Skip to main content
sharethis

 


การเมือง


ถกปรับครม.จันทร์นี้ เปิดทางคนนอกนั่งมท.1


เว็บไซต์คมชัดลึก- พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยยืนยันว่ากระแสข่าวลือการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากทนแรงกดดันไม่ไหวนั้น เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ส่วนกรณีพิจารณาให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะถือเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี และไม่กังวลจะถูกวิพากษ์วิจารณ์


 



นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันที่ 1 ตุลาคม จะหารือกับรัฐมนตรีที่ประสงค์ลาออกจากตำแหน่งก่อนที่จะพิจารณาปรับคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ เราพยายามดำเนินการให้มีการเลือกตั้งในเดือนธันวาคมนี้ ก่อนหน้านั้นคงจะเป็น 2 เรื่องที่สำคัญคือการจัดงานมหามงคลต่างๆ ที่ถือว่ามีความสำคัญสำหรับปีมหามงคลนี้ อีกส่วนหนึ่งคือการจัดการเลือกตั้งที่คงต้องช่วยคณะกรรมการการเลือกตั้งให้เป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม



 


ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีเคยพูดเปรยกับใครหรือไม่ว่าไม่สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น จนถึงขั้นจะลาออก พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า คงพูดไม่ได้ นายกรัฐมนตรีถ้าพูดออกเป็นข่าว ก็เท่ากับว่ามีผลบังคับ ตรงนี้คงพูดไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะอ่อนไหว เพียงแต่พูดเล่นๆ ก็เป็นเรื่องจริง นั่นเป็นส่วนที่ตนเองรู้และไม่ได้พูดเล่นกับใครในเรื่องเหล่านี้ เพราะฉะนั้น ก็คงเป็นข่าวลือ


 



เมื่อถามว่า อาจมีคนบางส่วนที่ไม่อยากให้เกิดการเลือกตั้งเพราะกลัวอำนาจเก่ากลับมาหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ทราบเพราะไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด คงเป็นเรื่องที่คิดว่าเป็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ทางการเมือง ซึ่งน่าจะมีมากพอสมควร


 



ด้าน ร.อ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นข่าวป่วนซึ่งเกิดขึ้นประจำ นายกรัฐมนตรีตกใจและไม่เคยได้ยินข่าวนี้มาก่อน โดยยืนยันจะทำหน้าที่ตามเดิมกับภารกิจที่ต้องปฏิบัติ



 


"ไพบูลย์"รับมีกระแสล้มเลือกตั้งจริง


เว็บไซต์คมชัดลึก - นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า เมื่อค่ำวันที่ 27 กันยายน ตนมีโอกาสโทรศัพท์พูดคุยกับนายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานให้รับทราบถึงสถานการณ์ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้บอกกับตนว่าเมื่อเดินทางกลับมาจะพิจารณาเรื่องการปรับครม.และเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว นายกรัฐมนตรีจะพิจารณาเรื่องการปรับ ครม.ด้วยตัวเอง



 


ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรียืนยันหรือไม่ว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง นายไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ แต่เท่าที่ได้พูดคุยกัน ไม่บ่งบอกว่ามีความคิดที่จะลาออกแม้แต่น้อย



ต่อข้อถามว่า กลุ่มพันธมิตรอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลใช่หรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ภาพที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครพยายามทำให้เกิด ซึ่งคงมีการวิเคราะห์กันได้ แต่คงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องพูดกันในที่สาธารณะ ส่วนจะเป็นการกลั่นแกล้งกันหรือไม่นั้น ตนเชื่อว่าผู้ที่เกี่ยวข้องคงวิเคราะห์กันได้



 


นายไพบูลย์ กล่าวยอมรับกระแสข่าวความพยายามจะให้มีการเลื่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคมออกไปว่า มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง คงมีความพยายามต่างๆ นานา จะไปห้ามก็คงไม่ได้ แต่ต้องรับรู้และพยายามที่จะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ในส่วนของรัฐบาลมีหน้าที่ ภารกิจที่ต้องดูแลการบริหารราชการแผ่นดินก็ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด และมุ่งมั่นให้มีการเลือกตั้งตามกำหนดเวลาที่กำหนดไว้



 


เมื่อถามว่าถ้านายกรัฐมนตรีประกาศลาออกได้วิเคราะห์หรือไม่ว่าการเมืองในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป นายไพบูลย์ กล่าวว่า ทุกอย่างผันแปร ไม่มีอะไรแน่นอน เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นายกรัฐมนตรีก็คงพิจารณาทุกอย่างประกอบ แต่นายกรัฐมนตรีเป็นคนที่มีคุณสมบัติพิเศษที่มีความเยือกเย็น สุขุม หนักแน่น มั่นคง สามารถที่จะใช้วิจารณญาณที่ดี เพื่อการตัดสินใจที่ดีได้


 



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ นายไพบูลย์ได้พูดกับผู้สื่อข่าวถึง 3 ครั้งว่า "ให้ทำใจให้สุขสงบ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ขอให้ทำใจ เพราะเมื่อใจสงบเราก็จะมีความสุข"



 


แม่ทัพภาค 3 อนุญาตให้ผู้หนีภัยจากพม่าเข้าไทย ไม่เว้นกลุ่มที่ต่อต้าน


เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น -พล.ท.จิรเดช คชรัตน์ แม่ทัพภาคที่ 3 ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศพม่า ว่า ขณะนี้สถานการณ์ระหว่างชายแดนพม่าที่ติดกับประเทศไทย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ยังไม่ต้องเรียกประชุมความมั่นคงชายแดนเพื่อรับสถานการณ์ แต่ได้เน้นย้ำเจ้าหน้าทหารที่ที่ดูแลชายแดน ซึ่งเวลามีการสู้รบที่พม่า แล้วจะหนีเข้ามายังฝั่งประเทศไทยเจ้าหน้าที่มีความคุ้นเคยกับวิธีการปฏิบัตินี้


 


ส่วนการประเมินสถานการ์ของกองทัพภาคที่ 3 ในขณะนี้ได้มีเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งการติดตามข่าวสารนั้น จะเห็นได้จากโทรทัศน์ นอกจากนั้นการติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวยากพอสมควร


 


ส่วนกรณีที่มีชาวต่างชาติและชาวพม่าเสียชีวิตนั้น มาตรการการป้องกันชายแดนของไทยขณะนี้ ยังเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.คนใหม่ยังไม่มีคำสั่งใดเป็นพิเศษ


 


"สถานที่เพื่อใช้ที่พักชั่วคราวที่ได้เตรียมไหวนั้น จะรับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการจราจล ร่วมทั้งผู้ที่ก่อเหตุจราจลต่อรัฐบาลพม่า ซึ่งการอนุญาติให้เข้ามานั้นจะมีการปลดอาวุธ ซึ่งใครจะเข้ามาเราคงแยกไม่ออกว่าเป็นฝ่ายใด โดยยึดหลักมนุษยธรรมใครเดือดร้อนหนีเข้ามาเราก็ดูแล" แม่ทัพภาคที่ 3 ระบุ


 


 


ไทยป้องเขตเขาพระวิหาร


สยามรัฐ -นายพิษณุ สุวรรณะชฎ รองอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ทางกรมตรวจพบข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ที่กัมพูชานำเสนอให้คณะกรรมการมรดกโลก มีสิ่งที่ไม่ตรงกับข้อมูลในเขตแดนสองประเทศที่เขาพระวิหารส่วนหนึ่งอยู่ในพื้นที่ประเทศไทย และในส่วนของปราสาทจะอยู่ในประเทศกัมพูชา แต่ข้อมูลที่นำเสนอเขาพระวิหารอยู่ในเขตประเทศกัมพูชาทั้งหมด ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศได้ ดังนั้น ไทยนำเรื่องนี้ไปพิจารณาในการประชุมในครั้งที่ 32 ที่ประเทศแคนนาดา ใน ปี 51 และได้ให้ทางประเทศกัมพูชาจัดทำคำพิจารณาคำขอขึ้นทะเบียนเสนออีกครั้งในวันที่ 1 ก.พ.51


 


เศรษฐกิจ


"สังศิต"ดันกม. คุมทวงหนี้โหด แก้เครดิตบูโร


ไทยโพสต์ -นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า จะเร่งผลักดันให้ร่างกฎหมายติดตามทวงหนี้ที่เป็นธรรม และร่างแก้ไขกฎหมายเครดิตบูโร ให้เสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ คาดว่าจะเสนอเข้า สนช.ภายในเดือน ต.ค.นี้


 


สำหรับร่างกฎหมายติดตามทวงหนี้ที่เป็นธรรม จะกำหนดให้บริษัททวงหนี้จะต้องมีการขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแล และหากบริษัทใดไม่ปฏิบัติตามกติกาก็จะต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาต เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้บริษัททวงหนี้ออกนอกลู่นอกทางกันมาก และแม้เร็วๆ นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการวางแนวปฏิบัติเอาไว้ แต่เห็นว่ายังไม่เพียงพอในการควบคุมพฤติกรรมของบริษัททวงหนี้ เพราะปัจจุบันมีแต่หน่วยติดตามผล แต่ไม่มีหน่วยงานรับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนที่ถูกทวงหนี้โหด


 


ส่วนกฎหมายเครดิตบูโรจะมีการแก้ไขประเด็นหลักๆ ประมาณ 2 มาตรา ได้แก่ การกำหนดให้มีการจัดชั้นความน่าเชื่อถือของผู้กู้ (เครดิตสกอร์ริ่ง) เพื่อให้สถาบันการเงินใช้ในการพิจารณาอนุมัติเงินกู้แก่ประชาชน โดยระบบดังกล่าวจะต้องมีการประเมินสถานะของผู้กู้เงินอย่างรอบด้านกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน


 


นอกจากนี้ จะแก้ไขให้ผู้กู้เงินสามารถตรวจสอบสถานะของตัวเองจากข้อมูลเครดิตบูโรได้ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากของเดิมไม่สามารถทำได้ เพราะกฎหมายให้เพียงผู้ว่าการ ธปท.เท่านั้นที่เข้าไปดูข้อมูลดังกล่าวได้ ส่วนการลดระยะเวลาการติดแบล็กลิสต์ จากเดิม 3 ปี ให้เหลือ 2 ปี ขณะนี้สถาบันการเงินยังไม่ค่อยเห็นด้วย


 


 


ทิ้งบอมบ์รัฐบาลใหม่เก็บVAT8% 'สมหมาย'ท้าใส่/ธปท.แจงการบริโภค-ลงทุนฟื้นตัว


เว็บไซต์ไทยโพสต์ - นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง ยอมรับว่า กระทรวงการคลังมีแผนปรับเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 8% แต่คงไม่ปรับในรัฐบาลชุดนี้ เพราะเหลือเวลาอีกแค่ 4 เดือน หากทำอาจถูกด่าได้ โดยเรื่องดังกล่าวคงต้องให้รัฐบาลชุดต่อไปเข้ามาเป็นผู้พิจารณา ซึ่งการตัดสินใจเรื่องดังกล่าวรัฐบาลก็ต้องมีความกล้าด้วย


 



ทั้งนี้ เห็นว่าการขึ้น VAT มีความจำเป็น เนื่องจากโครงสร้างภาษีของไทยในปัจจุบันมีความไม่สมดุลระหว่างรายได้กับรายจ่าย และการเก็บ VAT อยู่ที่ 7% ถือว่าไม่เพียงพอ เพราะไทยมีแนวโน้มเป็นรัฐสวัสดิการมากขึ้น เช่น เงินอุดหนุนเรียนฟรี รักษาฟรี และการนำไปใช้หนี้ให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน เป็นต้น


 



นอกจากการปรับขึ้น VAT แล้ว ในแผนการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบของกระทรวงการคลัง ยังมีการปรับขึ้นภาษีประเภทอื่นด้วย เช่น ภาษีที่เกี่ยวข้องในภาคอสังหาริมทรัพย์


 



นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า อยากเตือนกระทรวงการคลังว่า อย่าคิดเพียงแต่จะเพิ่มการจัดเก็บ VAT เพียงอย่างเดียว แต่ควรเพิ่มประสิทธิภาพในการคืนภาษีให้แก่ภาคธุรกิจด้วย เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้และมีเงินหมุนในการทำธุรกิจ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ด้วย


 


นายตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เข้าใจว่าแผนการปรับขึ้นภาษีดังกล่าวเป็นแผนเดิม ที่ถูกทิ้งช่วงมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนมาจนถึงรัฐบาลนี้ที่ไม่มีใครกล้าปรับขึ้น เพราะมีผลต่อภาพลักษณ์ทางการเมือง โดยหากจะปรับขึ้นจริงต้องคำนึงถึงความเหมาะสม ด้วยการปรับลดภาษีประเภทอื่น เช่น ภาษีเงินได้ รวมทั้งควรปรับภาษีที่เป็นฐานการจัดเก็บใหม่ๆ ด้วย


 



นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจเดือน ส.ค.ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการอุปโภคบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเมืองเริ่มมีความชัดเจน หลังจากมีการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบกับนโยบายการเงินที่เริ่มผ่อนคลายและแรงขับเคลื่อนทางการคลังจากการเร่งใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ


 



"การลงทุนและบริโภคเอกชนดีขึ้น แต่ไม่ได้เร่งเกินตัว โดย 2 เดือนแรกไตรมาส 3 ทรงจากไตรมาส 2 ซึ่งเราได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในไตรมาสแรก ระยะต่อไปแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะปลายไตรมาส 3-4 แต่ทั้งปีคาดว่าทั้งการลงทุนและบริโภคไม่เร่งตัวมากแต่การลงทุนจะดีมากในปีหน้า" นางอมราระบุ


 



คุณภาพชีวิต


ทิ้งบอมบ์รัฐบาลใหม่เก็บVAT 8% 'สมหมาย'ท้าใส่/ธปท.แจงการบริโภค-ลงทุนฟื้นตัว


เว็บไซต์ไทยโพสต์ - นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง ยอมรับว่า กระทรวงการคลังมีแผนปรับเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 8% แต่คงไม่ปรับในรัฐบาลชุดนี้ เพราะเหลือเวลาอีกแค่ 4 เดือน หากทำอาจถูกด่าได้ โดยเรื่องดังกล่าวคงต้องให้รัฐบาลชุดต่อไปเข้ามาเป็นผู้พิจารณา ซึ่งการตัดสินใจเรื่องดังกล่าวรัฐบาลก็ต้องมีความกล้าด้วย


 



ทั้งนี้ เห็นว่าการขึ้น VAT มีความจำเป็น เนื่องจากโครงสร้างภาษีของไทยในปัจจุบันมีความไม่สมดุลระหว่างรายได้กับรายจ่าย และการเก็บ VAT อยู่ที่ 7% ถือว่าไม่เพียงพอ เพราะไทยมีแนวโน้มเป็นรัฐสวัสดิการมากขึ้น เช่น เงินอุดหนุนเรียนฟรี รักษาฟรี และการนำไปใช้หนี้ให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน เป็นต้น


 



นอกจากการปรับขึ้น VAT แล้ว ในแผนการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบของกระทรวงการคลัง ยังมีการปรับขึ้นภาษีประเภทอื่นด้วย เช่น ภาษีที่เกี่ยวข้องในภาคอสังหาริมทรัพย์


 



นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า อยากเตือนกระทรวงการคลังว่า อย่าคิดเพียงแต่จะเพิ่มการจัดเก็บ VAT เพียงอย่างเดียว แต่ควรเพิ่มประสิทธิภาพในการคืนภาษีให้แก่ภาคธุรกิจด้วย เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้และมีเงินหมุนในการทำธุรกิจ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ด้วย


 


นายตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เข้าใจว่าแผนการปรับขึ้นภาษีดังกล่าวเป็นแผนเดิม ที่ถูกทิ้งช่วงมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนมาจนถึงรัฐบาลนี้ที่ไม่มีใครกล้าปรับขึ้น เพราะมีผลต่อภาพลักษณ์ทางการเมือง โดยหากจะปรับขึ้นจริงต้องคำนึงถึงความเหมาะสม ด้วยการปรับลดภาษีประเภทอื่น เช่น ภาษีเงินได้ รวมทั้งควรปรับภาษีที่เป็นฐานการจัดเก็บใหม่ๆ ด้วย


 



นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจเดือน ส.ค.ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยเฉพาะการอุปโภคบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเมืองเริ่มมีความชัดเจน หลังจากมีการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบกับนโยบายการเงินที่เริ่มผ่อนคลายและแรงขับเคลื่อนทางการคลังจากการเร่งใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ


 



"การลงทุนและบริโภคเอกชนดีขึ้น แต่ไม่ได้เร่งเกินตัว โดย 2 เดือนแรกไตรมาส 3 ทรงจากไตรมาส 2 ซึ่งเราได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในไตรมาสแรก ระยะต่อไปแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะปลายไตรมาส 3-4 แต่ทั้งปีคาดว่าทั้งการลงทุนและบริโภคไม่เร่งตัวมากแต่การลงทุนจะดีมากในปีหน้า" นางอมราระบุ



 


รง.ผลิตหลอดภาพทีวีปิดกิจการ-เลิกจ้าง 700 คน


เว็บไซต์เดลินิวส์ - เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่สวนอุตสาหกรรมบางกะดี บริษัท เอ็ม ที พิกเจอร์ ดีสเพลย์ (ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 142 ม.5 ต.บางกะดี อ.เมือง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นโรงงานบริษัทลูกในประเทศไทยของบริษัท มัตสึซิตะ อิเลคทริค อินดัสเตรียล จำกัด ได้ทำหนังสือถึงหน่วยราชการที่รับผิดชอบ เกี่ยวกับแรงงานว่า วันนี้ขอประกาศให้ทราบว่าบริษัทฯ จะยุติการผลิตอย่างถาวร ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2550 จะเริ่มกระบวนการเลิกกิจการบริษัท เอ็ม ที พิกเจอร์ ดิสเพลย์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ผลิตหลอดภาพทีวีสี ตั้งแต่ขนาด 15-29 นิ้ว สำหรับตลาดประเทศในกลุ่มทวีปอเมริกาเหนือ และประเทศในกลุ่มอาเซียน บริษัทฯ ประสบปัญหาความต้องการทีวีสีของตลาดที่ลดลง ขณะเดียวกันปรากฏว่ามีการแข่งขันด้านราคาขายที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ประกอบด้วยยอดขายทีวีสีแบบจอบาง มีจำนวนที่สูงขึ้น และมีแนวโน้มที่เติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต ดังนั้นจึงเป็นการยากลำบากเป็นอย่างยิ่งสำหรับบริษัท ที่จะดำเนินธุรกิจต่อไป ผลจากการต้องเลิกกิจการดังกล่าว พนักงานทั้งหมดจำนวน 2.400 คน โดยเป็นพนักงานสัญญาจ้างชั่วคราว ประมาณ 700 คน ที่ต้องถูกเลิกจ้าง


 



อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้เตรียมจ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานดังกล่าวไว้แล้วในอัตราที่กฎหมายแรงงานกำหนดการเลิกกิจการของบริษัท เป็นส่วนหนึ่งของการสิ้นสุดการผลิตหลอดภาพแบบ CRT ในภาคพื้นเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ นอกจากนี้บริษัทลูกได้ประกาศแผนการยุติการผลิตอย่างถาวร และเข้าสู่กระบวนการเลิกกิจการแล้วเช่นกัน


 


 


"ชูชาติ"พ้นเก้าอี้ประธานกทช.เผยดวงไม่ดี-โดนหยิบสลากออกตามกม."พล.อ.ชูชาติ-เหรียญชัย-เศรษฐพร"


เว็บไซต์แนวหน้า - เมื่อวันที่ 28 กันยายน ที่ผ่านมา ได้มีการจับสลากกทช.ออกไป 3 ท่าน ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2543 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทในการกำกับดูแลกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ได้กำหนดในมาตรา 13 และมาตรา 50 ให้ กทช. ต้องออกจากตำแหน่ง 3 คนโดยวิธีจับสลากเมื่อทำงานครบ 3 ปี และถือเป็นการออกจากตำแหน่งตามวาระ


 



อย่างไรก็ตามมีบทคุ้มครองให้กรรมการที่พ้นตำแหน่งรักษาการจนกว่าจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรรมการคนใหม่เข้ามาทำงานแทน


 



สำหรับผลการจับสลากออก ปรากฎว่า พล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธานกทช. นายเหรียญชัย เรียววิไลสุข,นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ เป็นผู้ถูกจับสลากออกไป ส่วนกรรมการที่เหลือได้แก่ นายสุธรรม อยู่ในธรรม นายประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ นายสุชาติ เวชภูมิ ซึ่งจะต้องทำงานไปจนครบ 6 ปีนับจากวันแต่งตั้ง 1 ต.ค.2547


 



นายเศรษฐพร กล่าวหลังจับสลาออก ว่า ไม่ได้รู้สึกกับการยึดติดกับตำแหน่ง เพราะในช่วงการทำงานเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ได้มีการออกประกาศกทช.ไปแล้วหลายฉบับ ส่วนกระบวนการสรรหากทช.คนใหม่รวม 4 คน แทนคนที่ถูกจับสลากออก และแทนนายอาทร จันทวิมล กรรมการ กทช. ที่ได้ลาออกจากตำแหน่งไปตั้งแต่ต้นปี 2549 คาดว่าประมาณเดือนต.ค.นี้จะสามารถประกาศรายชื่อคณะกรรมการสรรหาได้



ที่ บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ในวันเดียวกัน นางสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ศาลปกครองกลาง ได้รับคำฟ้องทีโอที ขอให้เพิกถอนประกาศ กทช. ว่าด้วยการใช้ และเชื่อมต่อโครงข่าย (ไอซี) เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของทีโอทีเรื่องค่าแอ็คเซสชาร์จ แล้ว


 



โดยที่ผ่านมาบริษัทเอกชน(ดีแทค-ทรูมูฟ)อ้างประกาศ ไอซีของกทช. เป็นข้ออ้างในการหยุดจ่ายแอ็คเซสชาร์จ (เอซี)แล้วไปจ่ายค่าไอซี ให้กับทีโอที แทน ซึ่งทำให้หากทีโอที เสียประโยชน์ นอกจากนี้ทีโอทียังได้ยื่นฟ้องกทช.จากการออกประกาศดังกล่าวด้วย


 


 


สนช.ชี้ช่องรัฐรีดภาษีสุรา จัดเก็บเพิ่มแบบขั้นบันได


เว็บไซต์แนวหน้า- ในการสัมมนา "ภาษีสุราเหมาะสมแล้วหรือยัง" ซึ่งจัดขึ้นโดย คณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่28กันยายนที่ผ่านมา


 



 รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ กล่าวว่า จากข้อมูลของ คณะทำงานที่เข้าไปศึกษาในเรื่องอัตราภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้พบว่าปัญหาของระบบภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปัจจุบัน จากการกำหนดอัตราภาษีตามมาตรฐานภาษี 2 ระบบ คือ


 



 1.อัตราภาษีตามสภาพ เป็นการเก็บตามมูลค่าต่อปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์หนึ่งลิตร หรือต่อดีกรี เป็นวิธีที่เหมาะสม ส่วน2.การเก็บตามอัตราภาษีตามมูลค่า มักจะมีปัญหาในการคำนวณอยู่เสมอ เช่นการผลิตภายในประเทศ จะคำนวณภาษีจากราคาขายหน้าโรงงาน บวกกับภาษีสรรพสามิตและภาษีท้องถิ่นเป็นฐาน ส่วนที่นำเข้าจากต่างประเทศ จะคำนวณจากราคา ณ ที่นำเข้า (CIF) บวกด้วยภาษีศุลกากร ค่าธรรมเนียมอื่นๆ (ถ้ามี) ของสุราเป็นฐานในการกำหนดภาษี มักทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขัน เช่น กรณีการแจ้งราคา CIF ที่ต่ำกว่าความเป็นจริง และในกรณีเบียร์ที่มีการกำหนดราคาขายหน้าโรงงานที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขัน "การใช้อัตราภาษี 2 ระบบยังทำให้สุราบางชนิดที่มีแอลกอฮอล์สูงเสียภาษีต่ำกว่าสุราที่มีแอลกอฮอล์ต่ำหรือใกล้เคียงกัน"


 



 นายสังสิต กล่าวว่า จากข้อมูลการวิเคราะห์ และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสภาพปัญหาและผลกระทบดังกล่าว คณะทำงานจึงขอเสนอมาตรการดังนี้คือ


 



 1. เครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์มากกว่าในปริมาตรที่เท่ากันควรเสียภาษีมากกว่า 2. การจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ควรทำการจัดเก็บโดยใช้ปริมาณ (บาท/ลิตร) แห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์


 



 3. การขึ้นภาษีอาจเป็นลักษณะของการเพิ่มแบบขั้นบันได โดยทำการขึ้นภาษีทุกปีคล้ายกับประเทศในยุโรป ไม่ใช่ขึ้นภาษีครั้งเดียวทั้งหมด เพื่อลดกระแสการต่อต้านของผู้ค้า 4. เมื่อมีการขึ้นภาษีจะส่งผลให้เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์มีราคาสูงขึ้น และอาจทำใหมีการลักลอบผลิต ดังนั้นจำเป็นต้องมีมาตรการอื่นเพื่อควบคุมการบริโภคควบคู่กับมาตรการทางด้านภาษี


 



 5. การเก็บภาษีเบียร์ตามอัตราภาษีในต่างประเทศ(ค่าเฉลี่ย)เท่ากับ 41.5 บาท/ลิตร จะทำให้รัฐมีรายได้จากเบียร์เพิ่มขึ้นประมาณ 1.5 เท่า คิดเป็นมูลค่าประมาณ 22,00 ล้านบาท และภาษีจากสุราจากอัตราภาษีในต่างประเทศ(ค่าเฉลี่ย) เท่ากับ 160.6 บาท/ลิตร จะทำให้ภาษีสุราเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าคิดเป็นมูลค่าประมาณ 4-6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้รัฐมีรายได้รวมจากเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น 1.5-2 เท่าคิดเป็นมูลค่าประมาณ 0.7-1 แสนล้านบาท


 


 


กฤษฎีกาตัดเนื้อหาสถาบันศาสนา ออกจากร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ


เว็บไซต์ข่าวสด -  นางจุฬารัตน์ บุณยากร ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยถึงการร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่คณะสงฆ์เสนอให้ทบทวน เนื่องจากมีผลกระทบโดยตรงกับผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา และ 4 ศาสนาที่กฎหมายรองรับ ได้แก่ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู และซิกข์ ว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ นร 0901/1889 ลงวันที่ 11 กันยายน 2550 ส่งถึงคณะกรรมการมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แจ้งว่า ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแจ้งผลการประชุมมหาเถรสมาคมครั้งที่ 17/2550 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2550 ซึ่งที่ประชุมได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ในส่วนของสาระสำคัญของธรรมนูญว่าด้วยคุณธรรมแห่งชาติที่สามารถกำหนดบทบาทของสถาบันทางศาสนาได้ โดยเห็นว่าสถาบันทางศาสนาถือเป็นสถาบันหลักของชาติ จึงสมควรกำหนดให้สถาบันศาสนามีบทบาทตามวิธีการของแต่ละศาสนา จะเป็นการเหมาะสมกว่า


 


บัดนี้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาขอชี้แจงว่า บทบัญญัติว่าด้วยสาระสำคัญของธรรมนูญว่าด้วยคุณธรรมแห่งชาติที่กำหนดให้มีเรื่องบทบาทของสถาบันทางศาสนาเป็นบทบัญญัติที่ปรากฏว่าในร่างเดิมที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้เสนอก่อนที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) และมีมติให้ตัดเรื่องบทบาทของสถาบันศาสนาที่ปรากฏในสาระสำคัญของธรรมนูญว่าด้วยคุณธรรมแห่งชาติออก


 


ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) เห็นว่าเรื่องสถาบันทางศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนของแต่ละศาสนา ดังนั้น เนื้อหาสาระของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวจึงมิได้กำหนดเกี่ยวข้องกับบทบาทของสถาบันศาสนาแต่อย่างใด และในชั้นนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้รายงานเรื่องที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) ได้มีมติให้ตัดเรื่องบทบาทของสถาบันศาสนาที่ปรากฏในสาระสำคัญของธรรมนูญว่าด้วยคุณธรรมแห่งชาติ ต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคมเพื่อทราบแล้ว รวมทั้งจะได้ดำเนินการติดตามขั้นตอนการดำเนินการร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติต่อไป



 


แม่ฮ่องสอนตั้งท่า รื้อระบบต่างด้าว บ่อนทำลายมั่นคง


ไทยโพสต์ -ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการเกิดเหตุประท้วงรัฐบาลทหารพม่าในช่วงนี้ว่า ทาง จ.แม่ฮ่องสอนหวั่นจะมีผลกระทบมาถึงทางหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 7 จึงได้เชิญตัวแทนฝ่ายปกครอง ตำรวจ หน่วยงานการข่าว รวมถึงเจ้าหน้าที่ขององค์กรให้ความช่วยเหลือผู้หลบหนีจากภัยสู้รบ เข้าร่วมสัมมนาเรื่อง "ผลกระทบต่อความมั่นคง จ.แม่ฮ่องสอน อันเนื่องมาจากบุคคลต่างด้าว"


 


โดยนายวันชัย สุทธิวรชัย รองผู้ว่าราชการ จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวถึงปัญหาที่มากับบุคคลต่างด้าวทั้งผู้หลบหนีภัยสู้รบหรือหลบหนีเข้าเมืองมีมานาน ทั้งเรื่องของการดูแลและการจัดระเบียบจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง โดยเฉพาะปัญหาอัตราการเกิดของประชากรในกลุ่มผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบที่พบว่าเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจราวเดือนละ 30 ราย ผลที่ตามมาสร้างความวิตกให้กับจังหวัดมากๆ คือ องค์กรที่ดูแลเรื่องการศึกษากลับไม่ยอมสอนภาษาไทยให้กับผู้หนีภัยเหล่านี้ ทั้งๆ ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย


 


นายวันชัยกล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลเสียกับการสื่อสารระหว่างทางการไทยมาก เพราะแม้แต่การเจรจากันระหว่างองค์กรเหล่านี้กับหน่วยงานทางจังหวัดเมื่อไม่นานมานี้ ก็ยังพบว่าล่ามที่แปลก็แปลไม่ตรง และปัญหาที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ สภาพความเป็นอยู่ที่แออัดและมักจะพบโรคระบาดอยู่เสมอ และยังมีปัญหาเรื่องยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นนับจากนี้ไปทางจังหวัดจะต้องดูแลในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น หากพบว่าในกลุ่มหรือชุมชนย่านใดของผู้หนีภัยมีปัญหาก็จะทำการผลักดันออกไปทันที


 


พ.อ.นพพร เรือนจันทร์ ผบ.ฉก.ร 7 กล่าวว่า ปัญหาที่มากับบุคคลต่างด้าวที่มักพบเสมอก็คือเรื่องยาเสพติด ขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นต้นตอของการบ่อนทำลายความมั่นคง ต่อจากนี้ทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายปกครองจะต้องเข้มงวดกับชายแดนมากขึ้น


 


 


ต่างประเทศ


ศาลสูงสุดของปากีสถานไม่อนุญาตให้ประธานาธิบดีมูร์ชาราฟ ลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัย


 


กรมประชาสัมพันธ์ -คณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดของปากีสถานตัดสินเมื่อเย็นที่ผ่านมาไม่อนุญาตให้ประธานาธิบดีเพอร์เวซ มูร์ชาราฟ ลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี อีกสมัยหนึ่ง ซึ่งการเลือกตั้งนี้จะมีขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคมนี้


 



ทั้งนี้ ฝ่ายค้านได้ยื่นคำร้องต่อศาลว่า ประธานาธิบดีมูร์ชาราฟ ไม่สมควรที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัยในขณะที่ยังคงดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีมูร์ชาราฟ ประกาศจะลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้หากเขาได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัย ภายหลังคำตัดสินของศาล บรรดาผู้สนับสนุนฝ่ายค้าน รวมทั้งทนายความที่ต่อต้านรัฐบาลได้ร้องตระโกนคัดค้านประธานาธิบดีมูร์ชาราฟในเรื่องนี้เช่นกัน



ขณะที่นักวิเคราะห์การเงินเชื่อว่า ตลาดหุ้นจะตอบรับในทางบวก และสถานการณ์การเมืองจะมั่นคงขึ้น อนึ่งมีรายงานว่า ศาลสูงได้สั่งให้นายกรัฐมนตรีชอคัต อาซิซ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ เข้าชี้แจงเหตุผลกรณีที่อดีตนายกรัฐมนตรีนาวาซ ชารีฟ ถูกขับออกนอกประเทศเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมาหลังจากเดินทางกลับถึงปากีสถานในวันเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่ศาลสูงได้ตัดสินเมื่อเดือนก่อนว่า เขามีสิทธิที่จะเข้าประเทศได้ในฐานะพลเมืองของปากีสถาน


 


 


ปินส์จับอดีตรมต.มะกัน ร่วมบัญชีดำ'กออิดะห์'


ไทยโพสต์- กลุ่มสิทธิแฉ รัฐบาลมะนิลาขึ้นแบล็กลิสต์นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนหลายร้อยราย กระทั่งอดีต รมว.ยุติธรรมสหรัฐและสมาชิกคริสตจักรยังติดโผห้ามเข้าเมืองตามบัญชีดำ "พัวพันอัลกออิดะห์/ตอลิบัน"


 


กลุ่มฮิวแมนไรต์วอตช์กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า รัฐบาลฟิลิปปินส์กำลังพยายามสกัดกั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในช่วงเวลาที่ประธานาธิบดีกลอเรีย มากาปากัล อาร์โรโย กำลังตกเป็นเป้าสายตาสืบเนื่องจากเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองที่เกิดกับฝ่ายต่อต้านนาง


 


องค์กรสิทธิจากสหรัฐแห่งนี้เปิดเผยผ่านเว็บไซต์ของกลุ่มว่า บัญชีดำบุคคลที่ถูกระบุว่า "พัวพันกับอัลกออิดะห์/ตอลิบัน" นี้ประกอบด้วยบุคคล 504 ราย จาก 50 ประเทศ ถูกจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม ถึงวันที่ 10 สิงหาคม เมื่อครั้งที่ฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน


 


บุคคลในรายชื่อมีทั้งพวกที่เป็นสมาชิกของกลุ่มคริสตจักรในยุโรป, ออสเตรเลีย และสหรัฐ, นักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย, ทนายความ และกลุ่มสหภาพหลายแห่ง กระทั่งนายแรมซีย์ คลาร์ก อดีตรัฐมนตรียุติธรรมของสหรัฐก็อยู่ในบัญชีดำห้ามเข้าประเทศนี้ด้วย


 


เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของฟิลิปปินส์รายหนึ่งยืนยันว่า บัญชีดำที่ว่านี้มีอยู่จริง โดยเสริมเพียงว่าชื่อส่วนใหญ่ในบัญชีนี้เป็น "พวกฝ่ายซ้าย"


 


องค์กรต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนกลุ่มนี้กล่าวด้วยว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่าบัญชีดำนี้ยังมีผลบังคับใช้อยู่หรือไม่ แต่โซฟี ริชาร์ดสัน ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของภูมิภาคเอเชีย ได้เร่งเร้ารัฐบาลมะนิลายุติการขัดขวางกลุ่มคนที่คัดค้านวิจารณ์อย่างสันติเข้าประเทศนี้


 


"รัฐบาลฟิลิปปินส์มีสิทธิและหน้าที่ปกป้องพลเมืองจากภัยคุกคามความมั่นคงของจริง" เธอกล่าว "แต่การขึ้นป้ายผู้ที่วิจารณ์อย่างสันติว่าเป็นพวกเดียวกับอัลกออิดะห์หรือตอลิบันนั้น รังแต่จะลดทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อมาตรการต่อต้านการก่อการร้าย และใช้พวกเขาเป็นที่กำบังสำหรับการกดขี่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย"


 


 


เจรจาชวนเหมาอิสต์กลับเข้าร่วมรัฐบาลเหลว


เว็บไซต์คมชัดลึก -นายมัดดาฟ กุมาร เนปาล ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เนปาลซึ่งเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล แถลงเมื่อวันศุกร์ (28 ก.ย.) ว่าการเจรจาระหว่างแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรีกิริยา ปราสาด คอยราลา กับนายประจันดา ผู้นำกลุ่มเหมา อิสต์เพื่อหาทางยุติความวุ่นวายทางการเมืองประสบความล้มเหลว หลังรัฐบาลไม่สามารถโน้มน้าวให้กลุ่มเหมา อิสต์กลับเข้าร่วมรัฐบาลเหมือนเดิม แม้บรรดาพรรครัฐบาลจะยอมถอยหลังเรื่องจุดยืนที่จะไม่ล้มล้างระบอบกษัตริย์แล้วก็ตาม


 



 นายมัดดาฟ กล่าวว่า การประชุมที่จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานั้นมีการพูดคุยกันทั้งเรื่องความต้องการของกลุ่มเหมา อิสต์ และทางเลือกหลายประการที่รัฐบาลเสนอให้ แต่ยังไม่สามารถตกลงกันอย่างเป็นทางการได้ และตัดสินใจจะเปิดการหารือต่อไปในวันรุ่งขึ้น


 



 ทั้งนี้ การเมืองเนปาลตกอยู่ในภาวะชะงักงันภายหลังจากที่กลุ่มเหมา อิสต์ประกาศถอนตัวจากพรรครัฐบาลเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเนื่องจากรัฐบาลไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของทางกลุ่มที่ต้องการให้ล้มล้างระบอบกษัตริย์ทันที โดยการถอนตัวนี้ได้ก่อให้เกิดวิกฤติการเมืองในช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือนก่อนหน้าที่เนปาลจะจัดการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 22 พฤศจิกายน เพื่อเฟ้นหาตัวแทนเข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญ และตัดสินใจเรื่องระบบการเมืองใหม่


 



 ทางด้านศาลฎีกาเนปาลได้มีคำพิพากษาล้มล้างกฎหมายของรัฐบาลเฉพาะกาลที่ห้ามบรรดารัฐมนตรีที่กษัตริย์คยาเนนทราทรงแต่งตั้งในรัฐบาลชุดที่แล้วลงแข่งขันในศึกเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะมาถึง โดยคณะผู้พิพากษาลงมติด้วยเสียงข้างมากว่ากฎหมายที่รัฐสภาอนุมัตินั้นผิดข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับเฉพาะกาลที่ใช้อยู่ในขณะนี้


 



 ก่อนหน้านี้เมื่อต้นปีรัฐบาลเนปาลได้ออกกฎหมายห้ามสมาชิกรัฐบาลในสมัยกษัตริย์คยาเนนทราลงสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากพบว่ามีความผิดฐานละเมิดสิทธิมนุษยชน


 



 วันเดียวกันมีรายงานว่ากลุ่มเหมา อิสต์สามารถขัดขวางไม่ให้หนังสือพิมพ์กันติปูร์ เดลี่ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในประเทศ และหนังสือพิมพ์กาฐมาณฑุ โพสต์ในเครือเดียวกันวางแผงเป็นผลสำเร็จ ด้วยการกดดันผ่านสหภาพแรงงานที่คอยขัดขวางไม่ให้หนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับออกหาโฆษณา และพิมพ์โฆษณา


 



 ด้านสำนักพิมพ์ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจโดยกล่าวว่ายอมเจรจา และยอมเพิ่มผลประโยชน์ให้กับคนงานแล้ว แต่สหภาพก็ยังขัดขวางจนไม่สามารถออกหนังสือได้


 


 


ฟ้องไม่เชื่อโลกร้อน


เว็บไซต์ไทยโพสต์ - สจ๊วต ดิมม็อก คนขับรถบรรทุกได้ใช้ฐานะผู้ปกครอง ฟ้องรัฐบาลอังกฤษ คัดค้านคำสั่งของอดีตรัฐมนตรีศึกษาธิการและรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม อลัน จอห์นสัน และเดวิด มิลิแบนด์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ให้ส่งหนังสารคดีออสการ์ของอดีตรองประธานาธิบดี อัล กอร์ An Inconvenient Truth ไปฉายตามโรงเรียนมัธยมทุกแห่ง เพื่อรณรงค์ปัญหาโลกร้อน


 



พอล ดาวเนส ทนายความของดิมม็อกอ้างว่า หนังเรื่องนี้มีหลายประเด็นที่ไม่ตรงตามความจริงทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะกลายเป็นตัวอย่างที่ผิด เขาอ้างว่ามีเพียงครึ่งเรื่องเท่านั้นที่ตรงกับความจริง อีก 30% เป็นเรื่องการเมือง ขณะที่อีก 20% เป็นข้อมูลที่เกินจริง ที่พยายามโน้มน้าวคนดู ดิมม็อกจึงเห็นว่าการเอาหนังไปฉายให้เด็กดูจะเป็นการปลูกฝังทัศนะทางการเมืองที่ผิดให้กับเด็ก รวมทั้งลูกของเขา 2 คน


 



 ดิมม็อกอ้างด้วยว่าข้อมูลในหนังยังไม่เคยผ่านการพิสูจน์ในศาลมาก่อน


 



ทั้งนี้รัฐบาลอังกฤษและนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่าปัญหาโลกร้อนเกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์ที่ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งคัดค้านว่าไม่จริง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net