Skip to main content
sharethis

 

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2555 นี้ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. ที่มี ศ.ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน ก็จะหมดวาระสิ้นสุดการทำหน้าที่อย่างเป็นทางการแล้ว

หลัง คอป.เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อ 15 ก.ค.2553 ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการ ปรองดองแห่งชาติ พ.ศ.2553 ซึ่งให้ คอป.มีเวลาการทำงาน 2 ปี จาก 15 ก.ค.53 ถึง 15 ก.ค.55 คอป.ที่ตั้งขึ้นหลังเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 และทำงานมาแล้วในช่วงรัฐบาล 2 ชุด คือ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

2 ปีที่ผ่านไปของ คอป. บนความคาดหวังว่า คอป.จะเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤติการเมืองและทำให้เกิดความ ปรองดองสมานฉันท์ขึ้น ถึงวันนี้ ซึ่ง คอป.จะพ้นหน้าที่ สิ้นสุดพันธกิจที่ได้รับมอบหมาย บางส่วนก็วิจารณ์ว่า ”ล้มเหลว-สูญเปล่า” ขณะที่บางส่วนก็เห็นว่า “ทำได้ดีระดับหนึ่ง-สอบผ่าน”

แต่สำหรับกรรมการ คอป.แล้ว 2 ปีที่ผ่านไป “สำเร็จหรือสูญเปล่า” จะ ”สอบได้หรือสอบตก”

ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ รองคณบดี คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี  หนึ่งในคณะกรรมการ คอป.และประธานคณะอนุกรรมการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความรุนแรง มาเล่าให้ฟังถึงปัญหา-อุปสรรคการทำงานของ คอป.ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา และสิ่งที่จะทิ้งไว้หลังจากการทำงานยุติลง

“โดยรวม ผมเห็นว่า คอป.ได้ทำงานประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่งตามที่ตั้งใจจะทำไว้ เพียงแต่ว่าที่ทำงานไม่สำเร็จทั้งหมดเพราะมีข้อจำกัด ทั้งทางด้านงบประมาณและความร่วมมือ

คอป.ทำงานมา 2 ปี ตอบในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการ รู้สึกเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ได้ทำงานชิ้นหนึ่งที่น่าจะมีประโยชน์ต่อสังคมไทย”

แต่พันธกิจอย่างหนึ่งของ คอป.ที่ก็ถูกระบุไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่ตั้ง คอป.ก็คือ ให้ คอป.ค้นหาความจริงเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในช่วงการชุมนุมทางการเมืองเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 53 ดูเหมือนว่าคำตอบนี้ยังไม่มีใครได้รับจาก คอป. เช่น เรื่องใครคือชายชุดดำ-กองกำลังติดอาวุธ ?

ต้องอธิบายก่อนว่า คอป.มีการจัดทำยุทธศาสตร์การทำงานอย่างชัดเจน  แบ่งอนุกรรมการทำงานเป็น 4 ชุดใหญ่

ชุดที่ 1 เป็นการทำงานที่สำคัญมาก ชุดค้นหาความจริง โดยนายสมชาย  หอมละออ เป็นประธานอนุกรรมการ เป็นชุดที่สำคัญที่สุดของ คอป. เพราะความจริงเป็นเรื่องสำคัญและความจริงมีส่วนนำไปสู่ความเข้าใจในปัญหา เรื่องต่างๆ ลดข้อขัดแย้งลงได้และนำไปสู่การเยียวยาสังคมได้ คุณสมชายมีความพยายามอย่างมากในการหาข้อมูลเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ แต่ในการทำงานของอนุกรรมการ ที่ประชุมใหญ่ คอป.ก็ได้รับทราบข้อจำกัดใหญ่ของอนุกรรมการชุดนี้หลักๆ 2 ข้อ คือ
 

   1.ไม่ได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง

    2.งบประมาณการดำเนินการของ คอป.ไม่เพียงพอ การจัดสรรงบประมาณมีข้อจำกัดมาก การจ้างบุคลากรทำได้จำกัด ทำให้การทำงานลำบากและจำกัด

ชุดที่ 3 เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ โดยมีนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานอนุกรรมการ สามารถให้ความช่วยเหลือการทำงานของ คอป.ได้เป็นอย่างดี ที่ผ่านมาการทำงานของอนุกรรมการชุดนี้มีส่วนสำคัญทำให้มีผู้นำต่างประเทศมาร่วมหารือ คอป.มีการทำงานที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติเป็นอย่างดี อย่างเช่น นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ หรืออดีตประธานาธิบดีของฟินแลนด์ และเอกอัครราชทูตหลายประเทศในประเทศไทยก็ให้การสนับสนุนงานของ คอป.

ชุดที่ 4 ชุดวิชาการ โดยมี รศ.สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เป็นประธานอนุกรรมการ สามารถขับเคลื่อนงานการวิจัยให้เห็นรากเหง้าของปัญหาว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีการแถลงออกสื่อเป็นระยะๆ โดยรวมการขับเคลื่อนของ 4 อนุกรรมการก็สามารถขับเคลื่อนงานด้วยข้อจำกัด แต่ยังสามารถทำงานมาได้จนถึงขณะนี้ 

ประเด็นการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยที่บอกว่าจะยึดแนวทาง คอป.แก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่าจะสร้างความปรองดอง แต่พบว่าหลายข้อเสนอของ คอป.ที่เสนอไป รัฐบาลก็ไม่ตอบรับนั้น ศ.นพ.รณชัยไม่ขอชี้ว่าตรงนั้นเป็นเรื่องจริงใจหรือไม่จริงใจ แต่ส่วนตัวขอตอบเป็น 2 ข้อ คือ

1.ขอขอบคุณที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้ความสำคัญของ คอป.ตอบรับที่จะรับข้อเสนอของ คอป.ไปปฏิบัติและนำไปปฏิบัติออกมาแล้ว

2.คอป.นำเสนอตามหลักของวิชาการมีเหตุผล ฉะนั้นรัฐบาลจะไปทำเกินเลยจากนั้น เป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องอธิบายให้กับสังคมได้รับทราบ ถ้าสังคมรับทราบและเห็นด้วยกับรัฐบาลก็เป็นเรื่องที่สังคมยอมรับ ถ้าสังคมยังมีข้อสงสัยรัฐบาล ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องชี้แจงต่อสังคม

ศ.นพ.รณชัยที่เคยเสนอในนาม คอป.ว่า เงินเยียวยาผู้เสียชีวิตควรอยู่ที่แค่รายละ 3,280,000 บาท แต่รัฐบาลให้รายละ 7.5 ล้านบาท ยังคงย้ำว่าหลักการเยียวยาที่ถูกต้อง ต้องทำหลายส่วนควบคู่กันไป เช่น การ ”ขอโทษประชาชน” ไม่ใช่แค่การจ่ายเงินอย่างเดียวแล้วจะแก้ปัญหาได้

“เรื่องของการเยียวยา สังคมจะสนใจเรื่องเดียวคือเรื่องเงินชดเชย คอป.เรามีข้อเสนอแนะว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากมายควรได้รับการเยียวยาอย่างทั่วถึงและมีการจัดการ เยียวยาให้เป็นระบบ เพราะหน่วยงานที่รักษาเยียวยามีอยู่มาก แต่เป็นการเยียวยาเฉพาะจุด ควรจัดกรรมการเฉพาะกิจทำเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม

 เราไม่มองในเรื่องผลประโยชน์ แต่มองในเรื่องของมนุษยธรรม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ตั้งคณะกรรมการประสานงานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหา ความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) ขึ้นมา เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ การชดเชยจิตใจไม่ได้เป็นเรื่องของเงิน แต่เป็นเรื่องของสัญลักษณ์ คือรัฐบาลขอโทษประชาชนที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

รัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบโดยขอโทษประชาชนหรืออาจจะทำเป็นอนุสาวรีย์และ อาจเป็นสิ่งระลึกอะไรก็ได้ เมื่อได้รับเงินชดเชยค่าครองชีพไปแล้วจะต้องชดเชยทางด้านจิตใจด้วย"

รากเง้าความขัดแย้ง
รากเหง้าปัญหาความขัดแย้งในสังคม เขาเผยว่าส่วนตัวเท่าที่ศึกษาติดตาม ข้อขัดแย้งสังคมไทยมีด้วยกัน 5 สาเหตุ คือ

1.ความยุติธรรมที่ไม่ได้มาตรฐานในประเทศไทย ทั้งกระบวนการยุติธรรม ความยุติธรรมของสังคม การไม่ได้รับการดูแลอย่างครบถ้วน

2.ความเหลื่อมล้ำของสังคมที่นำไปสู่ข้อขัดแย้งของสังคมในตัวมันเอง เช่น คนรวยมีทรัพย์สินมากก็กระจุกอยู่แค่คนกลุ่มเล็กๆ ในสังคมแค่ 10  เปอร์เซ็นต์ในประเทศไทย ทำให้สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำสูง ถ้าไม่ลดเรื่องความเหลื่อมล้ำ ก็ยังมีโอกาสสูงที่เรื่องนี้จะนำไปสู่ข้ออ้างที่นำไปสู่การชักจูงคนจำนวน หนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม 90 เปอร์เซ็นต์ ให้คล้อยตามจนเกิดความขัดแย้งได้ คนลำบากเมื่อถูกกระตุ้นเรื่องนี้มันก็ชักจูงได้ง่าย

3.เรื่องการเมืองก็คือสาเหตุสำคัญ การเมืองไทยยังเป็นการเมืองที่ยังไม่ได้มาตรฐานเหมือนสากล ปัญหาเรื่องคอรัปชั่นแบบนี้ ทำให้ไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งก็เป็นข้อเท็จจริง การเมืองก็ต้องแก้ไขตัวเองให้มีมาตรฐานกว่านี้ คนทำผิดก็ไม่ได้รับการลงโทษอย่างจริงจัง

4.ฝ่ายอำนาจ เช่น ทหาร มาเกี่ยวข้องกับการเมือง การแย่งชิงอำนาจ  เมื่อเป็นทหารก็ต้องเป็นทหารอาชีพ คือทำเรื่องการปกป้องประเทศ ทหารก็ต้องอยู่ในกรมกอง ทำหน้าที่ของตัวเอง ออกความเห็นได้ แต่ไม่ควรร่วมกิจกรรมการเมืองเต็มที่ ยังเชื่อว่ามีทหารอาชีพอีกมากที่ไม่ยุ่งการเมืองที่ทำให้เกิดปัญหา

5.สื่อก็มีส่วนสำคัญ ยิ่งไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้วออกข่าวบิดเบือน ไม่เป็นกลาง ไปชี้นำผิดๆ ก็ไม่เกิดข้อขัดแย้ง และสื่อก็เป็นกลไกสำคัญในการสะท้อนความเป็นจริงได้ เช่น ข้อขัดแย้ง 4 ข้อแรกที่ยกมา ถ้าสื่อสะท้อนดีๆ ก็แก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยได้

กรรมการ คอป.ยังวิพากษ์เรื่องการผลักดันของฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลในการเสนอ พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ พ.ศ....เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร โดยที่นักการเมืองซึ่งพยายามผลักดันเรื่องนี้พยายามบอกว่ากฎหมายปรองดองเป็น ส่วนหนึ่งของบันไดหรือโมเดลไปสู่การสร้างความปรองดอง แต่ดูเหมือนฝ่าย คอป.กลับไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด

“การพูดโมเดลปรองดอง ต้องเอาฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาคุยกันก่อน ไม่ใช่ทำแต่แล้วเกิดความแตกแยกแบบนี้ไม่ใช่ปรองดองแล้ว ชื่ออะไรก็ได้ไม่สำคัญ   แต่ต้องเอาผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดทุกคนทุกฝ่ายมานั่งพูดคุยกันแล้วหาจุด ปรองดองจริงๆ แล้วยอมรับในกติกา แล้วออกมาในสิ่งที่ทุกฝ่ายยอมรับ เพื่อให้เกิดการยอมรับมากสุด

ผมไม่เชื่อเรื่องโมเดลอะไรต่างๆ ถ้าทำแล้วปรากฏว่าไส้ในของสิ่งที่ทำ พอทำแล้วเกิดความขัดแย้งแบบนี้ก็ไม่เห็นด้วย”

การคลี่คลายปัญหา ศ.นพ.รณชัยไม่ได้ตอบคำถามนี้โดยตรง แต่ให้มุมมองไว้ว่า สังคมไทยเป็นพลวัต มันต้องเคลื่อนไป สุดท้ายสังคมไทยก็จะก้าวข้ามเรื่องสีไปในอนาคต แต่ถ้ารากเหง้าที่ผมบอก 5 ข้อ เช่น การเมือง ความเหลื่อมล้ำ ความไม่ยุติธรรมยังคงอยู่ความขัดแย้งมันจะเปลี่ยนไปเป็นความขัดแย้งอีกรูป แบบหนึ่งในอนาคต

“อยากให้สังคมไทยต้องเอาบทเรียนที่เกิดขึ้นให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาไปในทางที่ถูกต้อง บทเรียนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่มันเกิดมาแล้วซ้ำๆ แต่สังคมไทยไม่เคยจริงจังในการนำบทเรียนมาพัฒนา ประเทศรอบบ้านเราเขาเคยขัดแย้งกันมาก่อนเหมือนกับเรา ความขัดแย้งเขาก็มี

อย่างมาเลเซีย เขาก็เคยขัดแย้งเคยมีการฆ่ากัน แต่เขาก็เอาบทเรียนมาเรียนรู้เพื่อพัฒนาจนเขาก้าวหน้ากว่าเราแล้ว แล้วประเทศอื่นๆ อย่างเวียดนาม  พม่าเขากำลังจะพัฒนาก้าวข้ามเราแล้ว แต่เรายังพูดเรื่องเดิมอยู่เลย เมื่อไหร่จะเอาบทเรียนมาเรียนรู้และพัฒนาเพื่อก้าวข้ามข้อขัดแย้งไปให้ได้”

 

แนวทางที่เป็นรูปธรรม
แนวทางสร้างความปรองดองที่แท้จริงทำอย่างไร ศ.นพ.รณชัยบอกว่า คอป.เสนอไปแล้วตามรายงานถึงรัฐบาลทุก 6 เดือน ถ้ารัฐบาลรับไปทำตามทุกข้อก็จะเกิดผลดีระดับหนึ่งกับสังคม เช่น เรื่องเยียวยาหรือข้อเสนอให้มีการปล่อยตัวผู้ต้องหาคดีการเมืองที่ถูกคุมขัง ก็มีการใช้เงินจากกองทุนยุติธรรม แต่บางข้อก็ไม่ได้นำไปทำ ข้อสรุปฉบับสุดท้ายของ คอป.ครบรอบ 2 ปี ทางอนุกรรมการทุกคณะกำลังประชุมกันอย่างหนักตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา ประชุมกันทุกสัปดาห์เพื่อทำรายงานฉบับสุดท้าย

“อย่างของผมชุดอนุกรรมการเยียวยาแค่คณะเดียว ก็ไม่ต่ำกว่า 600 หน้า ก็จะมีรายงานสรุปทั้งหมดที่ทำมา 2 ปี ในเรื่องการเยียวยา รวมถึงข้อเสนอแนะ ปัญหา อุปสรรค

ในรายงานฉบับสุดท้ายของ คอป.ที่จะสรุปผลการทำงานของ คอป.ในรอบ 2 ปี จะเป็นรายงานฉบับสมบูรณ์ที่ คอป.จะเขียนอย่างระวังและชัดเจนและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ จะมีการบอกถึงข้อเสนอเรื่องแนวทางการทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ปกติสุขต่อ ไป”

อย่างไรก็ตาม แม้รายงานฉบับสมบูรณ์ของ คอป.ยังไม่ออกมา แต่กรรมการ คอป.ผู้นี้ก็ออกตัวไว้ก่อนว่าการทำงานที่ผ่านมา 2 ปี คอป.เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง จึงทำให้การทำงานนับแต่วันแรกมีปัญหาพอสมควรในเรื่องการยอมรับในช่วงแรก โดยเฉพาะกลุ่มการเมืองต่างๆ  เช่น คนเสื้อแดง แต่ต่อมาปัญหาก็ดีขึ้น

“การเกิดขึ้นและการทำงานของ คอป.ขอแยกให้เห็น 3 ประเด็น คือ 1.ตอนตั้ง คอป.สังคมไทยอยู่ในช่วงนั้นกำลังอยู่ในภาวะขัดแย้งและปัญหาต่างๆ ยังไม่มีข้อสรุปในการแก้ไข คู่ขัดแย้งทางการเมืองต่างๆ ยังอยู่ในสังคมไทย เพราะฉะนั้นกรรมการชุดนี้เกิดขึ้นในช่วงนั้นจะแตกต่างจากคณะกรรมการที่เป็นลักษณะการค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองของนานาชาติที่อื่นอย่างชัดเจน  ของต่างประเทศเวลามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น คณะกรรมการค้นหาความจริงจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อทุกอย่างอยู่ในภาวะปกติ หมายความว่าทุกคนยอมรับผลที่เกิดขึ้น แล้วคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติทำ งานอย่างอิสระ ไม่มีข้อระวังสีไหน

เช่น ประเทศแอฟริกาใต้ เกิดเหตุการณ์รุนแรงรัฐบาลก็สามารถจัดตั้งกรรมการลักษณะแบบ คอป.ขึ้นมาได้ ทุกคนยอมรับรัฐบาลและดำเนินกิจกรรมทางด้านของรัฐบาลได้อย่างเป็นปกติ เพราะฉะนั้นกรรมการชุดนี้ในหลายประเทศเขาจึงสามารถทำงานได้อย่างเต็ม ประสิทธิภาพที่จะค้นหาความจริงและนำไปสู่การเปิดเผยได้อย่างไม่ต้องเกรงใจ ใคร เพราะไม่มีข้อขัดแย้งแล้วซึ่งต่างกับของเรา แต่ละประเทศจะเป็นแนวนี้

แต่ของไทยครั้งนี้ เป็นการจัดตั้งในภาวะการขัดแย้ง ซึ่งในขณะนี้ก็ยังขัดแย้งกันไม่จบ ตกลงกันไม่ได้ว่าปรองดองกันแบบไหนจะเห็นถึงความลำบากตั้งแต่ต้น

2. รัฐบาลขณะนั้น (รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ต้องมีคำตอบให้กับสังคมว่าความไม่สงบขณะนั้นมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ ว่าจะมีคำตอบให้สังคมอย่างไร ด้วยรัฐบาลเดิมตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาค้นหาความจริง ก็สามารถที่จะโยนโจทย์ให้กับ คอป. ฉะนั้น คอป.ตั้งขึ้นมา รัฐบาลขณะนั้นได้ซึ่งประโยชน์หรือมีหน้าที่ตอบคำถามเหล่านี้แทนรัฐบาล

3. คอป. ทำงานบนความขัดแย้งต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้สังคมมองว่าแต่งตั้งรัฐบาลจะมาทำงานเพื่อช่วยเหลือรัฐบาล ด้วยบุคลิกและอุดมการณ์การทำงานของ อ.คณิต ณ นคร เราทำงานกันเห็นชัดเจนว่าไม่มีการเข้าข้างฝ่ายใด ช่วงแรกบางกลุ่มจะหาว่า คอป.เข้าข้างเสื้อแดง ต่อมาก็ถูกสังคมตราหน้าว่าเข้าข้างรัฐบาลว่าทำไมต้องเยียวยาผู้ที่สร้างความวุ่นวาย”

ศ.นพ.รณชัย บอกอีกว่า สองปีที่ผ่านมา เชื่อว่า คอป.ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทำงานอยู่บนแนวกลางชัดเจน เพียงแต่ว่าฝ่ายไหนชอบใจก็บอกว่าเข้าข้างตัวเอง ฝ่ายไหนไม่ชอบใจก็หาว่าอยู่ตรงข้าม

ประเมินตัวเองให้คอป.สอบผ่าน
“สิ่งที่ คอป.ดำเนินการบนความขัดแย้งของสังคมแบบนี้เราทำมาได้ 2 ปี โดยผลสรุปตอนนี้ส่วนตัวรู้สึกว่า คอป.ทำงานสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง คอป.สามารถที่จะอยู่ในฐานะให้ข้อมูลกับสังคมได้เป็นระยะๆ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คอป.ทำให้สังคมได้รับรู้ข้อเท็จจริงบางอย่าง ไม่ได้มองว่าใครผิดใครถูก ต้องมองในแง่สิทธิมนุษยชนและความเป็นธรรม การมี คอป.ขึ้นมา ทำให้สังคมฉุกคิดว่าเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน”

ศ.นพ.รณชัย พยายามอธิบายว่า การลงพื้นที่ในลักษณะรับฟังความเห็นประชาชน ที่ตอนนี้นิยมใช้คำว่า “ประชาเสวนา” ทาง คอป. อาจไม่ได้รับการยอมรับในช่วงแรก โดยยกตัวอย่างการลงพื้นที่ในเขตที่ถูกมองว่าเป็น ”เสื้อแดง” แต่ต่อมา ปัญหานี้ก็หมดไป

“ช่วงแรกเราไปตามจังหวัดต่างๆ เช่น ขอนแก่น เชียงใหม่ อุดรธานี อุบลราชธานี ลำพูน ลำปาง เพื่อไปรับฟังความขัดข้องใจของประชาชน ปัญหาที่ไม่สบายใจ ทำให้สังคมเกิดความเข้าใจในหลายด้านหลายมุมมอง

ช่วงแรกๆ ก็ดูเหมือนมีอารมณ์แต่พอพูดคุยกันต่อไปก็สามารถทำความเข้าใจกันได้ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าสามารถที่จะลดระดับความขัดแย้งต่าง สังเกตได้ว่าจังหวัดเหล่านี้ระดับความขัดแย้งก็จะน้อยลง

อาจารย์คณิต เดินทางไปพบกับผู้นำทางศาสนาเพราะไทยยังเคารพนับถือผู้ใหญ่ทางสังคม โดยเฉพาะผู้นำทางศาสนา ก็มีการให้ข้อคิดว่าสังคมต้องก้าวข้ามต่อไป ก้าวข้ามความขัดแย้งเพื่อให้สังคมไทยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ใช่ต่างคนต่างยึดทิฐิ”

กรรมการ คอป.ผู้นี้ สะท้อนภาพการแก้ปัญหาของหน่วยงานรัฐว่าไม่ได้ทำจริงจังและต่อเนื่อง สุดท้ายปัญหาหลายเรื่องโดยเฉพาะเรื่องที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองก็ไม่ได้รับการแก้ไขเสียทีจนถึงตอนนี้

“การเยียวยา คอป.ไม่ได้ทำแค่บางส่วนแต่เราทำทุกส่วน เราได้ไปพบจุดที่เกิดกระทบหรือมีการปะทะกันแล้วมีผลกระทบต่อชาวบ้าน โดยเฉพาะในจุดคลองเตย ดินแดง เราส่งทีมที่ไปพูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกันทราบเลยว่าประชาชนยังมีความทุกข์ และมีปัญหามากมาย 

หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือในระยะแรก คือหน่วยงานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร (กทม.) ในระยะประมาณ 8 เดือนก็ยุติบทบาทไป 

คอป.จึงจัดตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือเยียวยาขึ้น หลังจากตั้งศูนย์ขึ้นมาสามารถรวบรวมคนที่ได้รับผลกระทบและปัญหาประมาณ 900 คน รวมทั้งร้านค้าที่ถูกไฟไหม้ ที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ ก็มาขอความช่วยเหลือ คอป.เป็นตัวกลางรวมทั้งกระบวนการเยียวยายังส่งทีมเข้าไปพูดคุยกับทหารที่มาร่วมปฏิบัติการใน ช่วงเหตุการณ์ชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม เพื่อรับฟังเรื่องที่เกิดผลกระทบทางจิตใจ ทั้งนี้เราเจอปัญหาว่าผู้เสียหายมีทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่ผู้ชุมนุมเท่านั้น”

กรรมการ คอป.ผู้นี้ มีข้อเสนอท้ายสุดไปถึงรัฐบาลว่า หลังจากนี้ก่อนจะแยกย้ายกันไป หากฝ่ายรัฐบาลที่จะต้องรับเสนอของ คอป.ไปพิจารณาจะจัดประชุมหรือพบปะกันของรัฐบาลกับ คอป.เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องการทำงานบ้างก็จะเป็นเรื่องดีไม่ใช่น้อย

“เมื่อเราทำงานเสร็จสองปีแล้ว ก็จะเปิดเวทีให้ตัวแทนสังคมต่างๆ มาตั้งคำถามกับ คอป.ถึงการทำงานช่วงสองปีและข้อเสนอแนะต่างๆ ที่จะอยู่ในรายงาน  ในลักษณะ live talk แล้วเราก็จะตอบคำถามทั้งหมด แลกเปลี่ยนความเห็นกันเลย ใครเห็นอย่างไร

สิ่งที่ คอป.ทำก็แค่ให้สังคมรับรู้ เราไม่ใช่ผู้ปฏิบัติต้องให้รัฐบาลรับไปทำ แต่ผมก็อยากเห็นการจัดประชุมสักครั้ง เช่น ประชุม ครม.นัดพิเศษ หรือประชุมนัดพิเศษระหว่าง คอป.กับตัวแทนรัฐบาล มาพบปะพูดคุยกัน“

“เราจะบอกว่าเรื่องต่างๆ เรามีข้อเสนอแบบนี้ รัฐบาลคิดอย่างไร เช่น เรื่องกฎหมายปรองดองที่มีข้อขัดแย้งสูง ถ้าทำแล้วจะเกิดผลอย่างไร ก่อนหน้านี้เราก็เคยเสนอไปแล้วในเรื่องการเสนอกฎหมายปรองดองถ้ามีโอกาสคุยกันเราก็จะได้เสนอความเห็นต่อรัฐบาลได้

มันน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าที่จะคิดว่า คอป.ก็ทำงานไป สองปีหมดวาระก็หมดไป ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าเสียดาย”

จบการสนทนา ศ.นพ.รณชัย ทิ้งท้ายว่า ทำงานมาสองปียอมรับเหนื่อย ไปประชุม ไปเดินสายหลายจังหวัดเพื่อพบปะกลุ่มบุคคลต่างๆ แต่ก็ดีใจที่ได้ทำงานในนาม คอป.

“เรียนตรงๆ หน่วยงานที่ทำงานอยู่ก็ยังไม่เข้าใจว่าผมไปทำอะไร เพราะผมก็ไม่สามารถชี้แจงอะไรได้ เรียนตรงๆ เหนื่อยใจ และเหนื่อยกาย ทำงานตรงนี้ นับเป็นชั่วโมงไม่น้อยเลยแต่สุดท้ายก็ภูมิใจ” 

-----------------------

ล้อมกรอบ

ชายชุดดำ ???
พูดกันมากถึงประเด็น “ชายชุดดำ” ตัวละครในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือน เม.ย.- พ.ค.2553 แต่ “ชายชุดดำ” ก็ยังเป็นบุคคลลึกลับ เช่นเดียวกับ “ไอ้โม่ง” หรือ “มือที่สาม” ในเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 ที่ยังไม่รู้ว่า “เขา” หรือ “เธอ” เป็นใคร แม้แต่อนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาข้อเท็จจริง  ของ คอป. จะพยายามสอบสวนจากพยานแวดล้อม และ หลักฐานอื่นอย่างละเอียด แต่ยังไม่พบตัวตน

ครูมานิจ สุขสมจิตร ประธานมูลนิธิหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และยังเป็นอดีตผู้สื่อข่าวอาวุโสที่คนในวงการน้ำหมึกให้ความเคารพนับถือ ในฐานะทำหน้าที่รองประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาข้อเท็จจริงฯ คอป. เล่าว่า คณะอนุกรรมการฯ สอบทุกฝ่ายทุกด้าน เรื่องชายชุดดำก็สอบ แต่ก็ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการสอบไม่ใช่เป็นการค้นหาในเรื่องตัวบุคคล

“เรื่องชายชุดดำเราเห็นในคลิปหลายคลิป รูปหลายรูป ถือปืนด้วย ผมได้ยินข่าวจากข้างนอกว่ามีคนพยายามทำให้เรื่องชายชุดดำเป็นเรื่องตลก จะสร้างภาพว่ามีชายชุดดำไปปรากฏในทุกๆ แห่งและถือปืนเด็กเล่น ใส่หน้ากากไปอยู่ในภาพต่างๆ แต่คลิปที่ผมเห็นมา ก็เป็นชายแต่งชุดดำ ซึ่งถ้าเขาเป็นทหารจะแต่งทำไม และถ้าเขาเป็นเสื้อแดงเขาจะแต่งทำไม เพราะถ้าเป็นเสื้อแดงเขาก็ต้องใส่ชุดแดง และ ปืนที่ถือก็เป็นปืนจริงๆ ไม่ใช่ไม้ ไม่ใช่ปืนเด็กเล่น ไม่ใช่ปืนการ์ตูน แต่ไม่มีภาพที่ชายชุดดำกำลังยิงอยู่ เราก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เป็นฝ่ายไหน แต่มีคนนำรูปมาเทียบให้ดูว่า รูปนี้เป็นการ์ดนะ อย่างนี้นะ เป็นต้น เป็นเพียงบางรูปเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด เท่าที่ดูมีหลายแห่ง เช่น สี่แยกคอกวัว ที่ยิงมาจากบนเฉลียงของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลแห่งที่ 2 แล้วข้างล่างที่ยิงขึ้นไป และยังมีตรงไหนอีก ผมก็จำไม่ได้”

ในฐานะที่เป็นรองประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาข้อเท็จจริงฯ บอกว่า ภาพที่ คอป.อยากให้เห็นคือ ได้พยายามสอบพยานทุกๆ ฝ่าย จนเมื่อเราได้สรุปและแถลงออกไป เป็นเรื่องน่าเชื่อถือได้ การทำงานจึงต้องใช้เวลามาก เพราะต้องสอบทุกฝ่ายอย่างรอบด้าน ซึ่งถือเป็นภารกิจที่มาก เพื่อให้เกิดความแน่ชัด แต่ไม่ใช่หาคนผิด แต่ต้องการหาสาเหตุของการกระทำว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดที่ไหน และฝ่ายไหนทำ เราไม่เจาะจงว่าใครเป็นคนทำ เพราะเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวน

“อย่างกรณีการเสียชีวิตของ พันเอกร่มเกล้า ธุวธรรม สรุปสุดท้ายพบว่าตายเพราะระเบิดเอ็ม-67 ซึ่งขว้างมาจากฝั่งตรงข้ามสองลูกด้วยกัน เวลาห่างกันเพียงไม่กี่วินาที เราก็ไปดูกระเดื่องสองลูกที่ตกอยู่ฝั่งตรงข้าม รร.สตรีวิทยา ว่ามันไปไหน คนที่อยู่ในบ้านก็บอกว่ารุ่งเช้าวันที่ 11 เม.ย. มีคนที่แต่งตัวดีๆ มาขอเอาไป คือเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ และก็ไปถามเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ทางดีเอสไอ ไปถามตำรวจท้องที่ ทางท้องที่ก็ไม่รู้ กรณีของมูราโมโต ช่างภาพญี่ปุ่นที่เสียชีวิต เราก็ดูจากภาพของกล้องมูราโมโต ซึ่งตั้งเวลาก่อนเมืองไทย 2 ชม. นอกจากนั้น ยังมาดูมุมภาพว่าเขาล้มทันที หรือ ล้มเอียง สุดท้ายก็รู้ว่าเขาต้องล้มเอียงนิดๆ เพราะเขาต้องถือกล้องใหญ่มาก วิถีกระสุนมาจากไหน ซึ่งถาม ช่างภาพว่าวิถีกระสุนมาจากอนุสาวรีย์หรือเปล่า เขาบอกว่ามาจากด้านสะพานวันชาติ ซึ่งเป็นฝ่ายที่ทหารอยู่”

จากอดีตที่ “ครูมานิจ” เคยเป็นหนึ่งในกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ชุดที่มี นายโสภณ รัตนากร อดีตประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ที่แต่งตั้งโดยรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน เพื่อหาข้อเท็จจริงใน
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มองว่าการทำงานในครั้งนั้นง่ายกว่า เพราะเหตุการณ์พฤษภาทมิฬไม่ได้มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย คู่ขัดแย้งคือทหารกับประชาชน ซึ่งต่างจากขณะนี้

“ผลสอบออกมาไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบอย่างไร ฝ่ายไหนชอบ หรือไม่ชอบบ้าง แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น จะกระทบใคร เราไม่รู้หรอก เพราะพูดความจริง เขาให้เรามาสอบความจริง ผมมีประสบการณ์กับ ดร.คณิต ณ นคร เมื่อตอนเป็นกรรมการในช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เรามีบทเรียนว่าตอนนั้นส่งรัฐบาล และรัฐบาลจะเป็นคนเปิดเผย แต่ตอนนั้นรัฐบาลไม่ได้เปิดเผย ตอนนี้เราส่งรัฐบาลด้วย และก็เปิดเผยด้วย พร้อมทั้งแปลเป็นภาษาอังกฤษ ให้ต่างชาติได้รู้ สิ่งที่อยากให้เกิดคือความปรองดอง เพราะคนได้รู้ข้อมูล”

เขามองว่า การเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณชน มีเป้าหมายเพื่อไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นอีก นำไปสู่การสร้างปรองดอง แต่ความปรองดองไม่ใช่ทำได้ในวันนี้ หรือวันพรุ่งนี้ แต่การปรองดองต้องใช้ระยะเวลา บางแห่งก็ 20 ปี บางแห่งก็ 30 ปี แต่ที่สำคัญคือทุกคนต้องสร้างบรรยากาศในการปรองดอง ไม่ใช่คนหนึ่งปรองดอง อีกคนไม่ปรองดอง ไม่จูนคลื่นเข้าหากัน จะทำให้ความปรองดองเกิดขึ้นได้ยาก

“ผมอยากเล่าว่า ผมเคยไปเจอท่าน ปรีดี พนมยงค์ ที่ปารีส ก็เลยถามท่านว่า ทำไมไม่อยากกลับเมืองไทยบ้าง ท่านก็บอกว่า จะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ก็ได้เพราะคดีไม่มีอะไรแล้ว แต่ท่านก็บอกว่า เป็นคนที่มีลูกศิษย์เยอะ เดี๋ยวคนนั้นคนนี้ก็มาหา กลัวว่ารัฐบาลไม่สบายใจ ท่านจึงตัดสินใจไม่มา ผมฟังแล้วเห็นว่าเพียงแต่แค่นี้ท่านก็ไม่มา และท่านก็ไม่ได้พูดกับผมคนเดียว แต่ก็พูดกับคนอื่น อันนี้เป็นตัวอย่างเรื่องความปรองดอง ซึ่งต้องมีคนอยากปรองดองทุกฝ่าย จึงจะเกิดขึ้น  ไม่ใช่ปรองดองแต่ปาก สร้างเงื่อนไข ทำโน่นทำนี่ เหมือนคนทะเลาะกัน ก็จับมือปรองดองกัน แต่อีกมือก็ชกกัน มันก็ปรองดองไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคดีตอนนี้มีเรื่องที่ดีเอสไอส่งกลับไปให้พนักงานสอบสวนสอบทำใหม่ 19 คดี ซึ่งเป็นคดีตายเนื่องจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ซึ่งอ้างว่าได้ปฏิบัติการตามหน้าที่ ตามขั้นตอน ตำรวจทำสำนวนแล้วก็จะส่งไปให้อัยการ แล้วอัยการก็จะส่งไปศาลเพื่อให้มีการไต่สวนฯ ศาลก็จะเป็นคนสั่งว่าตายเนื่องจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ซึ่งอ้างว่าได้ปฏิบัติการตามหน้าที่หรือไม่.

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net