Skip to main content
sharethis

ตร.เผย 8 ผู้ต้องหามอบตัวแล้ว คดีกล่าวหา รอง ผบ.ตร.อยู่เบื้องหลัง 'ตีหัวจ่านิว' ขณะที่คดีทำร้ายร่างกาย พนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานไปแล้ว 15-20 ปาก ส่วน 'เอกชัย' ร้องกองปราบช่วยรับคดีไปทำแทน เผยโดนดักทำร้าย 9 ครั้ง พอจับคนทำได้ 2 คดี กลับรีบปิดคดี

ภาพซ้าย จาก http://policenews.co.th/โปลิศนิวส์/detail/5464x243

10 ก.ค.2562 ความคืบหน้ากรณีเหตุการณ์ทำร้ายร่างกาย สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว นักกิจกรรมทางการเมือง กลุ่ม Start up people จนบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ณ ปากซอยรามอินทรา 109 กรุงเทพฯ โดยที่เหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ที่กลุ่มบุคคลนิรนามได้กระทำความรุนแรงต่อเขา และที่ผ่านมาได้มีนักกิจกรรมทางการเมือง ที่ส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนถูกทำร้ายร่างกายมาไม่น้อยกว่า 16 ครั้ง แต่ทว่าเจ้าหน้าที่รัฐแทบทั้งหมดไม่สามารถดำเนินการจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้เลยนั้น

ล่าสุด วันนี้ โปลิศนิวส์ รายงานว่า  พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พร้อมด้วย พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ โฆษกกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวชี้แจงกรณีโซเชียลมีเดียแชร์ภาพและข้อความระบุ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) อยู่เบื้องหลังเหตุทำร้าย สิรวิชญ์  ซึ่งข้อความระบุว่า "เรื่องใหญ่ที่ท่านผู้การกองปราบ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ต้องแก้ปัญหา..ที่มีตำรวจชั้นประทวนในสังกัด กองปฏิบัติการพิเศษกองปราบ 4 คนไปช่วย พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รอง ผบ.ตร. เคยคุมกองปราบมาก่อน เลี้ยงตำรวจโจรในกองปราบไว้ใช้ ได้ก่อเหตุไปดักตีหัว จ่านิวและฟอร์ด กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เป็นลูกน้องแขนซ้ายของ พล.อ.ประวิตร นั่นเอง และ รองช้าง หรือพล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย หัวหน้าแก็งค์สีกากี ตามกระทืบนักกิจกรรม เอกชัย,ฟอร์ด,จ่านิว" ว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นเป็นความจริง บิดเบือน หวังผลให้เกิดความเสียหายต่อ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงเกิดความตื่นตระหนกในสังคม ซึ่ง ปอท. ได้สืบสวนพบกลุ่มบุคคลจำนวน 13 คน ที่ทำหน้าที่นำเข้าข้อมูลดังกล่าวสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และช่วยกันแชร์ข่าว

แถลงยังระบุด้วยว่า วานนี้(9 ก.ค.62) ผู้ต้องหาเข้ารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว 8 ราย โดยยอมรับว่าแชร์ข่าวจริง แต่ไม่ทราบว่าเป็นข่าวปลอม อีกทั้งการสืบสวนยังพบว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดไม่รู้จักกัน แต่มีความชื่นชอบแนวทางด้านการเมืองในทิศทางเดียวกัน และไม่ได้รับผลประโยชน์ในการส่งต่อข้อความแต่อย่างใด

สำหรับการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดในข้อหา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนตามมาตรา 14(2) พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ขณะเดียวกัน ตำรวจยังสืบสวนพบว่าในกลุ่มผู้ต้องหา มี 3-4 คนที่ใช้บัญชีโซเชียลมีเดียปลอมหรืออวตาร เพื่อปกปิดตัวตน ป้องกันตำรวจสืบสวนจับกุม ส่วนอีก 5 คนที่เหลือ จะเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม การสอบสวนตำรวจทราบแล้วว่ามีบุคคลที่สร้างเนื้อหาข่าวปลอม เพื่อให้กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 13 คน แชร์ต่อโดยจะติดตามจับกุมเร็ว ๆ นี้ ซึ่งคดีนี้พนักงานสอบสวน ได้มีการสอบปากคำ รอง ผบ.ตร.และ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผู้การกองปราบ ประกอบสำนวนแล้ว ซึ่ง พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงถูกพาดพิงให้เกิดความเสียหายกับกรณีทำร้ายจ่านิว

พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า คดีทำร้ายร่างกาย จ่านิว พนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานไปแล้ว 15-20 ปาก และตรวจสอบกล้องวงจรปิดเส้นทางการหลบของคนร้าย พบว่าบางจุดชำรุดเสียหายจับภาพคนร้ายไม่ได้ อย่างไรก็ตามจากการสืบสวนคนร้ายน่าจะเตรียมตัวมาอย่างดี อาศัยช่วงที่การจราจรติดขัดลงมือก่อเหตุ ขอให้ทางผู้เสียหายและสังคมมั่นใจว่าตำรวจยังคงทำคดีนี้อย่างเต็มที่

'เอกชัย' ร้องกองปราบช่วยรับคดีไปทำแทน เผยโดนดักทำร้าย 9 ครั้ง พอจับคนทำได้ 2 คดี กลับรีบปิดคดี

วันเดียวกัน เดลินิวส์ รายงานว่า ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เอกชัย หงส์กังวาน อายุ 42 ปี  และอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ หรือ ฟอร์ด เส้นทางสีแดง อายุ 51 ปี นักเคลื่อนไหวทางการเมือง พร้อมด้วยกลุ่มคนอยากเลือกตั้งกว่า 10 คน เข้าพบ พ.ต.ท.ชนินทร ง่วนสน สว.(สอบสวน) กก.1บก.ป. เพื่อยื่นเรื่องขอให้กองปราบฯ ช่วยรับโอนคดีที่ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ดักทำร้ายจากตำรวจท้องที่มาดำเนินการแทน อ้างคดีทั้งหมดยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร

เอกชัย กล่าวว่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันตนเคยถูกกลุ่มผู้ไม่หวังดีดักทำร้ายและทำลายทรัพย์สินเสียหายรวมถึง 9 คดี  แบ่งเป็นถูกทำร้ายร่างกาย 7 คดี เผารถยนต์อีก 2 คดี ซึ่งมีเพียง 2 คดีเท่านั้นที่จับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้ แต่ตำรวจกลับรีบปิดคดี ไม่มีการขยายผลติดตามจับกุมคดีที่เหลือ ทั้งๆที่ช่วงเกิดเหตุได้ปากคำไปว่าผู้ที่ก่อเหตุนั้นมีด้วยกันทั้งหมด 3 คน แต่ตำรวจก็ยังนิ่งเฉย คดีอื่นๆยังตามจับตัวคนร้ายไม่ได้เลย

"ผมคิดว่าคดีของผมไม่มีความโปร่งใสและไม่คืบหน้า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีผู้มีอิทธิพลเข้ามาขัดขวางการสอบสวนสืบสวน เพื่อทำให้คดีล่าช้า ด้วยเหตุนี้จึงมาร้องกองปราบฯให้รับคดีแทน เพราะเชื่อในศักยภาพแที่ดีกว่าตำรวจท้องที่" เอกชัย กล่าว

รายงานข่าวระบุว่า เบื้องต้นได้สอบปากคำผู้เสียหาย เพื่อนำมาพิจารณาควบคู่กับพยานหลักฐานที่นำมามอบให้ ก่อนส่งเรื่องต่อให้กับผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งดำเนินการต่อไป 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net