Skip to main content
sharethis

 

องค์กรสิทธิฯ ขอกองกำลังติดอาวุธทุกฝ่ายหยุดยิง หยุดใช้อาวุธและยุติการปิดล้อมตรวจค้น การใช้กฎหมายพิเศษจับกุมควบคุมตัวบุคคล เพื่อความร่วมมือในการหยุดระบาดของ COVID-19 ขณะที่ทหารคุมเข้มเขตพรมแดน

 

30 มี.ค.2563 กลุ่มด้วยใจ พร้อมด้วย องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ JASAD และเครือสิทธิมนุษยชนปาตานี ออกแถลงการณ์ ขอให้กองกำลังติดอาวุธทุกฝ่ายหยุดยิง หยุดใช้อาวุธและยุติการปิดล้อมตรวจค้น การใช้กฎหมายพิเศษจับกุมควบคุมตัวบุคคล เพื่อความร่วมมือในการหยุดระบาดของ COVID-19

โดยมีรายละเอียดแถลงการณ์ดังนี้

แถลงการณ์เรื่อง ขอให้กองกำลังติดอาวุธทุกฝ่ายหยุดยิง หยุดใช้อาวุธและยุติการปิดล้อมตรวจค้น การใช้กฎหมายพิเศษจับกุมควบคุมตัวบุคคล เพื่อความร่วมมือในการหยุดระบาดของ COVID-19

เผยแพร่ 30  มีนาคม 2563

มีข้อมูลจากศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ว่าความขัดแย้งทางอาวุธกว่า 15 ปีในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้มีผู้คนเสียชีวิต 7,111 และได้รับบาดเจ็บ 13,266 จากความรุนแรงต่อชีวิตทางกายภาพที่เกิดขึ้นและผลกระทบทางอ้อมต่อทรัพย์สินและต่อสาธารณะไม่ว่าจะเป็นอาคาร สถานที่ถูกทำลาย ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติการทางทหารของกองกำลังติดอาวุธหลายฝ่าย ทำให้เกิดความเดือดร้อนและเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง   รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายทั้งการปิดล้อม จับกุม ควบคุมตัวด้วยกฎหมายพิเศษ ทำให้มีข้อร้องเรียนเรื่องการทรมาน การจับกุมตามอำเภอใจ และการวิสามัญฆาตกรรมจากการปฏิบัติการทางทหารของหน่วยงานความมั่นคงของไทย  ทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบทั้งกายภาพและจิตใจของประชาชนทั้งในพื้นที่และต่างพื้นที่อย่างหนักหนาสาหัส  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการสร้างสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้

แม้จะมีหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือองค์กรพัฒนาเอกชน ประชาชน ได้ร่วมมือกันเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ยากลำบากในสถานการณ์ความขัดแย้งทางอาวุธที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อย่างต่อเนื่อง แต่ครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบที่มีจำนวนมากและหลายๆครอบครัวไม่สามารถเข้าถึงการดูแลเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานทางทั้งทางการเมืองเศรษฐกิจสังคม รวมทั้งทางสิทธิด้านสุขภาพ   อีกทั้งในขณะที่ต้องเผชิญกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจในสภาพเศรษฐกิจที่ทรุดตัว ตอนนี้เราต้องเผชิญกับโรคระบาดทั่วโลกที่เรียกว่า COVID -19 ที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วไปทั่วโลกและในประเทศไทย  จังหวัดชายแดนใต้เองก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการระบาดนี้ได้ ทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่ประเมินไม่ได้

กลุ่มด้วยใจและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนตามรายนามด้านล่างนี้จึงมีข้อเรียกร้องต่อการรับมือสถานการณ์โควิด19 ต่อกลุ่มติดอาวุธทุกฝ่ายดังนี้

1.         ขอให้ฝ่ายกองกำลังติดอาวุธทุกฝ่ายรวมทั้งของ BRN หยุดยิง หยุดการใช้ความรุนแรงทางอาวุธทุกรูปแบบทันทีและขจัดอุปสรรคในการช่วยชีวิตประชาชน  การหยุดยิงใด ๆ จะต้องมาพร้อมกับความพยายามโดยสุจริตเพื่อฟื้นฟูสันติภาพที่ยั่งยืน

2.         ขอให้รัฐบาลไทยโดยเฉพาะกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ยุติวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้โดยการยุติปฏิบัติการทางทหารเพื่อแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกับคู่ขัดแย้งในการยุติการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่สร้างความยากลำบากทางด้านสุขภาพ การศึกษา สังคมและเศรษฐกิจต่อประชาชน ทุกเพศ วัย ศาสนา อยู่ในขณะนี้

3.         เพื่อการเคารพต่อสิทธิมนุษยชนในการเข้าถึงความยุติธรรม ขอให้ยุติการปิดล้อมตรวจค้น  การติดตามจับกุมโดยพลการต่อบุคคลที่ไม่มีหมายจับอาญา และปล่อยตัวบุคคลที่ถูกควบคุมตัวตามอำนาจกฎหมายพิเศษทันที

4.         ขอให้หน่วยงานรัฐ เอกชน ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพให้ชาวจังหวัดชายแดนใต้ได้เข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเช่นอาหาร ที่พักพิงในการกักตัว การดูแลสุขภาพการศึกษาและการจ้างงาน แต่ฝ่ายคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายทำให้เกิดความหวาดระแวง ไม่ไว้วางใจ ในหมู่ประชาชน การระบาด COVID-19  ที่กำลังส่งผลต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง

กลุ่มด้วยใจและองค์กรสิทธิมนุษยชนตามรายนามนี้ ขอเรียกร้องให้คู่ต่อสู้ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือในการยุติการระบาดของโรค COVID-19 และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและขจัดอุปสรรคทางราชการทั้งหมดที่ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ ความร่วมมือระหว่าง BRN และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้าในครั้งนี้จะเป็นการแสดงความจริงใจอย่างเป็นรูปธรรมในการสร้างสันติภาพให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน

องค์กรที่ลงนาม

กลุ่มด้วยใจ

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ JASAD

เครือสิทธิมนุษยชนปาตานี

ทหารคุมเข้มเขตพรมแดน

ขณะที่ ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2563 เวลา 10.30 น. ที่บริเวณเขตพื้นที่พรมแดน ไทย-มาเลเซีย อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส พันเอก โกเมธ รัตนผ่องใส ผู้บังคับกองพันทหารราบเชิงรุกที่ 1 ตรวจเยี่ยมกำลังพล ที่ออกปฏิบัติหน้าที่ ดูแลเขตพื้นที่รับผิดชอบพรมแดน ไทย-มาเลเซีย เพื่อแนะนำแนวทางในการปฏิบัติงานให้กับกำลังพล รวมทั้งได้ชี้แจงเกี่ยวกับมาตรการ การเฝ้าระวังป้องกัน และควบคุมเชื้อไวรัส COVID - 19 จากบุคคลที่อาจจะลักลอบผ่าน เข้า-ออก

ภาพจาก ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า

ทั้งนี้ ผู้บังคับกองพันทหารราบเชิงรุกที่ 1 ได้ตรวจมาตรการในการป้องกัน และยับยั้งการติดเชื่อไวรัส COVID - 19 โดยได้มีการคัดกรองบุคคลผ่าน เข้า-ออก รวมทั้งตรวจการบันทึกบุคคล ยานพาหนะในการเข้า - ออก และได้ชี้แจงเน้นย้ำ กำลังพลให้ปฏิบัติตามข้อสั่งการของผู้บังคับบัญชา และให้ตระหนักถึงมาตรการในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส COVID - 19 อีกทั้งการจัดหาอุปกรณ์ในการฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อ โดยได้เน้นย้ำให้ดำเนินการฉีดยาฆ่าเชื้อเป็นประจำทุกวัน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net