Skip to main content
sharethis

"ประวิตร" ออกจดหมายฉบับ 2 ยอมรับว่าฝ่ายอำนาจนิยมไม่มีทางชนะ ต้องยอมเชื่อใน "ระบอบประชาธิปไตย" เท่านั้น แต่ยังเสียดายกลุ่มคนมีความสามารถและยังมี "มีอิทธิพลกำหนดความเป็นไปของประเทศ" อยากให้เข้ามาร่วมนำพาประเทศจึงต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง

8 มี.ค.2566 ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกจดหมายฉบับที่สองตามมาหลังจากฉบับที่แล้วได้เล่าถึงประสบการณ์และสิ่งที่เรียนรู้เมื่อต้องเปลี่ยนจากทหารที่ถูกหล่อหลอมมาตามระบบมองนักการเมืองจากมุมของทหารจนมาถึงวันที่เข้าสู่ระบบของพรรคการเมืองอย่างพรรคพลังประชารัฐที่ต้องพึ่งพาเสียงของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง และได้กล่าวถึงกลุ่ม “อิลิท” ที่ไม่เชื่อมั่นในพรรคการเมืองไปจนถึงการไม่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยด้วย

‘ประวิตร’ เขียนจดหมายร่ายความในใจ เผยเหตุผลทำไมต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง

ในตอนที่สองหัวหน้าพรรค พปชร.กล่าวถึงสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้จากการเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่มองย้อนกลับไปถึงการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มาว่า แม้ “ฝ่ายอำนาจนิยม” จะพยายามสร้างกติกาหรือเอาคนของตัวเองเข้าไปคุมมากขนาดไหนก็ยังคงพ่ายแพ้แก่ “พรรคการเมืองที่เดินในแนวทางประชาธิปไตยเสรีนิยม” ทุกครั้ง เหมือนไม่มีทางชนะให้แก่ฝ่ายอำนาจนิยมอยู่เลย เพราะไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศ

อย่างไรก็ตาม แม้ประวิตรจะระบุว่าเขาไม่เห็นหนทางอื่นนอกจากจะต้องเชื่อใน “ระบอบประชาธิปไตย” อย่างหนักแน่นแล้ว แต่ยังคงเสียดายกลุ่มมีความรู้ความสามารถและยัง “มีอิทธิพลกำหนดความเป็นไปของประเทศ” และอยากให้เข้ามามีส่วนร่วมนำพาประเทศ

ก้าวสู่วิถีประชาธิปไตย

การที่เป็นนายทหาร เติบโตจาก “ชั้นผู้น้อย” จนมาเป็น “ผู้บัญชาการทหารบก” อยู่เป็นผู้หนึ่งในศูนย์กลางอำนาจรัฐ ประกอบกับการคบหาสมาคมกับคนในทุกวงการตามโอกาสที่อำนวยให้มากมาย

ทำให้ผมเข้าใจ “โครงสร้างอำนาจของประเทศ” เป็นอย่างดี เป็นโครงสร้างที่ส่งผลต่อการช่วงชิงและจัดสรรอำนาจจริง ไม่ใช่แค่โครงสร้างในรูปแบบที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วไปได้รับรู้

ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน การต่อสู้ของ 2 ฝ่าย 2 แนวความคิด เป็นไปอย่างเข้มข้น ฝ่ายหนึ่งมองเห็นแต่ความเหลวแหลกของพฤติกรรมนักการเมือง แต่ความไม่รู้ ความไม่มีความสามารถของประชาชนที่จะเลือกคนมีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารจัดการประเทศ

เห็นแต่ “นักธุรกิจการเมือง-การลงทุนทางการเมืองเพื่อค้ากำไร แสวงหาผลประโยชน์-นักการเมืองที่มาจากผู้มีบารมีในท้องถิ่น เข้ามาขยายแหล่งผลประโยชน์จากอำนาจส่วนกลาง”

ผู้ประสบความสำเร็จในตำแหน่ง หน้าที่การงาน ทั้งที่เป็นข้าราชการ และภาคเอกชน ทั้งนักธุรกิจ นักลงทุนที่ทำงานขับเคลื่อนประเทศ ส่วนใหญ่ทนกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อนักการเมืองในคุณสมบัติข้างต้นไม่ไหว

การสนับสนุนให้ก่อร่าง “โครงสร้างอำนาจนิยม” เกิดขึ้นจากความเหลือทนต่อพฤติกรรมดังกล่าวของนักการเมือง

ผมรับรู้ถึงกระแสสนับสนุน “การปฎิวัติรัฐประหาร” ที่ไม่เคยหมดไปจากโครงสร้างอำนาจประเทศเรามาตลอด และมองความเป็นไปทั้งหมดอย่างเข้าใจ ว่าทำไมกลุ่มผู้มีอิทธิพล ในการกำหนดความเป็นไปของประเทศจึงพากันคิดและร่วมกันลงมือเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม เหมือนชะตาชีวิตเอื้อให้ผมมีโอกาสเข้ามาทำงานในฐานะนักการเมือง ตั้งแต่ในฐานะรัฐมนตรีในรัฐบาลที่นำโดยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ได้ทำงานร่วมกับผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งรัฐมนตรี และ ส.ส. จนมาถึงได้ร่วมก่อตั้งพรรค และขยับมาเป็นหัวหน้าพรรคด้วยเหตุผลที่กล่าวไปในบทที่แล้ว

ด้วยประสบการณ์ใหม่ และอุปนิสัยเดิมของผม ที่รักในการคบหาสมาคมกับผู้คน ทำให้ผมได้เรียนรู้ชีวิต และความคิดของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมากขึ้น

นักการเมืองในประเทศที่ประชาชนยังต้องการความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ มากมาย ด้วยโครงสร้างการบริหารจัดการประเทศไม่เอื้อให้ประชาชนพึ่งพาตัวเองได้ ขณะที่การบริหารจัดการของระบบราชการยังบกพร่องและเป็นปัญหาอยู่มาก

นักการเมืองที่ถูกหมิ่นแคลนจากชนชั้นที่มีอิทธิพล กำหนดความเป็นไปของประเทศที่ผมได้กล่าวถึงข้างต้น กลับเป็นผู้ที่เข้าอกเข้าใจปัญหา เป็นที่พึ่งที่หวังได้ในทุกเรื่องของประชาชน มากกว่าคนกลุ่มอื่นในโครงสร้างอำนาจ

ผมเริ่มเข้าใจอย่างลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆว่า การตัดสินว่า “ประชาชนไม่มีความสามารถในการเลือกคนดี มีความสามารถเข้ามาเป็นผู้แทน” นั้นเป็น “ความคิดที่ไม่ถูก”

เพราะมอง “การตัดสินใจเลือกของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบในโครงสร้างอำนาจแบบนี้ เพียงมุมเดียว” และเป็น “มุมมองที่ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนึกคิดชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศ”

และเมื่อชีวิตนักการเมืองของผม ได้เรียนรู้จากการลงพื้นที่สัมผัสการทำงานของนักการเมืองพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งด้วยภารกิจราชการอย่างเช่นการลงไปแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ และลงไปร่วมหาเสียง สร้างความนิยมให้สมาชิกพรรคในจังหวัดต่าง ๆ

ผมได้รับรู้ว่า การปลูกฝังสำนึกประชาธิปไตยให้กับประชาชนนั้น ไปไกลแล้ว ทั้งที่ผ่านบทบาทของนักการเมืองส่วนกลาง และนักการเมืองท้องถิ่นที่มีการเลือกตั้งกันทุกระดับ

ทำให้ผมกลับมาย้อนมองผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่าทำไม “พรรคที่สนับสนุนอำนาจนิยม” จึงพ่ายแพ้ต่อ “พรรคที่เดินในแนวทางประชาธิปไตยเสรีนิยม” ทุกครั้ง

เหมือนไม่มีหนทางในชัยชนะอยู่เลย แม้ว่า “ฝ่ายอำนาจนิยม” จะสร้างกติกา และแต่งตั้งคนของตัวเองเข้ามาควบคุมกลไก เพื่อให้เอื้อต่อชัยชนะของฝ่ายตัวเอง อย่างเอาเป็นเอาตายแค่ไหนก็ตาม

เพราะความพ่ายแพ้นั้นเกิดจาก “อำนาจนิยม” แม้จะครองใจคนบางกลุ่มได้ แต่ห่างไกลอย่างยิ่งต่อความเข้าใจเกี่ยวกับความจำเป็นในชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่

และด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความเป็นจริงในชีวิตคนส่วนใหญ่ ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองของผม อย่างที่กล่าวมาแล้ว

ทำให้เกิดความเชื่ออย่างหนักแน่นในใจว่า “ในเส้นทางการบริหารจัดการประเทศ ไม่มีหนทางอื่นนอกจากมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าในระบอบประชาธิปไตย เคารพการตัดสินของประชาชนส่วนใหญ่” เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ผมจะมองไม่เห็นหนทางอื่น นอกจากปักความเชื่อมั่นใน “ระบอบประชาธิปไตย” อย่างมั่นคง หนักแน่นเพียงใดก็ตาม แต่ด้วยประสบการณ์ที่เรียนรู้ และรับทราบถึงเจตนาดีต่อประเทศของคนกลุ่มที่พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า “มีความรู้ความสามารถ" และยังคง “มีอิทธิพลกำหนดความเป็นไปของประเทศ”

ทำให้ผมเกิดความเสียดาย และคิดว่าการหาทางประสานให้คนกลุ่มนี้ เข้ามามีส่วนร่วมในการนำพาประเทศ ย่อมเกิดผลดีอย่างยิ่งต่อการพัฒนาบ้านเมือง

และความคิดนี้เองเป็นที่มาของความมุ่งมั่น “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ของผม

ท้ายของบทนี้ ผมขอให้ทุกคนเชื่อว่า ด้วยประสบการณ์ และเรื่องราวที่ผมสั่งสมมา จะทำให้ “ผมทำได้และจะทำได้ดีกว่าใคร” ในความตั้งใจด้วยความปรารถนาดีต่อประเทศนี้

“ขอให้เชื่อผมสักครั้ง”

หลังจากนี้ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปว่า ผมจะทำอย่างไร

 

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ

รองนายกรัฐมนตรี / หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net