Skip to main content
sharethis

หลังจากเมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งไม่รับฟ้อง คดีหมายเลขดำ 1343/2558 ที่ วัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช.) เป็นผู้ถูกฟ้อง เรื่องกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จากกรณีที่มีการออกประกาศ คสช. ฉบับที่ 21/2557 ลงวันที่ 23 พ.ค.57 ห้ามบุคคลที่มีชื่อ 155 ราย เดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาต ซึ่ง วัฒนา ผู้ฟ้อง เป็น 1 ใน 155 รายชื่อดังกล่าวด้วย โดยศาลปกครองระบุว่าไม่อาจรับคำฟ้องไว้พิจารณาได้ จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้ และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากไม่ว่าประกาศหรือคำสั่งของ คสช. ให้มีผลบังคับในทางรัฐธรรมนูญ ในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร ในทางตุลาการ ก็ให้ประกาศหรือคำสั่ง ตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้นไม่ว่าจะทำก่อนหรือหลังรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ก็ให้เป็นประกาศหรือคำสั่ง หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และเป็นที่สุด

จากนั้นวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา วัฒนา ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด

โดย นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ทนายความของ วัฒนา กล่าวว่า การยื่นอุทธรณ์ เราขอให้ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งกลับให้รับคดีไว้พิจารณาว่า ประกาศ คสช.ดังกล่าวนั้น ออกมาไม่ชอบ เพราะฝ่าฝืนหลักสากลเรื่องสิทธิพลเมือง และสิทธิมนุษย์ชน ขณะที่การที่จะมีคำสั่งว่าอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้บุคคลใด ใน 155 รายสามารถเดินทางนอกประเทศได้หรือไม่ ก็ไม่มีหลักเกณฑ์ และมาตรฐานที่ชัดเจน ซึ่งกรณีของนายวัฒนา เราก็ระบุอยู่แล้วว่า การขอเดินทางออกนอกประเทศนั้นเพื่อไปดูสถานศึกษาบุตร ไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์การเมืองใด เราเห็นว่าการออกประกาศ คสช.หากจะออกก็ทำได้แต่ก็ต้องชอบด้วยกฎหมาย ไม่ขัดกับหลักสากลด้วย

“ที่เราอุทธรณ์ อยากให้การออกคำสั่งใด ๆ มีมาตรฐานและหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน ที่สำคัญต้องไม่ขัดกับสิทธิพลเมือง สิทธิมนุษยชนตามหลักสากล ซึ่งเราอยากให้มีการคืนความสุขกับทุกคนอย่างเสมอภาคจริงๆ” นริทร์พงศ์ กล่าว

‘ประยุทธ์’ ระบุ อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล

วันต่อมา (11 ส.ค. 58) พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีนี้ด้วยว่า ก็ฟ้องมาดิ ไม่สนใจ ผมไม่สนใจ ฝ่ายกฎหมายเขาดูแลอยู่แล้ว และเมื่อถามว่า ถ้าศาลรับอุทธรณ์ จะดำเนินการอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็รับไปสิอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล

“อยากให้ดูพฤติกรรมไอ้คนฟ้องว่าเป็นอย่างไร ดูพฤติกรรมก่อน รู้เหรือไม่ว่า ตอนปี53 เขาอยู่ตรงไหน เขามาด่าผม แล้วผมต้องพูดแล้วหละ แต่มันลืมไปแล้ว รู้ไหมเมื่อปี 53 เขาอยู่ตรงกลางราชชประสงค์ ประตูน้ำ เขานี่เหละเป็นคนต่อรองมาตลอดกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อย่างงี้ อย่างงั้น เดี่ยวผมจะเลิก นั้นแหละคือเขา รู้ซะบ้าง ทั้งแก๊งค์นั้นแหละ เราก็โอเค ใครจะป่วยจะไข้ก็ดูแล หวังว่ามันคงจะเรียบร้อย ปรากฎว่าความรุนแรงก็เกิดขึ้น ก็คนเหล่านี้รู้เรื่องทั้งหมด ผมถามว่าคุณจะเชื่อใคร เชื่อเขาหรือเชื่อผม ก็แล้วแต่ ศาลเขาก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องทำหน้าที่ของเขา ผมก็รู้ตัวผมว่าอยู่ในฐานะไหน วันนี้ผมเป็นคนถือกติกาอยู่ ทำไมอ่ะ ผมทำความเลวหรอ ผมเข้ามาอาจจะไม่ถูก แต่ผมเข้ามาเพื่อทำความเลวหรือเปล่า ผมไม่ได้ทำ ใครที่เข้ามาถูกแล้วทำความเลวเยอะแยะ ทำไมไม่โจมตีเขาบ้างล่ะ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามต่อว่า ในส่วนของ กรณีที่พลเมืองโต้กลับร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องที่พล.อ.ประยุทธ์ กับพวกซึ่งเป็นคณะคสช. รวม 5 คน เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานเป็นกบฏ ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ โดยศาลอาญารับอุทธรณ์ แล้วจะทำอย่างไร “ก็รับไป แล้วยังไง ผมทำแล้วไง ทำไมจะลงโทษอะไรผม”

เรียบเรียงจาก : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net