30 เปอร์เซ็นต์ มีมสีส้มมีประมาณสัก 20-25 มีมสีเขียวมีไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ มีมสีเหลืองมีไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์


 


ผมคิดว่าคุณสนธิเป็นนักกลยุทธ์ที่ปราดเปรื่อง เพราะประเด็นที่เขาต่อสู้หรือ Appeal สีน้ำเงินก่อน และรักษาโทนนี้ตลอดจึงทำให้พวกหัวก้าวหน้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นมีมสีเขียวรับไม่ได้ เขาจึงปฏิเสธกระบวนการของคุณสนธิไงครับ


 


อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งคุณสนธิก็นำเสนอวิพากษ์เรื่องการคอร์รัปชั่นซึ่งชนชั้นกลางมีมสีส้มเขารับไม่ได้ แล้วก็วิพากษ์ในเชิงมีมสีเขียวประปราย เช่น เรื่องฆ่าตัดตอน


 


แต่โดยหลักแล้วเขาทุ่มพลังไปที่การสร้างขุมพลังที่การต่อต้านระบบทักษิณก็เลยเน้นมีมสีน้ำเงินกับมีมสีส้มเป็นหลัก


 


การสู้โดยเน้นไปที่ประเด็นแบบมีมสีน้ำเงิน จะโค่นทักษิณได้จริงหรือไม่ แล้วไม่ส่งผลเสียระยะยาวหรือ


โดยจุดยืนของภูมิปัญญาบูรณาการ ตัวมีมสีน้ำเงินมันกระโดดไปมีมสีเขียวไม่ได้ ทุกอย่างต้องพัฒนาไปตามขั้นตอนของมัน บางคนอาจจะตายด้วยมีมสีน้ำเงิน ตายไปพร้อมกับความรักในหลวง แต่ขอให้เขาตายในแบบที่พัฒนาการทางจิตของเขามีสุขภาวะ หรือที่เรียกว่า Wholesome เพราะสังคมมันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะให้ทุกคนพัฒนามีมของตัวเองขึ้นมาพร้อมๆ กัน เหมือนกับให้ทุกคนบรรลุธรรมพร้อมๆ กันมันเป็นไปไม่ได้


 


แต่ปัญหาของทักษิณคือเขาบล็อกการเติบโตของทุกมีม และบิดเบือน และนำไปสู่ภาวการณ์ป่วยอย่างรุนแรงซึ่งระยะยาวอาจจะถึงกับสิ้นชาติได้


 


เขาเป็นมะเร็ง กินทุกมีม เพราะเขาอยู่ในภาวะผู้นำเดี่ยว นี่คือปัญหา ถ้าเป็นคนที่มีจิตสำนึกแห่งทางเลือกก็ต้องออกมาหยุดภาวะนี้ให้ได้ เพราะถ้าหยุดไม่ได้ก็ตายกันหมด ตายกันทุกมีมนี่คือปัญหา


 


ปัญหาไม่ใช่การวิจารณ์แกนนำพันธมิตรว่าเป็นมีมสีน้ำเงิน เพราะนี่คือกองทัพหลัก คือกองทัพก้านกล้วย (หัวเราะ) มันต้องเอาอันนี้ชน เพราะมีมสีเขียวเนี่ยสู้ไม่ได้ ไม่มีพลังไปสู้ คือในการทำสงครามทุกคนมีหน้าที่ มีมสีเขียวชนมาตั้งกี่ครั้งแล้ว ก่อนที่คุณสนธิจะมาเป็นผู้นำ มีคนพยายามท้าทายอำนาจระบอบทักษิณตั้งกี่ครั้งแล้วได้อะไร การวิพากษ์วิจารณ์ก็ทำกันมาตลอด


 


ปัญหาคือต้องดูว่า ในความเป็นจริงระบอบทักษิณจะถูกสั่นคลอนหรือถูกโค่นล้มได้ แล้วมีพลังอะไรเป็นหลัก ก็ต้องเป็นพลังของมีมสีน้ำเงินกับมีมสีส้ม เพราะกลุ่มสีเขียวมีจำนวนน้อยไปปฏิบัติการมวลชนไม่ได้


 


และปัญหาคือวิธีคิดแบบมีมสีเขียวมันนำไม่ได้ ผมคิดว่าคุณสนธิเขามีความเข้าใจในระดับบูรณาการ ประเด็นมันชัดเจนอยู่แล้ว แต่แม้จะเห็นประเด็นแล้วเราก็ไม่สามารถปฏิบัติการมวลชนได้


 


คนที่วิจารณ์คือเขาไม่เข้าใจว่ายุทธศาสตร์ขุมพลังทางการเมืองแห่งสังคมเครือข่ายต้องเสนอข้อเสนอซึ่งครอบคลุมทุกมีม ทุกระดับจิต และสามารถเปิดช่องให้ทุกคนเติบโตได้ และตายอย่างมีความสุข


 


ช่วงแรกๆ คนที่เข้ามาร่วมก็คือคนแก่ วัย 40-50 เขาสู้เพื่อลูกเพื่อหลาน แล้วค่อยๆ ดึงคนวัยหนุ่มวัยสาวตามมา มันถึงมีพลังมากไง แล้วคนที่แก่ๆ แล้วเขาจะไปไกลเกินมามีมสีน้ำเงินไม่ได้ ด้วยแบ็กกราวด์ทางสังคม แล้วมีมสีน้ำเงินไม่ใช่ไม่ดี มีมสีน้ำเงินเขาเข้มเรื่องศีลธรรม กองทัพธรรมที่ยืนหยัดจนกระทั่งคุณทักษิณยอมเว้นวรรคก็คือมีมสีน้ำเงินทั้งนั้นแหละ เช่น สันติอโศกนี่เป็นมีมสีน้ำเงินที่ต่อต้านระบบทุนนิยมอย่างเอาการเอางาน และอย่างชอบธรรมด้วยเหตุผล และเป็นตัวตนของเศรษฐกิจพอเพียงในบริบทของศาสนาแบบหนึ่ง


 


ด้านหนึ่งเราก็ยอมรับความจริงว่าสังคมประกอบด้วยมีมที่หลากหลาย เราปฏิเสธโลกาภิวัตน์ไม่ได้ แต่ว่าเราจะอยู่กับโลกาภิวัตน์อย่างไรไม่ให้มันไล่ล่าเรา นี่คือข้อเสนอที่ต้องสื่อสารกับชนชั้นกลาง


 


บางเรื่องหากว่าภาคประชาชนชนะและเปลี่ยนแปลงได้ ก็สามารถจะเจรจาได้ เช่นเรื่องเอฟทีเอ เอฟทีเอเป็นตัวอย่างหนึ่งที่คุณทักษิณทำแล้วไม่ถูก เพราะโลภ ทำแบบสุ่มเสี่ยง ไม่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม จะทำเอฟทีเอหรือไม่มันต้องให้ประชาชนเข้ามาเรียนรู้แล้วสิ่งนี้มันเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเรายังอยู่ภายใต้ระบอบทักษิณ


 


การต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้ไม่ใช่การเรียกร้องที่สุดโต่ง ไม่ใช่การโค่นอำนาจรัฐ เพียงแต่ขอให้ทุกมีมได้โตบโตอย่างมีสุขภาวะและวางใจได้ว่าแม้เราตายตาหลับแล้วประเทศยังอยู่


 


แต่ว่าสิ่งที่คุณทักษิณทำนั้นก็อาจจะทำด้วยความโลภ ด้วยทัศนะอันคับแคบ เขาอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นทำลายประเทศนี้ พวกไทยรักไทยก็ไม่รู้หรอก เขาไม่รู้หรอกว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ กำลังทำความฉิบหายให้กับประเทศนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องต่อต้านเขา เขาก็บอกว่าระบอบทักษิณไม่มีหรอก เขาก็คงไม่มีเจตนา เพราะถ้าเขาเจตนาก็ชั่วร้ายมาก


 


แต่พันธมิตรฯ ซึ่งเห็นว่าเขาทำลายประเทศก็มองว่าเขากำลังทำลายประเทศไทย เช่น ปฏิญญาฟินแลนด์ก็มองจากมีมสีน้ำเงิน มองว่ากำลังทำลายอนาคตของชาติก็มองจากมีมสีเขียวและสีเหลือง หรือทำลายทุนนิยมเพราะความไม่เป็นธรรมก็มองจากมีมสีส้ม


 


การต่อสู้จนชนะจะส่งผลต่อระดับจิตของผู้เข้าร่วมไหม


ไม่ๆ อันนี้อยู่ที่การนำ ด้านหนึ่งต้องปฏิรูปเศรษฐกิจ และด้านหนึ่งต้องปฏิรูปการเมือง และต้องไม่ใช่อย่างปี 2540 ต้องยอมรับความเป็นสถาบันของการเมืองภาคประชาชน เพราะเห็นอย่างชัดเจนว่าถ้าไม่มีอันนี้จะสู้กับระบอบทักษิณไม่ได้ อีกด้านหนึ่งคือการปฏิรูปสื่อเสรี เริ่มแค่นี้ก่อน


 


นักกฎหม่ายอย่าไปพึ่งมาก ที่ผ่านมาเราพึ่งนักกฎหมายมากมันถึงได้พังไง เพราะนักกฎหมายเขาแคบ แต่เขาเก่งในเรื่องรายละเอียด ต้องใช้คนให้เป็น ให้เขาร่างกฎหมายตามเรา


 


แล้วต่อมาเรื่องเศรษฐกิจ ต้องพัฒนามีมสีส้มก่อน แล้วจึงไปพัฒนามีมสีแดง ทำอย่างไรจะให้เป็นเศรษฐกิจพอเพียง ต้องวางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจพอเพียง ขณะเดียวกันก็ประคับประคองให้อยู่กับโลกาภิวัตน์ไปได้ เพื่อรอการเปลี่ยนผ่านของโลกที่จะเกิดขึ้นในอีก 40-50 ปีข้างหน้า


 


อาจารย์ไม่คิดว่าบรรยากาศทางการเมืองมันจะวนหรือ


ตราบใดที่ไม่มีการยกระดับจิตมันจะวน ผมติดตามและมีปฏิบัติการทางการเมืองมากว่า 10 ปี ก็พบว่าบางคนก็หลายสิบปีก็มีมเท่าเดิม อย่างนี้ก็วนไปเวียนมา หากอยากจะเปลี่ยนการเมืองเชิงลึกก็ต้องศึกษาปริยัติที่เป็นภูมิปัญญาบูรณาการ สองคือ ปฏิบัติธรรม ถ้าเลือกจะทำมันก็มีทาง หรือจะลองแนวทางใหม่ๆ ก็ได้ แต่มันต้องวนแน่ ๆ ถ้าไม่มีการเคลื่อนมีม


 


ที่สุดแล้ว ความก้าวหน้าของสังคม ต้องผูกติดอยู่กับระดับจิตคนส่วนใหญ่หรือเปล่า


ไม่ ในมุมของภูมิปัญญาบูรณาการ ระดับจิตของยอดคนกับระดับจิตโดยเฉลี่ยควบคู่กันไป ระดับจิตของยอดคนเช่น พระเยซู หรือพระพุทธเจ้าเมื่อปรากฏขึ้นก็จะยกระดับจิตของสังคมเลยทีเดียว


 


คนอย่างเลโอนาโด ดาร์วินชี ก็ใช่ ไอนสไตน์ก็มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง เราต้องดูว่าในแต่ละช่วงของสังคมยอดคนที่โผล่ขึ้นมานั้นคือคนประเภทไหน บางคนก็เป็นพระ บางคนก็เป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ อย่างเหมาเจ๋อตุง เลนิน อาจารย์ปรีดี นี่บอกได้ไงว่าไม่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ต้องเข้าใจข้อจำกัดของเขาด้วย


 


เพราะลำพังปล่อยให้ชาวบ้าน-ระดับจิตของคนโดยเฉลี่ยมันไปได้ยาก ทะลุทะลวงไม่ได้ ต้องมีอัจฉริยะโผล่ขึ้นมา อย่างท่านพุทธทาสก็ยกระดับจิตของสังคมจากระดับมีมสีน้ำเงินเป็นมีมสีส้ม


 


แต่คนอย่างอาจารย์ปรีดี โผล่ขึ้นมาคนส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจ


ก็เพราะอย่างนี้ไง The Great Man ก็ต้องแบกรับความปวดร้าว


 


ช่วงนี้มีมสีเขียวมีพื้นที่ในการตรวจสอบการเคลื่อนไหวในการต่อสู้กับระบอบทักษิณมากขึ้น ซึ่งก็ส่งผลให้ขบวนการที่ขับไล่ทักษิณตอนนี้เริ่มจะหันมาทะเลาะกันเองแล้ว


นี่คือข้ออ่อนของมีมสีเขียวแล้ว เพราะตัวเองไม่บูรณาการ แล้วทำให้ตัวเองไม่สามารถเข้าใจคนอื่นอย่างเอื้ออาทร ข้อเสียของมีมสีเขียวอยู่ตรงนี้ ถ้าเห็นว่าคนอื่นไม่เป็นอย่างที่ตัวเองคิดก็ขัดใจ เขาเลยไม่สามารถรักคนอื่นได้จริง จะรักคนอื่นได้ในกรอบที่ตัวเองมองเท่านั้นเอง พวกนี้รักมวลชนก็เข้าใจมวลชนอย่างที่ตัวเองเห็น เพราะมวลชนที่เขาเห็นคือมวลชนอย่างในทฤษฎี เมื่อไม่เป็นอย่างที่คิดก็อึดอัด คับข้องใจแล้วก็ Suffer


 


แล้วคำอธิบายเรื่องระดับจิตจะช่วยไหม


ก็ช่วยในแง่ที่ให้รู้ไว้ เพราะมีมสีเขียวในประเทศอื่นก็คือเป้าถล่มของบูรณาปัญญาชน แต่ในเมืองไทยมันไม่ใช่ มันต้องเป็นพวกเดียวกัน แต่อยากให้มีมสีเขียวรู้ว่าตัวเองมีพื้นที่ในสื่อสาธารณะ แล้วใช้อำนาจ แล้วถ้าตัวเองมีอคติ ขัดอกขัดใจมันก็ทำลายมิตร บั่นทอนมิตร


 


ผมยอมมานั่งหลังขดหลังแข็งเพราะผมคิดว่าผมเข้าใจว่าผมมีวิธีการแก้ปัญหาสังคมอย่างที่อาจารย์มองมาก่อน ทุกคนพูดเรื่องบูรณาการ องค์รวม แล้วมันคืออะไรล่ะ มันกลายเป็นสโลแกน


 


ทำไมมีมสีเขียวถึงโดนถล่มในต่างประเทศ


ก็เป็นอุปสรรคของบูรณาการไง แต่เมืองไทยไม่ได้อ่านหนังสือ หนังสืออ่านมากก็เป็นตัวให้เกิดบริโภคนิยมก็ได้ หรือทำให้เกิดโพสต์โมเดิร์นก็ได้ คือเอาง่ายๆ บูรณาการก็คือ โพสต์ โพสต์โมเดิร์นแค่นั้นเอง ไปอีกหน่อยน่ะ


 


ข้อเสียของโพสต์โมเดิร์นคือระแวงไปหมด และการเชื่อว่าไม่มีความจริงสูงสุด การมองว่าคนที่เชื่อความจริงสูงสุดเป็นมีมสีน้ำเงินหมดนี่มันอีนตราย พวกมีมสีเขียวก็เป็นทุกข์ ฆ่าตัวตายกันตั้งเยอะ


 


แต่บูรณานิยมจะบอกว่าตัวเราแต่ละคนเป็นความจริงสูงสุด นี่เป็นวิจิกิจฉา เขารับไม่ได้ว่าตัวเองมีศักยภาพขนาดนี้ ถอดรื้ออย่างเดียว มันเลนยกลายเป็นปัญหาไง


 


จุดจบของพวกมีมสีเขียวก็คือฆ่าตัวตายเพราะให้ความหมายตัวเองไม่เจอ แต่เขาก้าวหน้ามากแล้วไง


 


มีวิธีสื่อสารไหมที่คนแต่ละมีมจะเข้าใจกันมากขึ้น


ไม่ได้ วิธีที่จะทำได้คือการจัดระเบียบ เหมือนกับจราจร ปัญหาขอมีมคือปัญหาเหมือนกับการจราจร คุณไปในที่ๆ ไม่มีตำรวจจราจร แล้วมีสื่แยกไม่มีไฟแดง ทุกคนก็จะไปแล้วก็ชนกัน หน้าที่ของบูรณาปัญญาชก๋คือทำหน้าที่หยุด แล้วส่งสัญญาณ


 


วิธีที่จะสื่อสารกันได้ก็คือ หนึ่งเปิดใจฟังการจัดระเบียบของบูรณาปัญญาชน ทุกคนก็ถูกหมดแหละ แต่ว่าถูกในส่วนของตัวเอง คนหนึ่งพูดว่าป่าไม้จะหมด อีกคนพูดว่าไฟฟ้าไม่พอ ก็ถูกทั้งคู่แต่ก็ตีกัน ถ้ามองแบบปัญญาบูรณาการก็เอาความจีริงขอแต่ละคนมาเจอกัน นักเศรษฐศาสตร์ก็มองเรื่องจีดีพี นักสังคมศาสตร์ก็มองเรื่องชุมชน ภูมิปัญญาพื้นบ้าน แต่ก็ต้องเติบโตไปด้วยกัน


 


บูรณานิยมต่างกับพหุนิยมก็คือ พหุนิยมไม่มีความเข้าใจเรื่องจิต ถ้าหากพหุนิยมบวกกับความเข้าใจเรื่องจิตก็เป็นบูรณานิยม ถ้ามีมสีเขียวสามารถตรวจสอบตัวเองได้ว่าทำไมตัวเองเข้าใจอย่างนี้ ทำไมตัวเองคับข้องทางใจก็จะพัฒนาไปสู่บูรณานิยม เพราะข้อเสียของมีมสีเขียวก็คือใจเขาจะไม่มีสันติ คือเขาเข้าใจเชิงอุดมคติ แต่เขาไม่สามารถควบคุมจิตใจของตัวเองได้


 


ถ้าจะทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบก็ต้องเข้าใจว่าแต่ละฝ่ายเถียงกันอย่างนี้เพราะอะไร ถ้าหากว่ามีมสีเขียวถ่อมตนหน่อย เปิดใจกว้าง ไม่ใช่ไปสร้างปัญหาให้กับสังคมนะ


 


ปัญหาของมีมสีเขียวคือการยึดอยู่กับหลักการมากเกินไปหรือ


ทุกมีมอยู่กับหลักการหมด เพราะเขายังไม่เติบโต แล้วอีโก้เขาจะจัด ก็ต้องปฏิบัติธรรมเพื่อให้รู้ว่าเขาไม่มีตัวตน เป็นทุกข์ของคนอยากทำดี พวกมีมสีเขียวเนี่ยอย่างเห็นสังคมดี แล้วพอไม่เห็นก็ทุกข์ก็อึดอัด


 


อย่างนั้นมีมสีเขียวก็ต้องทุกข์ไปตลอด


ใช่ เพราะมันไม่ก้าวข้าม เขียวเมื่อมาถึงขั้นหนึ่ง เขาอาจจะเหนือกว่าคนอื่น ๆ เราะเขามีสติปัญญาเหนือกว่า แต่ก็เป็นแค่ Intellectual ไม่ใช่ Wisdom ปัญญาของเขียวก็คือขาด Wisdom


 


การจัดระเบียบนั้นสำคัญ เพราะครั้งนี้ทำพังกันหมด ต้องโค่นเขา เพราะเขาไม่จัดระเบียบเลย เมืองมันพังทั้งเมือง


 


แต่การจะพัฒนาระดับจิตเพื่อที่จะก้าวข้ามระบอบทักษิณก็ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย


คนที่จะต้องเปลี่ยนแปลงคือมีมสีเขียว ต้องข้ามพ้นตัวเองมากลายเป็นมีมสีเหลือง เป็ยบูรณาปัญญาชนก่อน


 


ถ้ามีมสีเขียวเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ แล้วยังไม่มีการปฎิบัติธรรม ก็นำใครไม่ได้หรอก นำไปก็ตัน แล้วตัวเองก็มีความทุกข์ยาก โดยแรงผลักดันแล้วเขาต้องเปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาก็ไม่ซัคเซส เป็นได้อย่างมากก็คือผู้ต่อต้านสังคม ไม่เห็นใครดีในสายตามเขาก็ไม่แฮปปี้หรอก ถ้าเกิดเขากลายเป็นบูรณาปัญญาชนนะ เขาก็จะเป็นขุมพลังในการขับเคลื่อนสังคม ผมไม่ได้ให้ความสนใจมีมสีน้ำเงินนะ ผมสนใจมีมสีเขียว การจะพัฒนาระดับจิตมันต้องผ่านเป็นลำดับ ไม่มีการก้าวกระโดด เพียงแต่มันผ่านได้เร็วผ่านได้ช้า


 


บางขั้นอาจจะผ่านได้ช้า จากมีมสีส้มเป็นมีมสีเขียวก็อาจจะอ่านหนังสือมากหน่อย แต่จากมีมสีเขียวไปมีมสีเหลืองก็อาจจะต้องใช้เวลา ต้องมีวินัยในการใช้ชีวิต ก็เหมือนต้นไม้น่ะ ต้องค่อย ๆ ขึ้นมา


 


แต่การเปลี่ยนผ่านมีมก็ต้องเป็นมีมนั้นอย่างจริงจังก่อน


ใช่ แต่ผมไม่อยากจับเวลาเดี๋ยวท้อ แต่ต้องเข้าใจว่าในสังคมปัจจุบัน การเป็นสังคมสารสนเทศอย่างปัจจุบันการเป็นมีมสีเขียวมันไม่ใช่เรื่องยาก จะไปยากอะไร เข้าเรียนปริญญาโท อ่านหนังสือหนังหา แต่การเปลี่ยนจากมีมสีเขียวเป็นมีมสีเหลืองต่างหากที่ต้องผ่านความปวดร้าวของตัวเองเพราะสภาพไม่เอื้ออำนวย มันเป็นเรื่องจิตสำนึกของทางเลือก


 


ผมคิดว่าเราน่าจะมีสถาบันที่ช่วยในการยกระดับจิต สิ่งที่น่าสนใจนะ ถ้าเอ็นจีโอสนใจอยากจะทำ ผมว่าอย่างเสมสิกขาลัยที่อาจารย์สุลักษณ์ทำอยู่น่าสนใจ แต่ตอนนี้ยังไม่ชัดเจน


 


ฝากบอกเพื่อน ๆ เราเวลาจะตรวจสอบข้อเสนอใคร ก็ตรวจสอบว่า สิ่งที่เขาเสนอมานั้นมันจริงขึ้นกว่าเดิมไหม ดีขึ้นกว่าเดิมไหม งามขึ้นกว่าเดิมไหม แค่นั้นเอง ถ้าหากยังรู้สึกวนเวียน คุณต้องเชื่อสัญชาติญาณตัวเอง


 


ถามแค่นี้ก็รู้แล้วว่าสิงที่ทักษิณทำมาทั้งหมดมันดีกว่า งามกว่าดีกว่าไหม


 


แล้วลองดูกัน สมมติพวกเราสีเขียววิจารณ์ไป เรามีคำวิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์เสนอไหม แล้วก็ต้องเข้าใจด้านในของตัวเองด้วยว่า เราสมาทานโลกทัศน์แบบไหน ด้านในของเราดีขึ้น จริงขึ้น งามขึ้นหรือเปล่า ถ้าเราไม่ดีขึ้น งามขึ้น จริงขึ้นแสดงว่าโลกทัศน์ที่เราสมาทานมีปัญหาแล้ว คือมันไม่นำไปสู่อะไรทั้งสิ้น มันวนเวียนมาแล้วก็นำไปสู่ทุกข์


 


ในแง่หนึ่งคุณทักษิณแกเป็นครูด้านกลับที่ดีมาก คือแกประสบความสำเร็จทุกอย่างแต่ก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า แล้วคุณอยากเป็นอย่างทักษิณเหรอ มีทุกอย่างสมบูรณ์หมดในทางโลก แล้วจะเป็นอย่างไร หาคำตอบให้ได้ ถ้าคุณตอบคำถามนี้ได้ คุณจะไม่เหมือนเดิม เพราะทุกคนที่ดิ้นรนอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่มีทางได้เท่ากับที่คุณทักษิณได้ เขาเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ แต่คุณต้องสู้กับเขา เราต้องก้าวข้ามเขา ไม่ใช่ต้องโค่นนะ


 


แต่อย่างหนึ่งที่ผมไม่เกลียดเขาก็คือเขาไม่ใช่คนโหดร้าย ไม่งั้นตายกันหมดแล้ว


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net