Skip to main content
sharethis

พรเพชร ประธาน สนช. เผยร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พิจารณาเสร็จแล้ว เตรียมเข้า สนช. ส่วน คสช.เผยหลักสูตรปรับทัศนคติ ชื่อคอร์ส “หลักสูตรการฝึกอบรมผู้นำการสร้างชาติอย่างสร้างสรรค์ สำหรับผู้นำ หรือแกนนำประชาชนทั่วไป” 

3 เม.ย.2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไทยรัฐออนไลน์ รายงาน ถึงความ ความคืบหน้าร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ โดยเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวพิจารณาเสร็จแล้ว จะนำเข้าสู่ที่ประชุม สนช. เพื่อพิจารณาในวาระ 2-3 วันที่ 7 เม.ย. คาดว่าพิจารณาเสร็จภายในวันดังกล่าว โดยจะให้อำนาจคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เป็นผู้เผยแพร่เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญต่อประชาชน ส่วนการรณรงค์ให้รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น คงต้องดูที่เจตนารมณ์ ถ้าเป็นการวิเคราะห์เหตุผลข้อดีข้อเสีย มองว่าสามารถทำได้ ส่วนการโพสต์ข้อความ "โหวตโน" ร่างรัฐธรรมนูญในโซเชียลมีเดียนั้น ต้องดูองค์ประกอบและเจตนาของผู้โพสต์ข้อความประกอบ ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาว่าผิดหรือไม่ รวมทั้งเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือไม่ หากเสนอข้อความที่เป็นเท็จก็ถือว่าผิดกฎหมาย

เมื่อถามว่า มีฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนญ อาจทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นอีกหรือไม่ นายพรเพชร ตอบว่า คสช. และรัฐบาล มีความตั้งใจทำงานเพื่อให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่ให้เกิดความวุ่นวาย ทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำเสมอ ดังนั้นอย่าไปสร้างบรรยากาศเช่นนั้น หากการแสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญเป็นความเห็นสุจริต อยู่ในขอบเขตกฎหมาย ก็ไม่มีปัญหาใดๆ แต่หากเป็นการขู่บังคับหรือใช้เล่ห์กล หลอกลวง หรือไปให้เงินรางวัล ต้องเป็นหน้าที่รัฐบาลที่จะเข้าไปดูแล
 
ทั้งนี้ มั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถคุมสถานการณ์ช่วงการทำประชามติได้ แต่ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่นั้น ไม่ทราบ ซึ่งส่วนตัวต้องสนับสนุนให้ผ่านเพราะเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญรับได้ มีความสอดคล้องกับหลักการที่วางไว้ให้เป็นรัฐธรรมนูญที่ดี พาประเทศผ่านพ้นวิกฤติ
 

คสช.เผยหลักสูตรปรับทัศนคติ ชื่อคอร์ส 'หลักสูตรการฝึกอบรมผู้นำการสร้างชาติอย่างสร้างสรรค์'

ขณะที่ มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า วันเดียวกัน (2 เม.ย.59) พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ รองหัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ส่วนงานรักษาความสงบ สำนักงานเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการดำเนินการจัดหลักสูตรอบรมนักการเมืองของ คสช. ว่า ชื่อ “หลักสูตรการฝึกอบรมผู้นำการสร้างชาติอย่างสร้างสรรค์ สำหรับผู้นำ หรือแกนนำประชาชนทั่วไป” โดยวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการ 1.เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมเข้าใจสถานการณ์ตั้งแต่ คสช.เข้ามาบริหารประเทศ เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 กระทั่งปัจจุบัน 2.เพื่อให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจและรับรู้กติกาสังคมปัจจุบัน ที่เน้นสร้างความปรองดองสมานฉันท์ 3.สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และไว้ใจต่อการปฏิบัติงานของรัฐบาล และ คสช. และ 4.ขอความร่วมมือไม่ให้ผู้เข้ารับอบรมขัดขวาง และขอความร่วมมือให้ช่วยสนับสนุนงานของรัฐบาล และ คสช. สำหรับหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้ที่เหมาะสมเข้าอบรม ทาง คสช.ได้กำหนดไว้ว่า ผู้นำหรือแกนนำประชาชนที่กระทำผิดกฎหมาย ทำผิดกติกาสังคม และฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติ จนทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลและ คสช.เกิดความเสียหาย รวมไปถึงมีพฤติกรรมที่มีแนวโน้มสร้างความขัดแย้งระหว่างคนในสังคม ตลอดมีพฤติกรรมแปลกแยกไปจากสังคม ส่วนระยะเวลาของหลักสูตรนี้จะใช้เวลาทั้งสิ้น 7 วัน จำนวน 168 ชม. โดย คสช.ใช้อำนาจตามกฎหมายเท่าที่เราทำได้และไม่มีอะไรเกินเลยแต่อย่างใด
 
พ.อ.ปิยพงศ์กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการที่จะเชิญผู้ถูกอบรมในหลักสูตรดังกล่าวนั้น ขอชี้แจงว่าขั้นตอนการปฏิบัติเราจะเชิญตัวและดำเนินการอย่างเปิดเผยด้วยการให้เกียรติ พร้อมทั้งแจ้งพฤติกรรมให้คนที่ถูกเชิญได้รับว่าท่านมีคุณสมบัติที่ควรเข้ารับการอบรม อีกทั้งต้องแจ้งให้ญาติของผู้ถูกอบรมทราบว่าจะไปสถานที่ใด รวมทั้งสามารถเข้าไปเยี่ยมได้ ทั้งนี้ขอย้ำว่าเราจะอำนวยความสะดวกให้คนที่เข้ารับการอบรมเป็นอย่างดี หากจบหลักสูตรอบรม 7 วันแล้วเราจะอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับบ้านอีกด้วย
 
เมื่อถามว่าหากมีผู้ที่เข้าข่ายในหลักสูตรดังกล่าวแต่ไม่ยินยอมไปอบรม ทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการอย่างใด พ.อ.ปิยพงศ์กล่าวว่า คสช.มีอำนาจในการเชิญตัว มีอำนาจที่จะตักเตือน เพราะเรามีอำนาจอยู่แล้ว
 
เมื่อถามต่อว่าจากวัตถุประสงค์ของหลักสูตร หากผู้เข้ารับการอบรมไม่เข้าใจและยังคงกระทำการที่ขัดคำสั่ง คสช. จะดำเนินอย่างไรอีก ทีมโฆษก คสช. กล่าวว่า เราจะมีการประเมินว่าผู้ที่เข้ารับการอบรมมีผลการปฏิบัติอย่างไร ฉะนั้นคงเป็นอนาคตที่ผู้เข้ารับการอบรมจะมีท่าที พฤติกรรมเป็นอย่างไร เพื่อนำไปประเมินผลอีกที
 
เมื่อถามต่อว่า สำหรับรายชื่อผู้ที่จะเข้ารับการอบรมนั้น พ.อ.ปิยพงศ์กล่าวว่า อาจจะเป็นคนเดิมๆ ที่ คสช.ติดตามพฤติกรรมมาโดยตลอด อีกทั้งเชิญมาพูดคุยหลายครั้งแล้ว แต่ช่วงหลังๆ พบว่ามีท่าทีและทัศนคติของท่านเหล่านั้นดีขึ้น ทั้งนี้ย้ำว่าเรายังคงติดตามและเฝ้าดูอยู่เสมอ ส่วนจะเป็นใครบ้างที่มีทัศนคติดีขึ้นนั้น คิดว่าน่าจะเป็น 2 ท่านที่ คสช.เชิญมาพูดคุย ซึ่งท่านก็ดีขึ้น เพราะไม่ได้สร้างความสับสนเพิ่มเติม และยังให้ความร่วมมือ
 
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการ คสช.ออกมาระบุว่าจะส่งผู้เข้าอบรมไปค่ายทหารพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ (จชต.) พ.อ.ปิยพงศ์กล่าวว่า สำหรับสถานที่เป็นค่ายทหารที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมาะสม ซึ่งค่ายทหารก็มีอยู่ทั่วประเทศ การที่ท่าน ผบ.ทบ.พูดนั้นท่านหมายถึงค่ายทหารทุกพื้นที่สามารถรองรับหลักสูตรนี้ได้ ไม่ว่าจังหวัดใดก็ตาม ส่วนที่ระบุว่า จ.ยะลาและปัตตานีนั้น คิดว่าท่านคงยกตัวอย่างชื่อจังหวัดเท่านั้น
 
“ผมขอร้องว่าในฐานะที่เราเป็นคนไทยด้วยกัน และในฐานะที่พวกท่านเป็นอดีตนักการเมืองและเคยบริหารประเทศมา คิดว่าแต่ละท่านคงมีวุฒิภาวะพอที่เข้าใจต่อกระบวนการของกฎหมายอยู่แล้ว หากท่านรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และรู้สึกว่า คสช.ละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งใช้อำนาจเกินขอบเขตนั้น ผมขออธิบายเลยว่า คสช.ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นเลย เพียงแต่เราต้องการรักษาสถานการณ์ประเทศให้เกิดความสงบ พร้อมทั้งขอความร่วมมือของคนที่มีความคิดเห็นที่แตกแยก ให้ช่วยสงบสติอารมณ์ ควรอยู่ในความสงบ และปล่อยให้รัฐบาลและ คสช.บริหารประเทศ และดูแลประชาชนก่อน” พ.อ.ปิยพงศ์กล่าว และว่า เพื่อวางอนาคตให้ประเทศไทยมีความก้าวหน้าเป็นสากล นี่คือเจตนารมณ์สำคัญอย่างยิ่งของรัฐบาล และ คสช.

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net