Skip to main content
sharethis

ศาลปกครองสูงสุดนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ตุลาการแถลงคดีมีความเห็น ‘ยกฟ้อง’ โดยไม่มีเหตุผล คดีชาวบ้านริมโขงฟ้องกระบวนการทำสัญญาองค์รัฐ-เชื่อนไซยะบุรีมิชอบด้วยกฎหมาย ภาคประชาชนชี้คดีนี้มีความสำคัญ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อชาวบ้านที่เกิดจากโครงการแม่น้ำโขงได้

 

3 พ.ค. 65 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า วันนี้ (3 พ.ค.) เวลา 9.30 น. ที่ศาลปกครองสูงสุด ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ มีการนัดนั่งพิจารณาครั้งแรก คดีหมายเลขดำที่ ส.493/2555 และคดีหมายเลขดำ อส.11/2559 กรณีชาวบ้าน 8 จ.ลุ่มน้ำโขง ฟ้องการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีผู้ถูกฟ้อง 5 หน่วยงาน อาทิ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

บรรยากาศชาวบ้านริมโขงเข้าฟังการพิจารณาคดีศาลปกครองสูงสุด เมื่อ 3 พ.ค. 65

ตุลาการเจ้าของสำนวนมีการอ่านสรุปข้อเท็จจริงในคดีให้ผู้ฟ้องคดีได้รับฟัง ในส่วนของวันนัดฟังคำพิพากษาจะส่งหมายแจ้งคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทราบในภายหลัง โดยศาลได้กำหนดประเด็นในการวินิจฉัย 2 ประเด็น คือ 1 ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติในเรื่องการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างเหมาะสมหรือไม่ และดำเนินการจัดการรับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจังหรือไม่ และ 2 ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนในการจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือไม่

ศาลให้ผู้ฟ้องคดีแถลงด้วยวาจาประกอบคำแถลงที่เป็นหนังสือซึ่งได้ยื่นต่อศาลแล้วในวันนี้ (3 พ.ค.) โดยนางอ้อมบุญ ทิพย์สุนา ผู้ฟ้องคดีที่ 4 แถลงว่า ตนมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ในจังหวัดหนองคาย ประกอบอาชีพเป็นแม่ค้า นับแต่ที่เกิดความผิดปกติของน้ำโขง ปี 2556 ก็ไม่ได้ประกอบอาชีพนี้อีกเลย ในการจัดการรับฟังความคิดเห็นตนเดินทางไปเข้าร่วมที่จังหวัดนครพนม มีการสอบถามคำถามข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากเขื่อนมากกว่า 800 คำถาม แต่ก็ไม่มีการตอบให้ฟัง 

“ฉันหวังว่าศาลจะเป็นที่พึ่งในการให้ความเยียวยาผลกระทบ” นางอ้อมบุญ แถลงในตอนจบ

ขณะที่นายอำนาจ ผู้ไตรจักร ผู้ฟ้องคดีที่ 11 แถลงว่า ตนมีที่ดินอยู่ริมน้ำโขง ซึ่งเป็นที่ของแม่ยายได้รับมามีจำนวน 3 ไร่ ปี 2562 กระแสน้ำผิดปกติขึ้นลงฉับพลัน มีการพังทลายของหน้าดิน ทำให้สูญเสียที่ดินไปเหลือเพียง 1 งานเท่านั้น นี่คือผลกระทบของผู้ที่อาศัยอยู่ริมฝั่งโขงที่จะได้รับในตอนนี้คือการสูญเสียที่ดินของตน

ตุลาการผู้แถลงคดีมีความเห็น 'ยกฟ้อง' โดยไม่ได้ให้เหตุผล ส่วนคำแถลงได้ยื่นเป็นหนังสือกับองค์คณะแล้วโดยใช้เวลาความเห็น 7 วินาที

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเดินออกจากศาลปกครอง ชาวบ้านผู้ฟ้องคดีถึงกับสะอึกสะอื้นเพราะต่างรู้สึกอัดอันตันใจและเสียใจในผลการพิจารณาที่เกิดขึ้น

นางสาว ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน กล่าวว่า คดีนี้มาอยู่ที่ศาลปกครองสูงสุด 7 ปี ตั้งแต่ปี 2558 ตนเองในฐานะหัวหน้าทีมกฎหมายยังฝากความหวังกับศาลปกครองสูงสุด เพราะในศาลชั้นต้นศาลปกครองสูงสุดยังมีคำสั่งรับฟ้อง และระบุถึงการทำหน้าที่ของหน่วยง่านรัฐมีผลต่อประชาชน ศาลจึงรับฟ้อง โดยหวังว่าจะสร้างบรรทัดฐานเพื่อคุ้มครองประชาชน เพื่อเป็นบรรทัดฐานของหน่วยงานรัฐที่ทำงานเกี่ยวกับแม่น้ำโขง แม้ว่าวันนี้ตุลาการผู้แถลงคดี ใช้คำว่าเห็นพ้อง ก็แปลว่าหลักการและเหตุผลอาจแตกต่างจากศาลชั้นต้น ซึ่งจะเห็นได้เมื่อมีคำพิพากษาว่าจะเป็นอย่างไร

“วันนี้ชาวบ้านมีความหวังว่าจะได้ฟังการแถลงคดีมากกว่านี้ และชาวบ้านก็ไม่ทราบว่าต้องปฏิบัติอย่างไร เมื่อมีการเคร่งครัดมากในการเข้าห้องแถลงคดีจึงเกิดความตกใจ ไม่สามารถพูดแถลงได้ตามที่ตั้งใจและเตรียมไว้ เห็นว่าศาลปกครองอาจต้องเป็นศาลเปิด ที่ประชาชนเข้าถึงได้ เพราะศาลปกครองเป็นที่พึ่งที่ร้องเรียนการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ หากชาวบ้านไม่สามารถร้องเรียนได้ ก็จะผิดหลักการที่ตั้งศาลปกครอง” ทนายความกล่าว

นายอำนาจ ไตรจักร์ ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า คิดว่า 10 ปีที่รอคอย ความคิดความหวังของชาวบ้านที่จะพึ่งพาศาล แต่ก็ช้าเหลือเกิน 10 ปีที่ฟ้องคดี เราเคยพูดเรื่องวัฒนธรรม วันนี้ได้พูดเรื่องที่ดินตัวเองที่อยู่ริมโขง จากที่มี 3 ไร่ ตอนนี้เหลืออยู่งานเดียว ชาวบ้านได้เดินทางมาแจ้งแก่หน่วยงานภาครัฐ ก็เท่ากับว่าตอนนี้หน่วยงานรัฐยอมรับว่ามีผลกระทบ ตอนนี้ชาวบ้านพึ่งพาแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง เราเตรียมใจว่า แม้ผลของคดีจะไม่การเปลี่ยนแปลง เพราะว่าเราเดือดร้อนถึงได้มา  

“พวกเรามาแทนพี่น้องหลายคน ผู้ฟ้องคดีตายไปแล้วหลายคน แต่เราอยากทำหน้าที่ในการปกป้องสิทธิของชุมชน 2 ฝั่งแม่น้ำโขง” นายอำนาจ กล่าว

นางแม่สอน จำปาดอก ผู้ฟ้องคดีจาก จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า รอคอยนับสิบปี มาวันนี้ก็รู้สึกว่าไม่มีที่พึ่งและคิดว่าจะขอพึ่งศาล ไม่มีความหวัง และไม่รู้จะพึ่งพาใครในอนาคต และหากเกิดปัญหาในอนาคตทั้งเรื่องน้ำท่วม และความผันผวนของแม่น้ำโขง เพราะการสร้างเขื่อน หากไม่เดือดร้อนจริงๆ ก็คงไม่เดินทางจากบ้านมาถึงศาลปกครองที่กรุงเทพฯ ทั้งๆ ที่มีความเสี่ยงเรื่องโควิด-19 ก็ยังมา อยากมาพูดให้ให้ศาลฟัง ทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้น การสูญเสียพันธุ์ปลาและการประมง เกษตรริมโขง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและรายได้ของประชาชน

นางสาวเพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการรณรงค์ภูมิภาค องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) กล่าวว่า คดีนี้มีความสำคัญระดับภูมิภาค เพราะขณะนี้มีโครงการเขื่อนบนแม่น้ำโขงหลายโครงการที่รอลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เช่น โครงการเขื่อนหลวงพระบาง เขื่อนปากแบง ปากลาย สานะคาม ซึ่งหากผลคดีออกมาให้หน่วยงานรัฐไทยคุ้มครองประชาชนชาวไทย คุ้มครองสิทธิการมีส่วนร่วมของผู้ได้รับผลกระทบ ก็จะเป็นบรรทัดฐานในการป้องกันความเสียหายจากผลกระทบข้ามพรมแดนจากโครงการอื่นๆ บนแม่น้ำโขงได้ เพราะสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเป็นหนึ่งในเอกสารสำคัญที่สุดที่การันตีว่าจะได้สร้างหรือไม่ได้สร้างโครงการเขื่อน 
 
ทั้งนี้ คดีเขื่อนไซยะบุรี เริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2554 โดยประชาชนในเขต 8 จังหวัดริมฝั่งแม่น้ำโขง ได้ทราบข่าวการสร้างเขื่อนไซยะบุรี กำลังผลิตติดตั้ง 1,270 เมกะวัตต์ บนแม่น้ำโขงสายหลัก โดยบริษัท ช.การช่างและการลงทุน ของธนาคาร 6 แห่งในประเทศไทย ซึ่งมี กฟผ.เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าหลัก 95% และกรมทรัพยากรน้ำ ในฐานะสำนักงานเลขาธิการแม่น้ำโขง ประเทศไทย จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามกระบวนการการปรึกษาหารือล่วงหน้า (PNPCA) ตามข้อตกลงแม่น้ำโขง ปี 2538 โดยประชาชนในประเทศไทย ได้แสดงความกังวลใจต่อปัญหาผลกระทบข้ามพรมแดนที่อยู่ห่างจากเขื่อน เพียง 200 กิโลเมตร โดยไม่มีการจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดน ต่อมามีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างบริษัทไซยะบุรีพาวเวอร์ และ กฟผ. ในปี 2554 และไม่มีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ดังนั้น ชาวบ้านที่อยู่ในเขต 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขงใปประเทศไทย จึงได้มีความเห็นร่วมกันที่จะต้องมีการฟ้องศาลปกครอง เพื่อให้รัฐคุ้มครองสิทธิเสรีภาพที่จะอาจจะได้รับผลกระทบจากโครงการเขื่อนไซยะบุรีดังกล่าว  แม้ว่าเขื่อนจะอยู่ในเขตอธิปไตยของสาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แต่เมื่อแม่น้ำโขงคือ แม่น้ำนานาชาติที่ไหลผ่าน 6 ประเทศ ผลกระทบข้ามพรมแดนที่อาจจะเกิดขึ้นจากเขื่อนแห่งนี้ก็มิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ 

ต่อมา 24 มิ.ย. 2557 ศาลปกครองกลางได้อ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ตามคำสั่งที่ 8/2557 ให้มีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณาบางส่วน โดยศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัย ในข้อหาที่สาม ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และมติของรัฐบาล รวมทั้งการแจ้งข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเหมาะสม การรับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจัง และการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ สังคม ทั้งในฝ่ายไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากอันตรายข้ามพรมแดน ก่อนที่จะดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการจัดซื้อไฟฟ้าโครงการเขื่อนไซยะบุรี ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องทั้ง 37 คน เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือได้รับผลกระทบโดยตรงและมากเป็นพิเศษกว่าบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้อยู่อาศัยหรือประกอบอาชีพในพื้นที่ 8 จังหวัดริมแม่น้ำโขง จึงเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

คำสั่งศาลปกครองสูงสุดครั้งนั้นยังระบุว่า เนื่องจากการงดเว้นการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 และการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คนได้รับ จำต้องมีคำบังคับโดยสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและมติของรัฐบาล รวมทั้งการแจ้งข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเหมาะสม รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจัง และประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคม ตามคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้ง 37 คน ตามมาตรา 72 วรรค 1(2) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 โครงการเขื่อนไซยะบุรีสร้างในแม่น้ำนานาชาติ ต้องปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น PNPCA เนื่องจากเป็นกติกาที่ใช้ในการจัดการแม่น้ำนานาชาติร่วมกัน โครงการไซยะบุรีเป็นโครงการที่กั้นแม่น้ำที่อาจจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งเป็นผลกระทบข้ามพรมแดน จึงทำให้ผู้ฟ้องคดีที่ฟ้องโดยใช้สิทธิชุมชนในการฟ้องคดีเป็นการใช้สิทธิเพื่อคุ้มครองไม่ให้ตนได้รับผลกระทบ จึงใช้สิทธิในการฟ้องได้ ศาลจึงมีคำสั่งแก้คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำฟ้องของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 37 คน เฉพาะข้อหาที่ 3 ในส่วนที่ฟ้อง ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และมติของรัฐบาล รวมทั้งการแจ้งข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเหมาะสม การรับฟังความความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจัง การประเมินผลกระทบ ด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคม ไว้พิจารณา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น

หมายเหตุ : คำเห็นของตุลาการแถลงคดี ยังไม่ใช่คำพิพากษาของศาลปกครอง

ทั้งนี้ มีการปรับพาดหัว และโปรย เมื่อ 3 พ.ค. 2565 เวลา 18.39 น.

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net