ชาญวิทย์ เกษตรศิริ แถลงหลังเข้ารับฟังข้อกล่าวหาที่ ปอท. ย้ำความบริสุทธิ์ใจในการแสดงความคิดเห็น
ล่าสุด วันนี้ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แถลงต่อสื่อมวลชนก่อนเข้ารับฟังข้อกล่าวหาที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ระบุว่า ตลอดชีวิต และ 40-50 ปีของการบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่เคยเจอคดีแบบนี้ โดยตนเองเพียงแต่ตั้งคำถามถึงคนระดับสูงที่ใช้ของแพงๆ เท่านั้น เบื้องต้น ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนฟ้อง อย่างไรก็ตาม จะขอให้การปฏิเสธ และยืนยันว่าการแสดงความคิดเห็นของตนเองในฐานะประชาชนคนไทยนั้น เป็นสิทธิ และมิได้เป็นสิ่งที่ผิดต่อกฎหมาย หรือ ผิดศีลธรรมตามที่ถูกกล่าวหา
ในส่วนความคืบหน้า ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.20 นาที ภายหลังชาญวิทย์เข้าพบ ปอท. ได้ออกมาชี้แจงว่า ตนถูกดำเนินคดีในข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งมีข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จเป็นประการที่จะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชนเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และข้อมูลอันเป็นเท็จนั้นน่าจะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2560 มาตรา 14 (2) และ (5) ซึ่งมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือจำคุกไม่เกินห้าปี จากการที่ชาญวิทย์แชร์และวิจารณ์กระเป๋าถือของนราพร จันทร์โอชา ภรรยาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี ซึ่ง พ.ต.อ.โอฬาร สุขเกษม ผู้กำกับการ 3 ปอท. เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษแก่ชาญวิทย์
จากการเข้าพบเจ้าหน้าที่สอบสวน ชาญวิทย์ ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยจะเข้าพบต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยต่อสู้คดีและรวบรวมพยานหลักฐาน ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรอีกทีภายใน 20 วัน
กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ ชี้แจงว่าชาญวิทย์ให้การปฏิเสธเนื่องจากที่ได้กระทำไปหากเกิดความเสียหายก็เป็นเรื่องระดับบุคคล ไม่เกี่ยวกับประชาชนทั่วไป อีกทั้งชาญวิทย์มามอบตัวด้วยตนเอง จึงไม่มีหมายศาล ไม่มีการขอยื่นประกันตัว ปล่อยผู้ต้องหาชั่วคราว หรือเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ ชาญวิทย์ได้คัดค้านพนักงานสอบสวนประเด็นที่พนักงานสอบสวนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ พ.ต.อ.โอฬาร ซึ่งชาญวิทย์เห็นว่าอาจไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากผู้กล่าวโทษมีสิทธิให้คุณให้โทษแก่พนักงานสอบสวน จึงมีการคัดค้านพนักงานสอบสวนไว้ และทำเรื่องไปถึงผู้บัญชาการสูงสุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาเปลี่ยนแปลงให้พนักงานสอบสวนซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้กล่าวโทษเป็นผู้สอบสวน เพราะตามกฎหมายผู้สอบสวนจะต้องพิสูจน์ซึ่งความผิดหรือบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา ซึ่งหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอาจแสดงถึงความไม่เป็นธรรมในกระบวนการสอบสวน
พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่าการดำเนินคดีนี้ก็จะเป็นไปตามกระบวนการ เมื่อชาญวิทย์ได้ให้คำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร มีการสอบสวนพยานหลักฐาน คิดว่าจะสามารถบอกได้ว่า อ.ชาญวิทย์ผิดหรือไม่ เพราะต่อจากนี้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน
“ซึ่งแน่นอนจะเอาผิดอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเท่าที่ฟัง ทาง พ.ต.อ.โอฬาร ก็ไม่ได้ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผิดแน่นอน และยังไม่ได้ชี้แจงเหตุผลเกี่ยวกับการแจ้งความกับ อ.ชาญวิทย์” พนัส กล่าว
"เราเองพยายามที่จะถามว่าแจ้งความเอาผิดแค่คนเดียวหรือคนอื่นที่มีการแชร์ข้อมูลนี้ด้วยหรือเปล่า ซึ่งทาง ปอท. แจ้งว่าเขาดำเนินการหมดทุกคน ส่วนจะจริงแค่ไหนก็มิทราบได้" ซึ่งพนัสตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะโดนคนเดียว ในส่วนของ อ.ชาญวิทย์ที่ได้แจ้งดำเนินคดีไปนั้น ทนายได้เหตุผลจาก พ.ต.อ.โอฬาร ว่าเป็นเพราะชาญวิทย์เป็นบุคคลมีชื่อเสียง
ทั้งนี้ ทนายความให้ข้อมูลว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่า เป็นความผิดกรรมเดียว จากการแชร์ของ อ.ชาญวิทย์
ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ชาญวิทย์ตั้งข้อสังเกตว่านี่เป็นการฟ้องคดีการเมืองเพื่อปิดปากนั้น คิดว่าจะปิดปากได้สำเร็จหรือไม่ ชาญวิทย์ตอบว่าเรื่องนี้ทำให้คิดหนักเหมือนกัน แต่เนื่องจากตนอยู่มาจนจะ 80 แล้ว หากสิ่งที่ทำมีส่วนช่วยให้สังคมนี้เป็นสังคมเปิด มีข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์กับประชาชนก็จะทำต่อไป ในส่วนของการให้ปากคำจะมีการดำเนินการต่อเมื่อพนักงานสอบสวนมีความเป็นกลางในกระบวนการ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)