คนไทยในเรือนจำญี่ปุ่น-จดหมายเปิดผนึกจากมุก

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

สมัยก่อนเรามักได้ยินว่าหญิงไทยในชนบทมักถูกหลอกหรือถูกบังคับให้ไปขายบริการในต่างประเทศ บ้างก็พ่อแม่ขายลูกสาวตัวเองให้นายหน้าไปเป็นเมียชาวต่างชาติ หรือที่เรียกว่าตกเขียว
สมัยนี้ภาวะตกเขียวลดน้อยลงไปมาก แต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ทศวรรษหญิงไทยก็ยังถูกหลอกอยู่เหมือนเคย เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไปเท่านั้น นั่นคือการลักลอบขนยาเสพติดออกนอกประเทศ

ในปัจจุบันมีหญิงไทยเป็นจำนวนไม่น้อยลักลอบขนยาเสพติดข้ามประเทศ บางคนทำด้วยความสมัครใจยอมเสี่ยงเพื่อแลกกับเงิน บางคนทำเพราะโดนหลอก ส่วนบางคนทำเพราะถูกบังคับ ไม่มีตัวเลขที่แน่นอนว่าเท่าที่ผ่านมามีคนลักลอบขนยาเสพติดออกนอกประเทศปีละกี่คนหรือขนยาเป็นจำนวนกี่กิโลกรัม เนื่องจากบางคนรอดจากการถูกจับที่สนามบินในต่างประเทศและกลับเข้ามาในไทยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนคนที่ถูกจับจะไปขึ้นศาลที่ต่างประเทศและติดคุกที่นั่นเป็นเวลานาน

 ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีหญิงไทยถูกหลอกหรือถูกบังคับให้ขนยาเสพติดจากไทยไป ตั้งแต่รัฐบาลญี่ปุ่นยกเลิกวีซ่านักท่องเที่ยวให้คนไทย การเดินทางไปญี่ปุ่นทำได้ง่ายขึ้น การลักลอบขนยาเสพติดจึงมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

จากตัวเลขที่ไม่เป็นทางการ ในปี 2563 มีผู้หญิงไทยที่ติดคุกอยู่ในเรือนจำในจังหวัดโทจิกิทางตะวันออกของญี่ปุ่นจำนวน 65 คน ในบรรดานักโทษชาวต่างชาติคนไทยน่าจะเป็นอันดับสามรองจากคนจีนและคนจากอเมริกาใต้ ตัวเลขนี้อาจจะดูไม่เยอะแต่ถ้าเทียบกับสัดส่วนประชากรของจีนและอเมริกาใต้จะเห็นว่าเยอะจนน่าตกใจ

ข้อความต่อไปนี้เป็นจดหมายเปิดผนึกจากมุก นามสมมุติของหญิงไทยคนหนึ่งที่ต้องโทษอยู่ในนั้นด้วยข้อหาขนกัญชาเข้าญี่ปุ่น

“มุกรู้จักแฟนคนไนจีเรียทางเฟสบุ๊ค ก่อนที่มุกจะอยู่กินกับเขาเราคบกันได้หนึ่งปีค่ะ หนึ่งปีแรกที่รู้จักกันเราไม่เคยมีอะไรกันเลย คืออยู่ในช่วงดูใจคบหากันค่ะ เขาดีกับเรามากเลย ดูแลช่วยเหลือมุกทุกอย่าง ตอนคบหาดูใจกันตอนนั้นมุกอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดค่ะ ส่วนเขาอยู่กรุงเทพฯ มุกจะไปพบเขาที่กรุงเทพฯเดือนละครั้ง ช่วงนั้นเขาจะส่งเงินเลี้ยงดูให้มุกทุกเดือนเดือนละสองหมื่นบ้างสามหมื่นบ้าง นานๆ ทีให้เป็นแสนก็มีค่ะ พอคบหาดูใจได้ปีหนึ่งเขาก็ขอให้มุกย้ายมาอยู่กินด้วยกัน มุกเลยย้ายไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯค่ะ พอย้ายไปอยู่ด้วยกันแล้วปีแรกก็ยังเหมือนเดิมค่ะ เขาดีกับมุกทุกอย่าง มุกอยากเปิดร้านอาหารอัฟริกันเขาก็ลงทุนเปิดให้ ขายดีมากขนาดว่าลูกค้ามีแต่คนอัฟริกันเท่านั้น มีผู้หญิงไทยบ้างก็เป็นพวกที่อยู่กินหรือทำมาหากินกับพวกคนอัฟริกัน แต่ละเดือนได้กำไรเป็นแสนเพราะอาหารพวกนี้หากินยากแล้วก็ขายแพงด้วยค่ะ 

จากจุดนี้แหล่ะค่ะที่ทำให้ชีวิตของมุกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ พอมุกเปิดร้านอาหารได้สัก 8-9 เดือนก็มีคนผิวดำคนหนึ่งมาติดต่อกับแฟนมุกเพื่อขอจ้างให้มุกไปขนกัญชาให้ค่ะ แน่นอนค่ะตอนนั้นมุกไม่รู้ มารู้ทีหลังตอนมีผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ฟัง วันหนึ่งขณะที่มุกทำกำลังทำอาหารอยู่ แฟนเดินมาบอกมุกว่าอยากให้มุกไปเอาใบไม้ที่หนองคายมาให้หน่อย เอามาที่กรุงเทพฯนี่แหละ มุกก็ถามเขาว่าใบอะไร เขาบอกแต่ว่าเป็นใบไม้ชนิดหนึ่งที่พวกเขาใช้ทำอาหารอัฟริกัน มุกถามเขาว่าส่งมาทางไปรษณีย์ไม่ได้เหรอทำไมต้องให้มุกไปเอา เขาบอกว่าได้แต่มันใช้เวลาหลายวัน ถ้ามุกไปเอาเองมันเร็วกว่า มุกก็ซื่อเลยเชื่อเขาก็เลยไปเอาให้โดยที่ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นอะไรที่ผิดกฎหมาย เพราะคนที่มุกไปรับเป็นตำรวจนายใหญ่ด้วย พอหลังจากไปเอามาให้เขาแล้วได้สัก 4-5 วันก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานนี้โดยตรงมาบอกมุกว่า “มุกรู้ไหมว่าไอ้ใบที่แฟนมุกให้ไปเอานั้นมันคือกัญชา ถ้าถูกจับแล้วเข้าคุกเลยนะ” มุกอึ้งไปเลย เลยไปถามแฟน ตอนแรกเขาก็ไม่พูดอะไรแต่พอมุกไม่ยอมหยุดถามเขาก็เลยบอกว่าใช่ ก็เลยทะเลาะกันมากขึ้น มุกพลั้งปากบอกว่าจะเลิกกับเขา ทำให้เขาโกรธเลยเริ่มลงมือตบตีมุก แล้วก็ขู่ว่าถ้าบอกตำรวจเขาจะฆ่าพ่อแม่ของมุก มุกเลยไม่กล้าทำอะไรได้แต่ยอมเขา เพราะพวกนี้มันทำจริงๆ ไม่ใช่แค่ขู่   

พอหลังจากนั้นเขาก็เริ่มบังคับให้มุกขนให้อีก จากกัญชามาเป็นโคเคนข้ามประเทศ ถ้าไม่ไปก็จะโดนตบตีจนกว่าจะยอมไป คนพวกนี้มีคนที่เป็นนายใหญ่ นายใหญ่ของพวกมันมุกไม่รู้จักหรอก อย่างแฟนคนไนจีเรียของมุกนี้เขาก็แค่รับจ้างต่อมาอีกที เขาส่งมุกไปเขาก็ได้รับค่าจ้างประมาณ 5,000-8,000 ดอลล่าร์ค่ะ (ประมาณ 150,000-240,000 บาท) แต่แน่นอนว่าเขาเอาไว้คนเดียวมุกไม่ได้หรอก ตั้งแต่โดนเขาบังคับให้ขนยาเสพติดเขาก็ไม่เคยจ่ายเงินเลี้ยงดูให้เลยนอกจากให้เงินไว้กินข้าวอาทิตย์ละ 500 บาท ค่าใช้จ่ายเรื่องอื่นก็ไม่สน ช่วงที่ถูกบังคับให้ขนยาเกือบสามปี มุกไม่เคยได้อะไรเลยนอกจากต้องทำงานให้เขาและต้องทนเจ็บตัว

ร้านอาหารที่เปิดก็ต้องปิดไปเพราะเราไม่มีเวลาไปทำ พ่อแม่เราก็ต้องเลี้ยงดู ดีที่มุกมีเงินส่วนตัวอยู่มากพอ พ่อกับแม่เลยไม่ต้องลำบาก แต่เวลาเกือบสามปีเราไม่มีรายรับเงินมันก็หดน้อยลงไป แถมตอนที่เราโดนจับที่ญี่ปุ่นแฟนเอาบัตรเครดิตเราไปรูดเอาเงินสดไปหมดเลย บัตรนั้นเขาขโมยไปก่อนที่มุกจะเดินทางไปประเทศจีน มารู้ตัวว่าถูกขโมยไปก็ไปถึงจีนแล้ว ก่อนเดินทางไปตามตัวก็มีแต่รอยเขียวยกเว้นใบหน้าพราะเขาไม่อยากให้ใครเห็นค่ะ เรียกว่าทรหดสุดๆ อยากจะหนีก็หนีไม่ได้มีคนคอยดูตลอด จะไม่ทำตามก็กลัวเขาจะฆ่าพ่อแม่พี่น้องเรา จะแจ้งตำรวจจับเขาก็ไม่ได้ มุกกับเพื่อนเคยวางแผนให้ตำรวจจับเขาด้วย แต่ตำรวจจับเขาไปก็ไม่ได้เอาไปขัง แค่เรียกเงินจากเขาพอเขาจ่ายตำรวจตำรวจก็ปล่อยไป บางครั้งเขาไม่ต้องเสียเงินเลยเพราะเขามีตำรวจรายใหญ่คอยช่วยเหลือ มุกไม่รู้หรอกว่าตำรวจคนนั้นเป็นใคร รู้แต่ว่ามีตำรวจหลายคนร่วมอยู่ด้วย อย่างกัญชาที่เอามาจากลาวก็มีตำรวจเส้นใหญ่คอยคุมอยู่ มุกไม่รู้หรอกว่าเขาทำกันเป็นแก๊งค์หรือเปล่า แต่รู้ว่ามีเจ้าหน้าที่ข้าราชการร่วมอยู่ด้วย 

คิดถึงเรื่องพวกนี้ทีไรก็รู้สึกตัวเองโง่มากๆ เลย มุกมักจะโทษตัวเองบ่อยๆ ว่าทำไมเราไม่รู้จักกัญชาว่ามันเป็นสิ่งเสพติดนะ ถ้าตอนนั้นเรารู้จักมัน ใครก็บังคับให้เราทำสิ่งนี้ไม่ได้หรอก แต่ก็คิดเสมอว่าช่างมันเถอะมันผ่านไปแล้ว ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต เป็นครูชั้นเยี่ยม มันจะเกิดขึ้นกับชีวิตเราแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหล่ะ

คุณอาจจะไม่เชื่อนะคะว่ามุกไม่รู้จักกัญชาจริงๆ เหรอ แต่มุกอยากจะบอกค่ะว่ามุกไม่รู้จักจริงๆ ไม่เคยรู้เลยว่ากัญชาเป็นยาเสพติด อาจจะเป็นเพราะมุกเรียนหนังสือน้อยด้วยและอาจจะเป็นเพราะว่ามุกไม่เคยสนใจอะไรด้วยค่ะ ตั้งแต่เรียนจบ ป.6 มุกก็มีแต่การทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อนเลยเพราะอยากให้พ่อแม่และน้องๆ สบายกัน และอีกอย่างมุกเป็นคนบ้านนอกก็จริงแต่มุกก็อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีค่ะ คนรอบตัวไม่เคยมีใครยุ่งกับเรื่องผิดกฎหมายเลยค่ะ คนบ้านนอกไร้การศึกษาอย่างพวกเราวันๆ ทำแต่งานและงานค่ะ"

ทุกวันนี้มุกยังอยู่ในเรือนจำ แต่ด้วยความประพฤติดีมุกได้รับการลดหย่อนโทษ และตั้งหน้าตั้งตาจะกลับไปใช้ชีวิตใหม่ที่เมืองไทยในอีกไม่ช้า ติดอยู่แต่ที่ว่าบัตรเครดิตของมุก ที่อดีตแฟนเอาไปใช้นั้นเป็นเป็นหนี้บัตรเครดิตเป็นจำนวนมาก มุกจึงอาจต้องถูกดำเนินคดีอีกเมื่อกลับประเทศไทย

เรื่องราวของมุกเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่เกิดกับคนไทย เพียงเพราะเงินและความลุ่มหลงเพียงชั่ววูบทำให้ชีวิตคนต้องตกนรก เมื่อไหร่คนไทยจะรู้ทันและเลิกตกเป็นเครื่องมือของขบวนการขนยาเสพติดสักที

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท