Skip to main content
sharethis

แนะ สปส. หากโปร่งใส ควรชะลอจ่าย แล้วให้หน่วยงานวิชาการศึกษาราคากลางจ่ายตามกลุ่มโรค ใช้ทั้งข้าราชการ-บัตรทอง-สปสช.เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้ง 65 ล้านคน 20 ธ.ค. 54 นักวิชาการเรียกร้องแรงงาน-สปส.ถ้าโปร่งใส จริงใจ ไม่มีวาระซ่อนเร้น ต้องชะลอจ่ายกลุ่มโรคร้ายแรงก่อน แล้วให้หน่วยงานกลางศึกษาข้อมูลวิชาการเพื่อหาราคากลางสำหรับใช้ทั้ง 3 ระบบ ทั้งข้าราชการ บัตรทอง ประกันสังคม เพื่อให้คนไทย 65 คนได้ใช้ระบบมาตรฐานเดียวกัน ชี้สำคัญเกี่ยวข้องกับงบกว่า 40,000 ล้านบาท ที่ประชาชนต้องจ่ายเพิ่มขึ้นต่อปี ยืนยันพร้อมศึกษาข้อมูลทุกเมื่อ ย้ำทางวิชาการเป็นไปไม่ได้จ่ายสูงกว่าข้าราชการแต่ไม่ได้ใช้ยานอกบัญชียาหลัก ส่งผลรัฐบาลต้องเพิ่มงบบัตรทองและข้าราชการไม่ต่ำกว่าปีละ 3.5 หมื่นล้านบาท เหตุรพ.อาจเลือกปฏิบัติ รักษาที่ได้เงินมากกว่า ชี้สะท้อนภาพรัฐบาลขาดยุทธศาสตร์ ไม่จริงใจพัฒนาหลักประกันสุขภาพ ดร.นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี นักวิชาการเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข กล่าวว่า ประเด็นสำคัญของอัตราจ่ายโรคร้ายแรงของสำนักงานประกันสังคม คือ ไม่ควรสูงกว่าสวัสดิการข้าราชการ อัตรานี้ไม่มีความเป็นไปได้ทางวิชาการ เป็นไปได้อย่างไรที่คนที่ป่วยน้อยกว่า ใช้แค่ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ กลับจ่ายสูงกว่าข้าราชการซึ่งเจ็บป่วยมากกว่าและสามารถใช้ยานอกบัญชียาหลักได้อีกด้วย เป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่สำคัญคือเป็นเงินจากผู้ประกันตน และการที่ปลัดแรงงานบอกว่าพร้อมให้ศึกษาข้อมูลนั้น ยินดีและพร้อมเสมอ หลังจากนี้จะประสานไปยังสปส.เพื่อขอข้อมูลที่สปส.ใช้เป็นฐานคิดและวิธีการศึกษาครั้งนี้ เรื่องนี้คล้ายกับเมื่อครั้งที่เปิดเผยผลการศึกษาที่ระบุว่าสิทธิประโยชน์รักษาพยาบาลประกันสังคมด้อยกว่าบัตรทอง ซึ่งปลัดแรงงานก็ออกมายืนยันว่าสิทธิประโยชน์เท่ากัน ไม่ด้อยไปกว่าบัตรทอง แต่หนึ่งปีที่ผ่านมาสปส.ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ในจุดที่ด้อยกว่าบัตรทองมาตลอด ซึ่งก็ยังมีหลายประเด็นที่ยังทำไม่สำเร็จ “ถ้าปลัดแรงงานทำเรื่องอย่างนี้โปร่งใส บริสุทธิ์ใจ และไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆ ผมขอเรียกร้องว่าให้ชะลอเรื่องนี้ไว้ก่อน และให้หน่วยงานทางวิชาการที่เป็นกลางมา เช่น ทีดีอาร์ไอ หรือ สำนักงานสาธารณสุขระหว่างประเทศ (IHPP) ทำข้อมูลวิชาการอย่างโปร่งใส เพื่อใช้โอกาสนี้ในการทำราคากลางสำหรับทั้ง 3 ระบบ ระบบไหนที่เคยจ่ายราคาต่ำกว่าราคากลางก็ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้คนไทยทั้ง 65 ล้านคนได้ใช้ระบบที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ลดความเหลื่อมล้ำเสียที เรื่องนี้สำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับงบประมาณกว่า 40,000 ล้านบาท ที่ประชาชนผู้เสียภาษีต้องจ่ายเพิ่มขึ้นต่อปี หากทำได้อย่างนี้จะเป็นคุณูปการที่สำคัญของการพัฒนาหลักประกันสุขภาพทั้ง 3 ระบบไปด้วยกัน ดีกว่าต่างคนต่างทำแข่งขันกันเอง ซึ่งท้ายที่สุดเป็นการทำลายระบบใหญ่ของประเทศ ในที่สุด”ดร.นพ.พงศธร กล่าว ดร.นพ.พงศธร กล่าวต่อว่าสิ่งที่สปส.กำลังทำอยู่นี้จะส่งผลกระทบต่อประชาชนภายใต้บัตรทองและสวัสดิการข้าราชการ อีก 55 ล้านคนทันที คือ บัตรทองจะกลายเป็นผู้ป่วยอนาถาทันที ไม่มีรพ.ไหนทั้งรัฐบาลและเอกชนอยากดูแล เพราะนอกจากจะเป็นกลุ่มที่เจ็บป่วยมาก มีค่าใช้จ่ายสูง รัฐบาลกลับจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้น้อยกว่าสิทธิอื่นๆ รพ.มหาวิทยาลัยและรพ.เอกชนทั้งหลายที่สามารถเลือกได้ก็จะไม่ยอมเข้าร่วมบัตรทอง รอรับดูแลเฉพาะประกันสังคมและข้าราชการดีกว่า จะเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลต้องเพิ่มงบประมาณเหมาจ่ายรายหัว ที่ อีกอย่างน้อย 30,000 ล้านบาท ต่อปี และยังต้องรวมของข้าราชการที่เพิ่มขึ้นอีก ประมาณ 5,000 ล้านบาท ภาพรวมของระบบสุขภาพจะต้องมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นทันที “การที่รัฐบาลชุดนี้ประกาศนโยบายว่าจะพัฒนาระบบประกันสุขภาพ โดยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรคนั้น จึงเป็นนโยบายที่ล่องลอย น่าเสียดายที่รมว.แรงงานและสาธารณสุขเป็นคนของพรรคเพื่อไทย แต่ไม่มียุทธศาสตร์การทำงานที่จะพัฒนาและบูรณาการประกันสังคมและบัตรทองให้มีประสิทธิภาพเป็นมาตรฐานเดียวกัน กลับพยายามพัฒนาระบบให้ทำลายกันเอง” ดร.นพ.พงศธร กล่าวว่า เรื่องที่รัฐบาลควรทำ คืออุดหนุนสวัสดิการรักษาพยาบาลให้กับผู้ประกันตน แล้วนำเงินสมทบส่วนนี้ที่มาจากผู้ประกันตนไปเพิ่มสวัสดิการสังคมด้านอื่น รัฐบาลกลับไม่ยอมทำ ทั้งที่จะใช้งบเพิ่มเงินเพียงปีละไม่เกินสองหมื่นล้านบาทเท่านั้น แต่กลับไปทำเรื่องที่ไม่ควรทำ คือ การเพิ่มงบประมาณรักษาพยาบาลให้กับส.ว.-ส.ส ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ใดๆต่อสังคมแม้แต่น้อย ทั้งยังสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุอีกด้วย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net